ตอนที่ 105 อัจฉริยะหนุ่ม
บนลานประลอง ฉางหยางเก็บกระบองวายุไว้ในแหวนมิติแล้วเดินเข้าไปหาฮุ่ยเจียด้วยท่าทางสบายๆ รอยยิ้มอันชั่วร้ายภายใต้หน้าถูกยกขึ้น
“ดูเหมือนว่าแกคงมาแค่นี้สินะ แต่ข้าก็ขอชมที่สามารถหลบกระบวนท่าของเคล็ดวิชาวายุเทพสังหารได้ถึงสามกระบวนท่า โดยแม้แต่ข้าเองต้องตกใจอยู่เหมือนกัน”
ฮุ่ยเจียเห็นศัตรูของเดินเข้ามาหาพร้อมคำกล่าวอันเย้ยหยัน เขาค่อยๆยกตัวขึ้นจากหลุมด้วยความทุลักทุเล และใช้แขนปาดเลือดที่มุมปากออก ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มอันเย็นชา
“ข้าขอยอมแพ้”
คิ้วของฉางหยางกระตุกเล็กน้อย แววตาอันขบขันจ้องมองไปยังฮุ่ยเจียอย่างไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำนั้นออกมาจากปากของมันได้
“ยอมแพ้! มันจะไม่ง่ายไปหน่อยรึ คิดว่าข้าคนนี้ใจดีพอที่จะปล่อยสวะอย่างแกให้รอดไปได้ ทั้งที่ข้ารอคอยเวลานี้มาตลอดก็เพื่อวันนี้ เพื่อที่จะสังหารแก แม้แต่พระเจ้าข้าก็จะหาทางฆ่ามันให้ได้หากมันมาขัดขวาดเส้นทางของข้า”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า คิดว่าเจ้าจะสังหารข้าได้อย่างนั้นรึ ที่นี่มันที่ไหน เบิกตาของเจ้าให้กว้าง เพราะอย่างไรกฎก็ย่อมเป็นกฎ ในเมื่อข้ายอมแพ้ไปแล้ว เจ้าก็ไม่สามารถทำอะไรข้าได้อยู่แล้ว” ฮุ่ยเจียระเบิดหัวเราะดังลั่นออกมา เมื่อได้ยินวาจาอันโอหังเช่นนี้
เขาได้ยอมแพ้ไปแล้ว ทางราชวงศ์ชินต้องไม่ยอมให้เด็กหนุ่มที่ไหนไม่รู้มาทำลายกฎเป็นแน่ และอีกอย่างฮุ่ยจิวเมิง ปู่ของเขาต้องไม่ปล่อยให้เป็นแบบนั้นแน่
“อย่าได้กล่าววาจาให้ข้าขำหน่อยเลย ตาย!”
ฉางหยางพุ่งทะยานร่างเข้าหาฮุ่ยเจียราวกับอสรพิษกำลังจู่โจมเหยื่อ ด้วยความโกรธแค้นที่มีอยู่ มันทำให้เขาต้องสังหารฮุ่ยเจียให้ได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
พลังลมปราณเริ่มก่อตัวที่มือจนออร่าสีทองปรากฏออกมา และปล่อยหมัดสังหารมุ่งเป้าเข้าบริเวณศีรษะหวังให้ตายภายในกระบวนท่าเดียว
“ตูม”
ทว่าหมัดที่เต็มไปด้วยพลังกายชั้นปราณผันผวนขั้นต้นกลับถูกหยุดไว้เพียงแค่ข้างมือเดียวเท่านั้น
ฉางหยางมองไปยังชายชราที่สวมชุดจอมยุทธสีขาวสะอาดด้วยสีหน้าเย็นชา เขาไม่อาจสัมผัสได้เลยว่าชายชราผู้นี้มาปรากฏกายตรงหน้าเขาได้อย่างไร
และยังสามารถหยุดหมัดที่เทียบเท่าผู้ฝึกวรยุทธปราณผันผวนขั้นต้นได้ด้วยมือเดียว นี่แสดงว่าชายชราผู้นี้ต้องมีระดับการบ่มเพาะสูงเกิดคาดแน่นอน
“มันจะไม่มากไปหน่อยรึไอ้หนู ที่ริอาจจะสังหารหลานของข้า”
เสียงอันเยือกเย็นดังขึ้น ถูกต้องแล้วเขาคือฮุ่ยจิวเมิงผู้อาวุโสลำดับที่สี่ของนิกายเพลิงผลาญนั้นเอง ระดับการบ่มเพาะของเขาก็มิอาจดูถูกได้ ถึงกับอยู่ในชั้นปราณก่อเกิดขั้นที่หนึ่งเลยทีเดียว
ดวงตาสีทองของฉางหยางเปล่งประกายสังหารขึ้นมา เขารีบโคจรพลังลมปราณให้ไหลไปรวมอยู่บริเวณเท้า แล้วใช้เคล็ดวิชาท่องนภาออกไป
“พรึบบ”
ร่างที่โคจรพลังลมปราณอย่างบ้าคลั่งปรากฏข้างหลังของฮุ่ยเจีย แล้วตวัดขาเตะเข้าบริเวณศีรษะอีกครั้ง
“ตูมม”
ขาของเขาถูกหยุดไว้ได้เพียงมือข้างเดียวของชายชราฮุ่ยจิวเมิงเหมือนเดิม ขาของเขาชาเริ่มชาขึ้นมาเล็กน้อย ด้วยว่าพลังกายที่ต่างกัน มันก็ยิ่งส่งให้แรงสะท้อนกลับมาสู้ขาของเขา
“ถอยไป!”
เสียงอันแข็งกร้าวดังขึ้น พร้อมจิตสังหารทะลักออกมา เมื่อถูกหยุดไว้สองครั้งสองครา โดยชายชราที่ตรงหน้านี้ เขาย่อมเข้าใจอยู่แล้ว ว่าชายชราผู้นี้ไม่ปล่อยให้เขาทำอะไรบุตรหลานของตนได้แน่ และตราบเท่าที่ยังเป็นแบบนี้ต่อไป โอกาสสังหารฮุ่ยเจียมันก็ยิ่งน้อยลงไปด้วย
“ถอยไปอย่างนั้นรึ เจ้าช่างโอหังยิ่งนักไอ้หนู”
มือจับขาของฉางหยางแน่น แล้วเหวี่ยงร่างของเขากระแทกพื้นลานประลองอย่างรุนแรง
“ตูม”
“อั๊ก”
พื้นลานประลองแตกกระจายจนเศษหินปลิวว่อนไปทั่ว เหล่าผู้ฝึกวรยุทธที่กำลังดูอยู่ต้องตกตะลึงกับเหตุการณ์ ทั้งที่ยังแข่งประลองยุทธสำหรับรุ่นเยาว์กันอยู่ดีๆ แล้วทำไมชายชราฮุ่ยจิวเมิง ผู้อาวุโสลำดับที่สี่ของนิกายเพลิงผลาญถึงได้รังแกผู้ฝึกวรยุทธเยาว์กัน
แม้ว่ากฎการประลองจะมีการให้ยอมแพ้ได้ระหว่างแข่ง แต่นี่กลับต้องลงไม้ลงมือกันเชียวรึ เพียงน่าจะหยุดเด็กหนุ่มคนนั้นก็พอแล้ว
หลางหลู่เออร์และหลิ่งซู เริ่มมีสีหน้าไม่สู้แล้ว เนื่องจากคำกล่าวของฉางหยางทั้งหมดนี้ เขาต้องการสังหารผู้เยาว์ที่มีนามว่าฮุ่ยเจียให้ได้แน่ แล้วจะไม่มีทีท่าว่าจะหยุดมือหากเป้าหมายยังไม่สำเร็จ
เพราะพวกนางต่างก็รู้ถึงนิสัยของบุรุษที่หลงรักพอสมควร แต่ว่าเขาจะต่อกรกับผู้ฝึกวรยุทธปราณก่อเกิดได้อย่างไร ระดับการบ่มเพาะก็ต่างกันขนาดนั้น
“ท่านพ่อ!”
คำกล่าวถูกขานขึ้นพร้อมกันทั้งสองมุมลานประลอง แขนของพวกนางสองคนต่างก็จับไปที่ชายเสื้อของบิดาตนเอง แล้วมองด้วยสายตาอ้อนวอนให้ช่วยหยุดเหตุการณ์ไว้
อย่างไรก็ตามฉางหยางเขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว คงต้องเปิดเผยไพ่ใบสุดท้ายขึ้น เพื่อทุ่มทุกอย่างกับกระบวนการทั้งหมดนี้
“ฝุ่บ ฝุ่บ ฝุ่บ”
ร่างที่นอนอยู่เด้งขึ้นมาแล้วตีลังกากลับหลังเพื่อตั้งหลักอีกครั้ง พลังลมปราณอัดเข้าไปที่สัญลักษณ์บนแขน จนเปล่งแสงสีทองอร่ามออกมา ปรากฏเป็นร่างของเฉินตี้บินอยู่อากาศ
“เฉินตี้จัดการไอ้สวะที่อยู่ข้างหลังไอ้แก่นั้นซะ ส่วนข้าจะถ่วงเวลาไอ้แก่ผู้นั้นไว้ให้”
เหล่าผู้ฝึกวรยุทธเห็นสัตว์อสูรสีทองรูปร่างลึกลับปรากฏตัวขึ้นมา พวกเขาทั้งหมดก็อดแปลกใจไม่ได้ เมื่อไม่สามารถสัมผัสถึงระดับการบ่มเพาะของมันไม่ได้ แถมขนาดตัวของมันก็เล็กอีกด้วย จึงทำให้พวกเขากล่าวออกมาอย่างขบขัน
“นั้นมันสัตว์อสูรเผ่าพันธุ์ไหน ทำไมข้าไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลย แล้วระดับการบ่มเพาะของมันไม่เห็นมีเลย”
“เอ๊ะ! แต่เดี๋ยวก่อน ข้าเหมือนเคยเห็นมันที่ไหนนะ”
สมองของผู้ฝึกวรยุทธหลายคนกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก เพราะว่าพวกเขาคับคล้ายคับคลาเหมือนเคยเจอมันมาก่อน จนสุดท้ายก็มีผู้ฝึกวรยุทธบางคนตะโกนขึ้นมา
“ข้าจำมันได้แล้ว มันเป็นสัตว์อสูรของเด็กหนุ่มอัจฉริยะปริศนาที่เป็นข่าวลืออยู่ตอนนี้แน่ ข้าจำลวดลายสีเหลืองของมันได้”
เพียงแค่คำกล่าวอันนี้ดังขึ้นมา ผู้ฝึกวรยุทธทั้งหมดที่กำลังดูอยู่ก็หายแปลกใจทันใด ไม่ว่าทุกอย่างที่เกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนนั้น มันได้ไขข้อสงสัยของพวกเขาทั้งหมด
ไม่เว้นแม้แต่หลิ่วเหม่ยและรุ่ยหลงที่แอบสงสัยมานาน พวกนางทั้งสองต่างก็ดูการประลองตั้งแต่เริ่มจนถึงบัดนี้ ก็อดแปลกใจไม่ได้ที่ผู้เยาว์เก่งกาจเทียบเท่าฉางหยาง
แต่พอสัตว์อสูรสีทองลึกลับปรากฏตัวออกมา พวกนางก็เข้าใจได้ทันทีว่าฉางหยางกับเด็กหนุ่มสวมชุดจอมยุทธสีเหลืองเป็นคนๆเดียวซะงั้น
“ไม่นึกเลยว่าเขาจะมีความแค้นกับตระกูลฮุ่ยแบบนี้” รุ่ยหลงกล่าว
หลิ่วเหม่ยพยักหน้าเล็กน้อย “ใช่แล้วศิษย์พี่ แต่ทำไมเขายังสู้กับผู้อาวุโสฮุ่ยอยู่ ทั้งที่ระดับการบ่มเพาะก็ต่างกันซะขนาดนั้น”
ทางด้านฉางหยางเขารอไม่ได้อีกแล้ว หากยังไม่ลงมือตอนนี้เขาต้องมีลำบากแน่ เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาได้กล่าวหานิกายเพลิงผลาญไว้เยอะพอสมควร บางทีอาจจะทำให้ฉือเทียนและเหล่าผู้อาวุโสสอดมือเข้ามายุ่งก็ได้
“ดีในเมื่อไม่ถอยไปข้าจะทำให้แกได้ถอยออกไปเอง”
ว่าแล้วฉางหยางเริ่มโคจรผสานทันที พลังลมปราณในร่างหมุนวนอย่างรวดเร็วและหนักหน่วง จุดชีพจรทั่วร่างเปิดโล่งออก พลังกายตัดผ่านเข้าสู่ปราณผันผวนขั้นกลางภายในพริบตา
ออร่าสีทองเริ่มห่อหุ้มร่างกายของเขาไปทั่วแล้วควบแน่นกลายเป็นเปลวเพลิงสีทอง กระแสลมได้ปั่นป่วนบ้าคลั่ง แรงกดดันมหาศาลและความร้อนแผ่กระจายไปทั่วลานประลอง
สีหน้าของเหล่าผู้ฝึกวรยุทธเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก ด้วยความร้อนที่พวกเขาสัมผัสได้มันสามารถทำให้ผิวหนังและเลือดภายในกายเดือดพล่านไปหมด ขนาดพวกเขาอยู่ห่างขนาดนี้
“น...นะ นั้นมันอะไรกัน อย่าบอกนะว่าเด็กหนุ่มคนนั้นกำลังจะใช้เคล็ดวิชาอยู่”
“มันน่ากลัวเกินไปแล้ว เปลวเพลิงสีทองอันนั้น”
เสียงอันตื่นตระหนกดังขึ้นทั่วลานประลอง ชายชราฮุ่ยจิวเมิงก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก สีหน้าของเขาเริ่มปรากฏเม็ดเหงื่อไหลออกมา แววตาอันสุขุมจ้องมองไปยังไอ้หนูตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ
“ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาอะไร ข้าก็จะไม่แพ้ให้ไอ้หนูอย่างแกแน่นอน”
ชายชราฮุ่ยจิวเมิงเองก็ไม่น้อยหน้าเหมือนกัน เขาเริ่มโคจรพลังลมปราณเตรียมใช้เคล็ดวิชาระดับสวรรค์ออกไป แต่ว่าเคล็ดวิชานี้มันไม่ใช่สายความเร็วอย่างที่ตระกูลเขาได้ฝึกปรือมา
เพราะมันเป็นเคล็ดวิชาที่เขาได้คิดค้นมันขึ้นมา โดยมุ่งเน้นเพิ่มพลังทำลายของมันขึ้นเท่านั้น เนื่องด้วยเคล็ดวิชาตระกูลฮุ่ยของเขาเป็นสายความเร็ว
พลังลมปราณส่วนใหญ่ต่างก็ถูกใช้ในการเคลื่อนไหวและหลอกล่อศัตรู ส่วนพลังทำลายหรือโจมตีก็ใช้เพียงพลังกาย พลังลมปราณเล็กน้อยที่เหลืออยู่เป็นหลักเท่านั้น
จึงทำให้ผู้ฝึกวรยุทธตระกูลฮุ่ยต้องเน้นยกระดับพลังกายของตนขึ้น เพื่อเพิ่มอนุภาพของเคล็ดวิชาให้น่าหวั่นแกรงอย่างถึงที่สุด
แววตาอันเยือกเย็นมองไปยังไอ้หนูที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะพุ่งทะยานกลายเป็นเส้นแสงสีดำพร้อมฝ่ามือทมิฬซัดออกไป
“ตายซะ! ฝ่ามือเงาอสูร”
“แกนั้นแหละ หมื่นทลาย”
“ตูม”
ฝ่ามือสีดำทมิฬพุ่งปะทะเข้ากับหมัดเพลิงสีทอง จนเกิดเสียงดังสนั่นกึงก้องไปทั่วบริเวณ
เฉินตี้ได้โอกาศคำรามออกมาดังลั่น “กรร” ร่างกลับมาเป็นขนาดเดิม ปีกโบกสะบัดเพียงครั้งเดียวก็บินขึ้นเหนือท้องฟ้า รวบรวมพลังปราณมหาศาลให้ไหลไปรวมกันที่บริเวณปาก ร่างผลึกสีทองเปล่งแสงสว่างจ้า จนแสบตาไปหมด แรงกดดันระดับปราณบรรจบเริ่มกระจายไปทั่วบริเวณ.......