ตอนที่แล้วAST บทที่ 127 - สังหารสวะอย่างเรียบง่าย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปAST บทที่ 129 – ศูนย์รักษาวิทยายุทธ (1)

AST บทที่ 128 - ชื่อที่สั่นสะเทือนไปทั่วเมืองร้อยไมล์


ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย

https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique

แปลโดย Osoulstealo

Clean by : Sharktooth

บทที่ 128 - ชื่อที่สั่นสะเทือนไปทั่วเมืองร้อยไมล์

“ชิงสุ่ย เมื่อใดกันที่เจ้าบรรลุถึงระดับพลังปราณเทวะเซียนเทียน?” ชิงหลัวเผยรอยยิ้มขณะที่เขามองไปยังหลานชายที่ประสบความสำเร็จ มันช่างทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจ

“ไม่กี่วันก่อน ตอนที่พวกเราขึ้นไปที่เทือกเขาทางตอนใต้เพื่อเก็บรวบรวมสมุนไพร เมื่อไปถึงข้านั้นประหลาดใจเป็นอย่างมาก” ชิงสุ่ยนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์อันตรายที่เคยเกิดขึ้น เขาไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดหมูป่าอสูรทองคำถึงไม่สังหารเขา          รอยร้าวบนหินจันทรานั้นอาจจะเกิดจากการโจมตีของหมูป่าอสูรทองคำ มันมีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับหินจันทรา?

“หึๆ, ในที่สุดตระกูลของเราก็มีผู้ที่แข็งแกร่งในระดับพลังปราณเทวะเซียนเทียนแล้วเช่นเดียวกัน” ชิงเป่ยหัวเราะออกมาเบาๆ

จากคำพูดของชิงเป่ยทำให้ทุกๆคนต่างรู้ว่าชิงสุ่ยนั้นได้บรรลุถึงระดับพลังปราณเทวะเซียนเทียนแล้ว และต่างจ้องมองไปยังเขาอย่างประหลาดใจ นี่เขายังอายุเพียงแค่ 16 ปีเท่านั้น ใครจะรู้ว่าในอนาคตเขาจะก้าวหน้าขึ้นไปเพียงใด

เป็นเรื่องปกติถ้าหากมีใครที่โดดเด่นกว่าตนเองแม้เพียงเล็กน้อยก็มักที่จะเกิดความอิจฉากันและกัน แต่มันจะแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงหากว่าคนๆนั้นมีระดับที่แตกต่างกับตนเองมาก พวกเขาจะทำได้เพียงยอมรับและชื่นชมคนที่เหนือกว่าตนเอง

เพียงแววตาอันมุ่งมั่นและกระตือรืนร้นที่ได้เห็นจากชิงสุ่ย คนทั้งสามรุ่นในตระกูลชิงต่างก็เห็นเช่นดียวกันว่านี่นับเป็นพลังอย่างหนึ่งที่ทุกคนควรเอาเป็นแบบอย่าง ชิงเป่ยรู้สึกปลื้มปิติในความสามารถของลูกหลานของเขา จากนี้ไปในอนาคตตระกูลชิงจะไม่ต้องถูกกดขี่อีกต่อไป และมีความหวังที่อาจจะได้ขึ้นเป็นตระกูลใหญ่ในสักวัน เขายังสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกเป็นร้อยปี เพื่อที่จะเฝ้ามองดูตระกูลชิงค่อยๆไต่อันดับสูงขึ้นไปด้วยตาของตนเอง

“ชิงสุ่ย เจ้าวางแผนในอนาคตไว้เช่นไร?” ข้ารู้ว่าเจ้านั้นไม่มีทางที่จะหยุดอยู่เพียงแค่ที่ตระกูลชิงหรือเมืองร้อยไมล์เล็กๆนี่เป็นแน่ ชิงหลัวกล่าวอย่างสงบ

“ข้าจะไม่ออกไปจากเมืองร้อยไมล์นี้เป็นเวลา 3 ปี หลังจากผ่านไป 3 ปี ข้าจะไปยังตระกูลเยียน ส่วนที่เหลือนั้นข้ายังไม่ได้คิดไว้ ถ้าหากทางด้านตระกูลเยียนเป็นไปได้ด้วยดี ข้าก็จะมุ่งหน้าไปยังนิกายกระบี่สวรรค์เพื่อตอบแทนความมีเมตตา!” ชิงสุ่ยมองไปยังชิงหลัวและกล่าวอย่างจริงจัง

ชิงหลัวขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย แม้แต่ท่านลุง ท่านป้าของชิงสุ่ย และชิงอี้ ก็รู้สึกสั่นสะท้านอยู่ภายในหัวใจ เมื่อวันนั้นมาถึง พวกเขาไม่รู้เลยว่าควรจะต้องมีความสุขหรือกลุ้มใจกันแน่

“นี่ชิงสุ่ย ข้ารู้สึกมั่นใจว่าเจ้าจะต้องจัดการทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่ข้าก็ยังมีความกังวลอยู่ ข้าจะไม่หยุดยั้งหากเจ้าต้องการจะไปยังตระกูลเยียน ข้าหวังจะได้เห็นวันที่เราจะไม่ต้องถูกกดขี่จากผู้อื่นเสียที มันยากที่จะยอมรับแต่การไร้ซึ่งทายาทสืบสกุลนั้นนับเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ชิงสุ่ยเจ้าเข้าใจในสิ่งที่ปู่บอกหรือไหม?”

“ข้าเข้าใจ! ท่านปู่ไม่ต้องเป็นกังวล  3 ปีหลังจากนี้ข้าตั้งใจจะไปยังตระกูลเยียน จากนั้นข้าจะกลับมาคิดบัญชีเป็นสิบเท่าหรือร้อยเท่ากับใครก็ตามที่กล้าข่มเหงท่านแม่หรือคนในตระกูลชิง” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างช้าๆพร้อมด้วยร้อยยิ้ม น้ำเสียงที่หนักแน่นและอ่อนโยนนั้นมีความลึกซึ้งดูเป็นผู้ใหญ่ ผิดปกติจากเด็กทั่วไป แต่มันก็เป็นเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใครสำหรับผู้ชาย

“เอาล่ะ ชิงสุ่ยตอนนี้เจ้าเติบโตขึ้นแล้ว ข้ารู้สึกโล่งใจนักหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเจ้า คนตระกูลชิงต้องเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย แต่ก็สำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องมีความฉลาดด้วย!”

ชิงสุ่ยก็หัวเราะออกมาอย่างเบินบานใจ

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนที่มีความสุขมากที่สุดตอนนี้ก็คือชิงอี้ ปัญหาที่คอยทำให้นางรู้สึกหนักใจมาตลอดระยะเวลา 17 ปี ในที่สุดวันนี้นางก็มองเห็นทางออกของปัญหา ไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไรนางต้องรู้จักยอมรับความเป็นจริง

ดวงตาของชิงอี้เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา แต่นางกลับยิ้มอย่างมีความสุขที่สุดไปทางชิงสุ่ย “นางไม่มีอะไรในชีวิตที่จะต้องเสียใจอีก หลังจากที่ได้รับรู้เจตจำนงของบุตรชาย”

“โปรดรอข้าอีกหน่อยท่านแม่” ชิงสุ่ยคิดเงียบๆอยู่ภายในหัวใจ

หลังจากผ่านไป 1 ชั่งโมง, ชิงสุยมีข้ออ้างเพื่อจะให้ตนเองไม่ต้องรู้สึกลำบากใจ ทุกคนต่างรู้ว่าชิงสุ่ยกลับเข้าไปบ่มเพาะพลังต่อและไม่มีใครสามารถช่วยเขาในเรื่องนี้ได้ ซึ่งในตอนที่เขาบรรลุถึงระดับพลังปราณเทวะเซียนเทียนนั้นมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ด้วยความหมั่นเพียรในการฝึกของชิงสุ่ยทำให้คนในตระกูลรุ่นที่หนึ่งหรือแม้แต่รุ่นที่สองต่างก็ต้องละอายใจเล็กน้อย

ชิงสุ่ยล็อคห้องของเขาอย่างหนาแน่น คนในตระกูลชิงต่างรู้กันดีว่าในตอนที่ชิงสุ่ยกำลังบ่มเพาะพลังอยู่นั้นการเข้าไปขัดจังหวะเขาถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรง เช่นนั้นจึงไม่มีใครกล้าไปรบกวนเขาเลยแม้แต่น้อย

ชิงสุ่ย .... และมองไปที่ปลาสีดำและเต่า ทำให้ชิงสุ่ยต้องถอนหายใจขณะที่เขาตระหนักได้ถึงสิ่งเล็กๆเหล่านี้ว่ามันสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วถึงแม้ว่าพวกมันจะดื่มน้ำเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คุณภาพเนื้อของพวกมันนั้นหาที่เปรียบมิได้ แต่ชิงสุ่ยไม่ต้องการให้อาหารอย่างอื่นแก่พวกมันด้วยเหตุผลสองประการ ประการแรกเขารู้ว่ามันจะน้ำในบ่อเกิดการปนเปื้อน แม้ว่าชิงสุ่ยจะรู้ว่าน้ำบ่อนี้มีความสามารถในการชำระล้างได้ดี ประการที่สองชิงสุ่ยรู้สึกว่าการให้อาหารตามปกติจะทำลายเนื้อที่มีคุณภาพดีของพวกมัน

เหล่าพืชสมุนไพรก็มีการเจริญเติบโตที่ดี ทั่วทั้งพื้นที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของสมุนไพรที่อุดมสมบูรณ์และกลิ่นของสมุนไพรบางชนิดที่เป็นยาที่มีคุณสมบัติทำให้เกิดอาการมึนเมา จนช่วยไม่ได้ที่ชิงสุ่ยจะต้องสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆก่อนที่จะเข้ามาที่นี่

ประสบการณ์ในการปรุงยาของเขาเต็มเปี่ยมมากยิ่งขึ้นในสองสามวันมานี้ เขาประสบความสำเร็จในการหาสูตรยาเม็ด 5 มังกร เพียงแค่ชิงสุ่ยคิดถึงมันเขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา แต่เขาก็ต้องปวดหัวทุกครั้งเมื่อมองไปยังส่วนผสมที่หายากและวัตถุดิบจากสัตว์ร้ายที่ต้องใช้ในการปรุงยา

“อืมมม สัตว์อสูรกวางสิงห์อินทนิลแบบผู้อาวุโสไป๋ลี่ จิงเว่ย ถ้าข้าได้พบท่านอาจารย์ ข้าคงจะต้องลองถามหาสัตว์อสูรอย่างกวางสิงห์อินทนิลที่ตัวโตเต็มวัยสักตัว” ชิงสุ่ยเริ่มมีความปิติยินดีหลังจากที่เขาคิดออกถึงหนทางในการหากวางอสูรตัวนี้

มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เมื่อเขานึกถึงไป๋ลี่ จิงเว่ย เขาก็จะนึกถึงความงดงามที่สามารถทำลายล้างได้ทุกสิ่ง ความงามของนางนั้นสามารถโค่นล้มอาณาจักรลงได้ มันคล้ายกับแสงของดวงจันทราที่สว่างไปไกลสุดขอบฟ้า นางมีความสุภาพเรียบร้อยและสง่างาม ทำให้ชิงสุ่ยต้องให้ความเคารพแก่นาง เมื่อเทียบกับเหวินเหรินอูซวงแล้วมันต่างออกไป ชิงสุ่ยรู้สึกว่านางนั้นยังสามารถสัมผัสจับต้องได้ ส่วนอีเย่เจี้ยนเกอนั้นไม่สามารถแตะต้องได้เลยดั่งเช่นหมอกควัน ทำให้เขาไม่อาจจะมองเห็นความคิดไม่ดีที่ซ้อนเร้นอยู่ได้

ชิงสุ่ยส่ายหัวเพื่อขจัดความคิดที่ทำให้เขาเกิดความไขว้เขวขึ้นภายในใจ และทำการฝึกฝนต่อตามปกติ ชิงสุ่ยได้เริ่มฝึกเคล็ดกระบวนท่ากระบี่พื้นฐาน สิ่งสำคัญของกระบวนท่านี้อยู่ที่การควบคุมความเร็วและพละกำลัง นี่เป็นท่าที่ตวัดและฟันใส่เป้าหมายด้วยแรงอัดและความแรงสุดขีด แม้ว่าจะดูง่าย แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้น กระบวนท่านี้จะได้ผลดีที่สุดเมื่อศัตรูถูกหยุดการเคลื่อนไหว มันเป็นการรีดเร้นพลังที่มีออกมาฟาดฟันศัตรูอย่างต่อเนื่อง เพื่อจัดการศัตรูในกระบวนท่าเดียว

หลังจากเข้าสู่ระดับพลังขั้นที่สี่ พละกำลังทางร่างกายของชิงสุ่ยก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก สิ่งสำคัญคือการที่มันทำให้เขาสามารถยกของหนักได้มากขึ้นราวกับมันน้ำหนักเบา ซึ่งอาวุธที่หนักกว่าก็ย่อมต้องมีพลังอำนาจในการฟาดฟันที่เหนือกว่า อย่างไรก็ตามหากใครสามารถเรียนรู้วิธี “ทำให้สิ่งของที่เบาให้หนักขึ้นได้” ผู้นั้นย่อมสังหารผู้อื่นได้เพียงแค่อาศัยกิ่งไม้

“การยกสิ่งที่เบาราวกับขนนกให้มันหนัก” ชิงสุ่ยไม่สามารถเข้าใจถึงแนวคิดนี้ได้ เขายกสิ่งที่หนักให้ขึ้นมาได้อย่างอย่างงายด้วยพละกำลังที่มี แต่แค่เพียงกำลังมันยังเป็นทักษะที่ต่ำ นอกจากนี้มันยังเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับการจะยกสิ่งที่เบาให้ราวกับมันหนัก

ในตอนเช้าชิงสุ่ยตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ฤดูร้อนได้ผ่านพ้นไปและฤดูใบไม้ร่วงก็มาถึง อากาศในตอนเช้าและตอนกลางคืนจะเย็นลงเล็กน้อย เขาต้องการจะฝึกฝนที่ลานกว้างหลังจากที่เขาตื่น แต่เขาก็พบว่าลานกว้างเต็มไปด้วยผู้ฝึกฝนคนอื่นๆนับสิบ

ชิงสุ่ยรู้สึกตกใจ ที่ตัวเขาได้กลายเป็นแบบอย่างและเป็นแรงกระตุ้นให้กับทุกคน!

เมื่อพวกเขาเห็นชิงสุ่ย, พวกเขาทั้งหมดต่างทักทายเขาด้วยความชื่นชมยินดีและฝึกฝนต่อไป ในตอนเช้าชิงสุ่ยจะค่อยๆไหลเวียนเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลเพื่อรวบรวมพลังลมปราณจากสรวงสวรรค์และปฐพี หลังจากนั้นจึงออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างร่างกายและกระดูก

ในตอนที่ยังเล่าเรียนอยู่ในชีวิตก่อนหน้านี้ เขาไม่เพียงแต่ได้เรียนรู้การออกกำลังกายเป็นประจำเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงมวยไท่เก๊กเขาสามารถจดจำท่าทางทั้งยี่สิบสี่ของมวยไท่เก๊กได้ชัดเจน แต่น่าเสียดายที่เขารู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่าในชีวิตก่อนหน้านี้และไม่ได้สนใจที่จะฝึกเพื่อเสริมสร้างร่างกายของเขา ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ยังคงจำรูปแบบของท่าได้

การฝึกมวยไท่เก๊กในตอนเช้านั้นไม่เลวร้ายอะไร เขาเดินไปยังที่บริเวณกว้างๆ ยืนเปิดหน้าขา ยื่นแขนไปข้างหน้า งอเข่า และเคลื่อนมือขึ้นมาในท่วงท่ามวยไท่เก๊ก

ชิงสุ่ยรู้สึกได้ มันอาจเป็นผลจากเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลหรือบางทีอาจจะเป็นผลมาจากประสบการณ์ในการฝึกฝนในชีวิตก่อนหน้านี้ที่เขาได้รับคำใบ้มาจากอาจารย์มวยไท่เก๊กในชั่วโมงฝึกสอน

ชิงสุ่ยได้ทำการร่ายรำท่วงท่ามวยไท่เก๊กต่างๆอย่างช้าๆ และยิ่งฝึกฝนมากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกเข้าใจอย่างลึกซึ้งมากขึ้นเท่านั้น มวยไท่เก๊กมีผลต่อการปรับแต่งจิตวิญญาณจริงๆ ดังเช่นทฤษฏีหยินหยาง

ชิงสุ่ยฝึกฝนเทคนิคอย่างช้าๆจนถึงท่าที่ยี่สิบสี่ของมวยไท่เก๊กมันเป็นวิธีที่ดีในการฝึกพลังลมปราณ แต่อย่างไรก็ตามมันเป็นเรื่องยากที่จะเข้าถึงขั้นที่ลึกซึ้งกว่านี้โดยปราศจากความเข้าใจ

ชิงสุ่ยตัดสินใจที่จะเพิ่มกิจวัตรประจำวันในตอนเช้าของเข้าด้วยการฝึกมวยไท่เก๊ก!

ชิงเหอลุกขึ้นจากเตียงในเวลากลางวัน แม้ว่าเขาจะได้ยินเกี่ยวกับเรื่องที่ชิงสุ่ยสังหารชายผู้อยู่ในระดับพลังปราณเทวะเซียนเทียน เขานั้นรู้สึกยินดีแต่ก็มีความขมขื่นเข้ามาแทนทีเช่นกัน

คู่แต่งงานใหม่ตื่นขึ้นมา ใบหน้าของพวกเขาดูสดใสและพวกเขาก็ทำน้ำชาไปให้ท่านปู่ก่อน แล้วค่อยไปหาชิงเจียง  พวกเขากินอาหารเช้าพร้อมด้วยเสียงอึกทึกและความตื่นเต้น

ไม่มีการหยอกล้อจากคนรุ่นที่สาม แต่มีการจ้องมองและเสียงหัวเราะจากผู้อาวุโสก็เพียงพอแล้ว!

ภายในหนึ่งวันชื่อของชิงสุ่ยได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองร้อยไมล์ เวลานี้ผู้คนต่างได้เห็นการที่ชิงสุ่ยสังหารชายผู้อยู่ในระดับพลังปราณเทวะเซียนเทียนในทันที อำนาจของตระกูลชิงในเมืองร้อยไมล์ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้

ชิงสุ่ยได้เล็งเห็นเหตุการณ์เหล่านี้มานานแล้ว ชิงสุ่ยรู้ว่าเขาสามารถทำเช่นนี้ได้ก่อนที่เขาจะบรรลุเคล็ดวิชาเบิกเนตรสวรรค์ขั้นที่สี่ แต่เขาต้องป้องกันตัวเองไว้ ตอนนี้ยอดฝีมือระดับพลังปราณเทวะเซียนเทียนไม่อาจเป็นคู่มือแก่เขาได้

เรื่องของชิงจือนั้นจบไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้เขารู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปิดแหล่งฝึกฝน ด้วยทักษะการปรุงยาของเขาที่มีประสิทธิภาพและความรู้สึกที่เกิดจากเหตุการณ์เมื่อวานนี้ ศูนย์ฝึกจึงเปิดกิจการได้ง่าย ชิงสุ่ยคิดถึงชื่อของศูนย์ฝึกที่เขาควรจะใช้ ชิงสุ่ยคิดถึงเรื่องความชำนาญทางการแพทย์ของเขาเป็นหลัก ทางเดินลมปราณ, ตันเถียน, กระดูกและกล้ามเนื้อ

“ศูนย์ฝึกวรยุทธ!” ชิงสุ่ยตัดสินใจใช้ชื่อนี้

เขาตั้งใจที่จะเปิดศูนย์ฝึกที่ร้านยาตระกูลชิง แต่หลังจากนั้นเขาตัดสินใจเลือกที่อื่นแทน ชิงสุ่ยคิดอย่างไม่ค่อยพอใจในขณะที่เขาเดินลัดเลาะไปตามถนนโดยไม่รู้ตัว

“ปึก!”

“ฮึ! ข้าชนกับใครบางคนอีกแล้ว!” ชิงสุ่ยคิด

“ทำไมข้าถึงชนกับใครบางคนอีกแล้ว!” ชิงสุ่ยคิดโดยไม่รู้ตัวเกี่ยวกับหญิงสาวที่มีรูปร่างบอบบางจากตระกูลเซียงและเงยหน้าขึ้นมอง เอ่อ!

“ข้าขอโทษเราชนกันอีกแล้ว!” ชิงสุ่ยยื่นมือออกไปเพื่อช่วยดึงหญิงสาวที่ผอมบาง ใบหน้านางเต็มไปด้วยน้ำตา

“เจ้าไม่ชอบมองทางเวลาที่เจ้าเดินหรือ!” ดวงตาอันสวยงามของเสี่ยวเป่ามองไปยังชิงสุ่ยอย่างผิดปกติ

“เจ้าก็ไม่ได้มองทางเวลาเดินเช่นกัน ไม่อย่างนั้นข้าจะเจอเจ้าเป็นครั้งที่สองหรือ?” ชิงสุ่ยอธิบายในขณะที่เขามองใบหน้าอันงดงามและเรียวเล็กของเสี่ยวเป่า

“ข้าแค่อยากจะดูว่าเจ้าเปลี่ยนไปหรือไม่ ข้าไม่นึกว่าเจ้าจะไม่เปลี่ยนไปเลย!” เสี่ยวเป่า มองชิงสุ่ยด้วยความขมขื่น"

“เจ้าจะไม่กลับใจแม้ว่าเจ้าจะต้องตาย?” ชิงสุ่ยหัวเราะ

“ข้าปล่อยให้เจ้าชนข้าโดยเจตนา” เสี่ยวเปากล่าวด้วยความขุ่นเคือง

“ทำไม?”

“ไม่มีเหตุผล ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าทำอย่างนั้นได้หรอก?” สีแดงระเรื่อปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่สวยงามและเรียวเล็กของ เสี่ยวเป่าดวงตาเล็กๆอันมีเสน่ห์ของนางมองไปยังชิงสุ่ย

ชิงสุ่ยเคลื่อนไหวเล็กน้อย เขาคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมของนางและเดาได้ว่า เสี่ยวเป่าอาจมีความรู้สึกบางอย่างกับเขา แต่เขาไม่รู้ว่าจะมีความสุขหรือกังวลใจดี

“เด็กสาวตัวเล็ก ลุงเจ้าทำอะไรอยู่ถึงได้ปล่อยให้ออกมาเล่นข้างนอก” ชิงสุ่ยยื่นแขนไปลูบหัวและกล่าวด้วยความเมตตาเท่าที่เขาสามารถทำได้

เสี่ยวเป่าตื่นตระหนกกับการกระทำของเขาและค่อยๆผลักมือชิงสุ่ยออกไป “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าไม่ให้เรียกว่าเด็กสาวตัวเล็กและอย่าพยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่ด้วย เพราะข้าอายุมากกว่าเจ้า อีกอย่างก็อย่าคิดว่าการกระทำเช่นนี้ของเจ้าจะสามารถไล่ข้าไปได้”

 

 

************ขอเปลี่ยนชื่อจาก ศูนย์ฝึกศิลปะการต่อสู้เป็น ศูนย์ฝึกวรยุทธ นะครับผม************

************เสี่ยว เป็นคำเรียกชื่อคนครับผม ในที่นี้ เสี่ยวเป่า ก็คือ ติงเป่าจากตระกูลติง นั้นเอง หญิงสาวตัวเล็กที่มาพร้อมกับหน้าอกอันใหญ่โต 55555 ******

 

 

 

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
11 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด