ตอนที่ 101 พลังกายเพียงเท่านั้น
สายตาของหลวนเฟยลอบมองไปที่ชายวัยกลาง เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมชายผู้นี้ถึงต้องให้ลดจำนวนหินจิตมารในการเดิมพันลงด้วย แล้วเขาจะลดจำนวนลงได้อย่างไรในเมื่อรอบต่อไปสหายของเขาก็จะชนะแน่นอน
“ไม่คงไม่คิดล่ะ ข้าต้องการเดิมพันหนึ่งล้านแปดแสนก้อน”
ชายวัยกลางคนถอนหายใจอยู่ภายใน หากเด็กหนุ่มที่สวมชุดจอมยุทธสีเหลืองชนะอีกละก็ มีหวังขาดทุนยับเยินจนต้องกุมขมับเลยทีเดียว
“ย่อมได้ ในเมื่อเจ้าได้ครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว แต่อัตราการต่อรองในรอบหน้าจะเหลือเพียง สามต่อหนึ่งเท่านั้น ไม่มีเปลี่ยนแปลงเจ้าเข้าใจไหม”
“แล้วแต่ท่านเลย ไม่ว่าจะกี่รอบข้าก็จะลงข้างเดิมเสมอ”
ทั้งสองตกลงราคากันเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่เพียงบนลานประลอง ซึ่งตอนนี้สถานการณ์เริ่มเคร่งเครียดขึ้นมาเรื่อยๆ เนื่องจากประมุขนิกายฉือเทียนแทบอยากจะฉีกเด็กหนุ่มผู้ชนะให้เป็นชิ้นๆ
แม้จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็ไม่สามารถทำได้ เพราะการประลองเมื่อครู่มันอยู่ในกฎทั้งหมด ถ้าหากไม่มีเสียงยอมแพ้จากผู้ประลองก็จะทำให้การประลองดำเนินต่อไปจนกว่าจะมีผู้ใดตายหรือประกาศยอมแพ้เอง
อย่างไรก็ตามเหล่าผู้ฝึกวรยุทธต่างตกตะลึงไปตามๆกัน ทั้งสังหารศิษย์ ทั้งกล่าววาจาดูหมิ่นนิกายเพลิงผลาญ พวกเขาได้แต่ลอบตรวจสอบว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นใครมาจากที่ไหน ทำไมถึงมีวรยุทธกล้าแกร่งขนาดนี้ และยังสามารถต่อกรกับผู้ฝึกวรยุทธปราณบรรจบได้โดยไม่ใช้เคล็ดวิชาออกไปเลยแม้แต่น้อยเลย
“แก! วันนี้ข้าจะสังหารแกให้ได้”
ฉือเทียนเตรียมพุ่งไปสังหารเด็กหนุ่มผู้นี้ให้ แต่ทว่าร่างของเขาต้องชะงักลงเมื่อมีเสียงอันทรงพลังดังมาจากทางราชวงศ์ชิน
“เจ้าจะไม่มากไปหน่อยรึ ฉือเทียน กฎยอมเป็นกฎ หรือเจ้าคิดจะผิดกฎที่ทางราชวงศ์ของข้าตั้งขึ้นกัน”
ฉือเทียนหันหน้าไปมองชินเหม่ยหนิงพร้อมกล่าวอย่างเจ็บแค้น
“ย่อมได้!”
พอกล่าวจบเขาก็นั่งลงอย่างแผ่วเบา แล้วหันหน้าไปหาชายชรากังหวน “เตรียมศิษย์ปราณบรรจบขั้นสูงลงการประลองครั้งต่อไป ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสังหารมันให้ได้”
ทางด้านตระกูลเยว่กลับมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าทุกคน เมื่อได้เห็นสถานการณ์แบบนี้ แต่ก็มียกเว้นอยู่ผู้หนึ่ง ใช่แล้วนั้นก็คือเยว่ฉานนั้นเอง ซึ่งนางเองก็อดเป็นห่วงไม่ได้และไม่อยากให้ท่านพี่หยางของนางลงแข่งอีกต่อไป
ถ้าหากชนะติดต่อกันห้ารอบท่านพี่หยางก็จะได้หมั่นหมายกับองศ์หญิงผู้อวบอั๋นคนนั้นแน่นอน แล้วจะให้นางดีใจได้อย่างไรในเมื่อบุรุษที่ตนชอบพอกำลังจะถูกหญิงอื่นแย่งไป
เยว่ฉุ่ยเหวินมองไปทางฉือเทียนแล้วยิ้มออกมามุมปากก่อนจะลุกขึ้นกล่าวเดิมพัน “ประมุขนิกายเพลิงผลาญท่านต้องการเดิมพันอีกครั้งกับตระกูลเยว่ของข้าหรือไม่ แต่ว่ารอบนี้ข้าจะเดิมพันข้างเด็กหนุ่มผู้นั้นในราคาสิบล้านหินจิตมาร ข้าก็หวังว่าท่านคงจะไม่ตื่นตระหนกกับหินจิตมารเท่านี้หรอกนะ”
ใบหน้าของฉือเทียนกระตุกเล็กน้อย ซึ่งหินจิตมารจำนวนสิบล้านมันก็มากพอสมควร แต่หากเขาบอกปัดไม่เดิมพัน มันก็จะเป็นการเสื่อมเสียเกียรติจนอาจทำให้เหล่าผู้ฝึกวรยุทธกล่าวว่าได้
“ย่อมได้ หากเจ้าต้องการแบบนั้น”
พริบตาร่างของศิษย์นิกายเพลิงผลาญก็กระโดดลงไปลานประลอง สายตาของเขามองฉางหยางอย่างดูถูก เขาคิดว่าที่ถังคุนลี่พ่ายแพ้ มันต้องเป็นเพราะความประมาทของตัวมันเองแน่นอน
แล้วอีกอย่างเพียงแค่ผู้ฝึกวรยุทธปราณนิมิตรจะต่อกรกับผู้ฝึกวรยุทธปราณบรรจบได้อย่างไร ทั้งพลังกาย ทั้งระดับการบ่มเพาะก็ต่างกันขนาดนั้นแล้วไอ้สวะถังคุนลี่ยังแพ้อีก มันช่างน่าอับอายเสียจริง
แต่ก็ยังดีที่สามารถสังหารไอ้สวะโอหังถังคุนลี่ให้กับเขาได้ แล้วแบบนี้จะไม่กล่าวขอบคุณก็จะเป็นการเสียมารยาทเกินไป
“ข้าต้องขอบคุณเจ้าหน่อยแล้วที่สังหารไอ้สวะถังคุนลี่ให้ข้า เพราะตั้งแต่เป็นศิษย์นิกายเพลิงผลาญข้าก็เกียจขี้หน้ามันยิ่งนัก ถ้าหากไม่มีกฎของนิกายอยู่ละก็มันได้ตายไปนานแล้ว”
“แต่ตอนนี้เจ้าได้ถือว่าทำคุณความดีไว้พอสมควร ดังนั้นเพียงแค่เจ้าคุกเข่าแล้วกล่าวคำว่า ท่านปู่ดังๆ ข้าก็จะปล่อยเจ้าไปแน่นอน”
ฉางหยางมองศิษย์นิกายเพลิงผลาญอย่างเย็นชา ไม่ว่าจะเป็นถังคุนลี่หรือแม้กระทั้งศิษย์ผู้นี้มันก็ช่างไม่ต่างกันเลย นิสัยของมันช่างเต็มไปด้วยความหยิ่งผยองและความเกียจชังยิ่งนัก
“ขอบคุณ คุณความดี คุกเขา ช่างเป็นคำกล่าวที่ไร้เดียงสาเสียจริง สำหรับข้ามันไม่มีคำเหล่านั้นหรอก เมื่อได้ต่อหน้าสวะเช่นเจ้า”
หลังจากกล่าวจบเพียงไม่นาน ภายในร่างเริ่มโคจรพลังลมจนปรากฏออร่าสีทองออกมา แล้วจากนั้นก็พุ่งเข้าหาศิษย์นิกายเพลิงผลาญทันทีพร้อมตวัดขาเตะออกไป
“ตูม”
แม้ศิษย์นิกายเพลิงผลาญจะสามารถยกแขนซ้ายขึ้นมาได้ท่วงที แต่ก็ส่งผลให้ร่างของเขากระเด็นไปหลายเมตร และกระดูกบริเวณแขนแตกหักละเอียดภายในพริบตา
สีหน้าของเขาตอนนี้ต่างก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด แล้วก็ไม่อยากเชื่อด้วยเลยว่าพลังกายชั้นปราณนิมิตรมันจะมากมายขนาดนี้ จนสามารถบดขยี้แขนของเขาให้บิดเบี้ยวผิดรูปภายในกระบวนท่าเดียวได้เลยรึ
“บัดซบ!”
เหล่าผู้ฝึกวรยุทธต่างก็เห็นสภาพแขนของศิษย์นิกายเพลิงผลาญบิดงอจนผิดรูป พวกเขาถึงกับกลืนน้ำลายดัง “เอื๊อก” เลยทีเดียว
“ไอ้หนูนั้นมันบ่มเพาะเคล็ดวิชากายาอะไรกันแน่นะ ทำไมถึงมีพลังกายที่ล้ำหน้าระดับบ่มเพาะขนาดนี้”
“ข้าก็คิดเหมือนเจ้าเลย แค่พลังกายอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะต่อกรกับผู้ฝึกวรยุทธปราณบรรจบ นี่แสดงว่ารอบนี้ข้าต้องเสียเงินเดิมพันอีกแล้วรึ”
เสียงสนทนากันระหว่างผู้ฝึกวรยุทธดังไปทั่วสนาม เมื่อได้เห็นพลังกายที่ก้าวล้ำเกินระดับการบ่มเพาะไปไกล โดยเฉพาะมุมหนึ่งของลานประลองได้มีร่างอันบอบบางลอบสังเกตฉางหยางอยู่
นางเองก็ตกตะลึงอยู่เหมือนกัน แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่นานนางก็กล่าวในสิ่งที่ทำให้เหล่าหญิงชรา หญิงวัยกลางคนต้องหันมามองด้วยสายตาที่ไม่อยากเชื่อ
“ข้าหนุ่มน้อยผู้นี้ต้องบ่มเพาะเคล็ดวิชากายาระดับเทวะขึ้นไปอย่างแน่นอน”
“มะ..มะ.มันจะเป็นไปได้อย่างไรท่านประมุขเซียงอี๋ ขนาดนิกายเมฆาสีหมอกของเรายังมีแค่ระดับสวรรค์เท่านั้น แล้วเด็กหนุ่มผู้นั้นจะครอบครองเคล็ดวิชากายาระดับเทวะขึ้นไปได้อย่างไร” หญิงวัยกลางคนกล่าวขึ้นด้วยความตกใจ แม้ประมุขของนางจะกล่าวออกเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้นางปักใจเชื่อสักเท่าไหร่
เพราะเคล็ดวิชากายาระดับเทวะส่วนมาก มันเป็นเทคนิคลับขั้นสุดยอดที่จะดึงเอาทุกๆอย่างภายในร่างกายออกมาใช้เกือบทั้งหมด อาจจะกล่าวได้ว่าหากฝึกปรือจนสำเร็จ ก็จะสามารถทำลายขุนเขาให้หายไปในแค่หนึ่งฝ่ามือเท่านั้นเลยก็ได้ แล้วถ้าหากยิ่งผู้นั้นใช้เคล็ดวิชาออกไป พลังทำลายก็มากขึ้นเป็นเท่าตัว จนแม้กระทั่งนางเองก็รู้สึกหวาดกลัวอยู่ลึกๆภายใน
สายตาของเหล่าผู้อาวุโสนิกายเมฆาสีหมอกต่างก็มองไปที่เด็กหนุ่มผู้กำลังประลอง ณ ตอนนี้
ส่วนทางด้านของหญิงชราชินเหม่ยหนิงก็ไม่ต่างกันมากนัก ซึ่งนางเองก็ลอบสนใจในตัวเด็กหนุ่มผู้นี้เหมือนกันว่าจะสามารถแสดงความสามารถอะไรที่ทำให้นางได้ตกใจเพิ่มอีกหรือไม่
แต่ด้านของประมุขนิกายเพลิงผลาญ ฉือเทียนกลับไม่เป็นเช่นนั้น ขนาดเขาส่งศิษย์หลักอันดับสามเฟินเจี้ยนที่มีระดับการบ่มเพาะปราณบรรจบขั้นเจ็ดไปยังไม่สามารถต่อกรกับมันได้ แล้วยังต้องเสียหินจิตมารสิบล้านก้อนอีก มันก็ยิ่งทำให้เขาอยากสังหารไอ้หนูสวะตัวนั้นให้ได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
บนลานประลองเฟินเจี้ยนกุมแขนข้างขวาของตนอย่างเจ็บปวด แววตาเปล่งประกายสังหารออกมา พลังลมปราณในร่างเริ่มโคจรอย่างรวดเร็วจนเปลวสีแดงปรากฏออกมา พร้อมคำกล่าวอย่างเหี้ยมหาญ
“วันนี้แกต้องตายด้วยเคล็ดวิชาของข้า”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เคล็ดวิชารึ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าศิษย์นิกายเพลิงผลาญอย่างเจ้าจะสามารถสร้างบาดแผลบนร่างของข้าผู้นี้ได้หรือไม่”
เฟินเจี้ยนขบกรามแน่นก่อนพุ่งทะยานร่างหวังเพื่อปลิดชีพไอ้สวะข้างหน้านี้ หมัดที่อัดแน่นไปด้วยเปลวเพลิงสีแดงถูกปล่อย พร้อมเสียงคำรามดังลั่น
“หมัดเพลิงทลายสิ้น”
เปลวเพลิงสีแดงที่ห่อหุ้มร่างของเฟินเจี้ยนทะยานเข้าหาฉางหยางอย่างกับกระสุนเพลิงขนาดยักษ์ จนสามารถแผดเผาให้พื้นลานประลองเป็นสีดำได้
“ถ้ามีแค่นี้มันไม่คณามือหรอก!”
ฉางหยางพุ่งทะยานไปข้างหน้า แล้วปล่อยหมัดที่อัดแน่นไปด้วยพลังลมปราณปะทะเข้ากับเคล็ดวิชาหมัดเพลิงทลายสิ้นทันที
“ตูม”
แรงปะทะส่งให้ร่างของทั้งสองกระเด็นถอยหลังถึงหกเมตร มือของฉางหยางชาและมีบาดแผลเล็กน้อย แต่มือของเฟินเจี้ยนกลับไม่เป็นอะไรเลย
แม้จะเป็นเช่นนั้นสีหน้าของเขาก็ยิ่งตื่นตระหนกอย่างมากล้น เม็ดเหงื่อเริ่มเปียกโชกไปทั่วหลัง ขนาดเขาใช้เคล็ดวิชาระดับปฐพีออกไปก็ยังไม่สามารถทำอะไรมันได้เลย
ทั้งได้รับการหนุนเสริมจากเคล็ดวิชาเข้าไป จนทำให้พลังกายของเขาน่าเพิ่มขึ้นถึงปราณผันผวน แล้วประกอบกับพลังทำลายจากเคล็ดวิชาเมื่อครู่นี้ มันก็น่าจะบดขยี้แขนไอ้สวะนั้นให้แหลกเป็นผุยผงได้แน่นอน
ตอนนี้ภายในจิตใจของเขาแทบไม่อยากเชื่อภาพที่ปรากฏตรงหน้าเขาของเลยว่ามันจะเป็นแบบนี้
ขาของเขาเริ่มก้าวถอยหลังไปทีละนิดด้วยความหวาดกลัว ตามด้วยเสียงอันสั่นเครือ
“อะ...อะ อะไรกัน..ทะ..ทำไมถึงเป็นเช่นนี้”
“ไม่ต้องแปลกใจมากนัก ข้าเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าจะสามารถต่อกรกับเคล็ดวิชาทั้งที่ใช้แค่พลังกายเท่านั้นได้” ฉางหยางกล่าว
เขารู้อยู่แล้วว่าร่างกายของเขาตั้งแต่ได้รับน้ำสีเหลืองนั้นเข้าไป มันก็สามารถทนต่อความร้อนได้อย่างมหาศาล แถมตอนที่เขาโคจรพลังลมปราณในร่าง พลังกายของเขาก็เข้าสู่ปราณผันผวนขั้นต้นแล้ว
ยิ่งถ้าหากเขาใช้เคล็ดวิชาหมื่นทลายเข้าไปพลังกายของเขาก็จะอยู่ในปราณผันผวนขั้นกลางทันที ประกอบกับพลังทำลายของเคล็ดวิชามันก็ยิ่งจะสามารถต่อกรกับผู้ฝึกวรยุทธชั้นปราณผันผวนขั้นกลางได้เลยทีเดียว..........