LSG-บทที่ 62: จริงๆน่ะ (อ่านฟรีวันที่4สิงหา)
บทที่ 62: จริงๆน่ะ
ชิงเอ๋อค่อยๆดูดบางส่วนของกลิ่นอายจิตวิญญาณของนางไปให้ สาวใช้เสี่ยวชุ่ย ขณะที่นางตรวจดูอาการบาดเจ็บของนาง จากนั้นนางก็พาเสี่ยวชุ่ยไปตึกคนป่วยห้องโถงแพทหลัก
แม้ว่าซูม่อสร่าเตะเพียงทีเดียว แต่เนื่องจากระดับการบ่มเพาะที่สูงของมัน มันจึงทำให้เกิดผลลัพธ์ที่รุนแรง! เห็นว่านางไม่ตกตายมันก็เดินออกไป
ทันทีที่เข้ามาถึงตึกรักษานางก็ได้เตรียมการรักษา เสี่ยวชุ่ยทันที เสี่ยวชุ่ยยังคงเจ็บปวดอย่างรุนแรง แต่นางก็ยังฝืนยกมือของนางมาคว้าแขนของชิงเอ๋อไว้
"คุณหนู.. ท่านรีบกลับไปเร็วเข้าเถิดข้าไม่เป็นไร...กลับไป.....พบนายน้อย...ซูหยุน ... "
"นายน้อย…." ชิงเอ๋อพูดออกมาเบาๆแต่นางยังไม่เต็มใจที่จะจากไป
ในใจนางกังวลเรื่องซูหยุนมากๆ
นางไม่รู้ว่านางกลับมาจากเขาเปียงกู่นานแค่ไหนแล้ว นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาบาดเจ็บหรือไม่ ...
นัยน์ตาสีแดงก่ำของชิงเอ๋อแข็งค้าง หลังจากที่นางคิดภายในใจนางก็ลุกขึ้นยืนจากเตียงของเสี่ยวชุ่ย นางจ้องหน้าหมอจิตวิญญาณและพูดว่า "ฝากดูแลเสี่ยวชุ่ยด้วย หากเกิดอะไรขึ้นข้าจะไม่อภัยให้ท่าน! "
"ได้เลย, คุณหนู!" หมอจิตวิญญาณผู้ชราพยักหน้า
หลังจากนั้นนางก็รีบออกไปจากตึกรักษาทันที
นางมุ่งหน้าตรงไปยังสำนักภายในแห่งตระกูลซู
กลุ่มชนชั้นสำนักภายนอกซูชิหลงและชนชั้นสำนักภายในอยู่ภายในห้องโถงใหญ่แล้วขณะนี้ พวกเขาได้เข้าห้องโถงใหญ่แล้ว
พวกเขาเพิ่งพูดคุยกับหูเชี่ยนเหม่ยและปฏิบัติตามคำร้องขอของ หูเชี่ยนเหม่ย พวกเขาขายสินค้าให้กับนางแล้วแม้ว่าบางรายการจะมีราคาแพง แต่ก็เป็นการรักษาความสัมพันธ์ไว้ด้วยดังนั้นตระกูลซูจึงเต็มใจขายพวกมัน
แน่นอนว่าหูเชี่ยนเหม่ยติดอยู่ที่นี่เป็นเวลาสองสามวันซึ่งผู้นำสูงสุดแห่งตระกูลซูไม่ได้ปฏิเสธที่จะรับรอง
หลังจากที่ทุกคนเดินเข้าไปในห้องโถงฝูงชนก็นั่งลง
ซูหยุนอดทนรออยู่นอกห้องโถงก่อนที่มันจะถูกนำตัวเข้ามา
นอกห้องประชุมมีสี่สาวกหุ้มเกราะหนักพร้อมยุทธภัณฑ์ระดับสีเขียว ในมือของพวกเขาถืออาวุธระดับสีเขียวและโล่ เหล่าสาวกของสำนักภายนอกไม่สามารถเปรียบเทียบกับเหล่าองค์ขรักษ์ยอดฝีมือเหล่านี้ได้พวกเขาปล่อยกลิ่นอายแห่งจิตวิญญาณที่โดดเด่นขณะที่พวกเขายืนอยู่ที่นั่น พวกเขาส่วนใหญ่เป็นผู้บ่มเพาะขั้นผลิวิญญาณระดับเจ็ดแห่งองค์ขรักษ์ตระกูลซู ทุกๆท่าทางขององค์ขรักษ์ถูกเน้นรักษาท่วงท่ามั่นคง พวกเขาไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกแม้แต่น้อย
ห้องประชุมสามารถจุคนได้ประมาณสิบคน ส่วนมากเป็นบุคลที่สำคัญๆอย่างเช่น ซูชิหลง ผู้ดูแลส่วนกลางสำนักภายใน ดูแลการเงิน ซูหมิงเฮ่อ ดูแลการปกครอง ซูเสี่ยวฟาง ผู้พิทักษ์ฝ่ายบู๊ ซูต่า
ส่วนที่เหลือมาจากสำนักภายนอก โดยปกติแล้วพวกเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้มาที่นี่ แต่เนื่องจากเรื่องปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับสำนักภายนอกซูหยุน พวกเขามีส่วนเกี่ยวข้อง ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่ข้างนอกแม้ว่าจะไม่สามารถเข้าสู่ตัวอาคาร
"คาราวะ ท่านผู้นำสูงสุด ผู้ทรงเกียติ!" ซูหยุนพูดขึ้นขณะที่มันเข้ามามองทุกคน สายตาของมันตกลงไปยังผู้ที่นั่งอยู่ด้านหลังของห้องโถผู้นำสูงสุดซูหลี่โซวง
ผู้อาวุโสตระกูลซูทั้งหมดมาถึงแล้ว มาถึงทั้งหมดถึงแม้จะเกี่ยวข้องกับเรื่องสำนักภายนอก แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องจิ้งจอกสาวเจ้าเสน่ห์ของ หูเชี่ยนเหม่ย บางทีผู้นำอาจจะไม่ได้เข้ามาแทรกแซง
ซูหยุนแอบกำกำปั้นไว้แน่นหัวใจมันเต้นถี่จนเนื้อเต้น มันยืนอยู่เงียบ ๆ
"ซูหยุน?" ในเวลาผู้นำสูงสุดได้เปิดปากออกมา มันมีเสียงที่รุนแรง ไม่มีความเป็นมิตรหรือความเสียใจ
"ครับ! ซูหยุนตอบด้วยเสียงต่ำ
"ข้าขอถามเจ้า ในเขาเปียงกู่ มันเกิดอะไรขึ้นในตอนท้าย? ทำไมมีคนเห็นว่าเจ้าถูกวิญญาณปีศาจจรื่อหวังโม่วฆ่าตาย?! แล้วทำไมเจ้ายังมายืนอยู่ตรงนี้ ไม่เพียงแค่นั้นสำนักกระบี่เซียนยังมาที่นี่เพื่อมาพบเจ้า! แล้ว ... เจ้ามีปัญหาอะไรกับ แม่เฒ่า หลงเชี่ยนหลี่? เจ้าไปทำอะไรมา? "
ซูหลี่โซวง ไม่อ้อมค้อม พูดออกมาแบบตรงเป้า
แม่เฒ่หลงเชี่ยนหลี่มาที่นี่ด้วยตัวเอง?
ซูหยุนตกใจ
ผู้หญิงคนนี้มีจุดประสงค์อะไรในการมาที่นี่? นางรู้หรอว่ามัน ... ได้พบผลึกสวรรค์?
หัวใจของซูหยุนตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย แต่ตอนนี้ผู้นำตระกูลซูกำลังถามคำถามมากมาย
มันไม่เคยวางแผนล่วงหน้า แต่มันไม่อาจแหวกหญ้าให้งูตื่น นอกจากนี้แผนปัจจุบันของมัน มันยังต้องการอยู่ในตระกูลซู ถ้ามันต้องการจากไปมันต้องพาซูชิงเอ๋อไปด้วย
ในที่สุดมันก้คิดเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ได้ "ในวันนั้นซูหยุนได้ถูกสังหารโดยวิญญาณปีศาจจรื่อหวังโม่ว ชีวิตของข้าแขวนไว้อยู่บนเส้นด้ายและข้าถูกขังอยู่บนยอดหน้าผา ข้ากลัวมากข้าไม่อยากตายโดยวิญญาณปีศาจจรื่อหวังโม่ว ข้าไม่มีทางเลือกข้าจึงกระโดลงหน้าผา ข้าตกลงไปที่ทะเลสาบแห่งหนึ่งในภูเขาเปียงกู่ โชคดีที่ข้าไม่จมน้ำตาย แต่ร่างกายของข้าอ่อนแอไม่อาจออกจากเขาเปียงกู่ได้ทันเวลา หลังจากนั้นข้าก็เดินไปรอบ ๆ ภูเขาเปียงกู่ และพบแม่น้ำที่ไหลออกมาจากภูเขา เปียงกู่ ข้าไปตามแม่น้ำเพื่อออกจากภูเขาเปียงกู่ และกลับมาที่ตระกูลซู! ข้าเพิ่งได้พบกับ หูเชี่ยนเหม่ย ที่หน้าประตูหลักเมื่อมาถึงแล้ว "
ภูเขาเปียงกู่ เป็นที่น่าอัศจรรย์มากดังนั้นแม้ว่าจะเป็นพื้นที่ต้องห้ามของตระกูลซูแต่อาคมของตระกูลซูไม่สามารถครอบคลุมภูเขาได้ทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่แม่น้ำบางแห่งในภูเขาจะนำออกไปข้างนอกได้
หลังจากซูหลี่โซวงได้ยินอย่างนี้คิ้วของเขาก็ขมวดกันอย่างช้าๆ
นัยน์าของเขาจ้องมองและจดจ่ออยู่ในขณะที่เขาจ้องมองที่ซูหยุนเพื่อดูว่าคำใดที่มันพูดนั้นเป็นเรื่องโกหก
ซูหยุนรู้ดีว่ากลิ่นอายพลังวิญญาณที่มีพลังมากกำลังตรวจสอบร่างกายของมันาอย่างละเอียดและพยายามที่จะทดสอบสถานะทางจิตของมันในตอนนี้
กึก !!!
ทันใดนั้นศิลานิรันดร์ที่ซ่อนอยู่ในเสื้อผ้าของมันก็เริ่มสั่นเบา กระแสน้ำแสนอบอุ่นปกคลุมหัวใจของมัน ทำให้มันสามารถรักษาจิตใจที่มั่นคงได้
ประสิทธิภาพของศิลานิรันดร์ไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มความสามารถในการบ่มเพาะ แต่สามารถช่วยในการทำสมาธิได้ด้วยซึ่งต้องมีจิตใจที่สงบและให้ตั้งมั่นอย่างสมบูรณ์
ซูหยุนค่อยๆจ้องมองซูหลี่โซวงอย่างเงียบ ๆ ดูหากเขาสังเกตเห็นศิลานิรันดร์ หลังจากเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติมันก็โล่งใจ
ซูหลี่โซวง ยังนิ่งเฉยนัยน์ตาของเขาจ้องมองลึกเข้าไปข้างใน ซูหยุน หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดว่า "นี่เป็นเรื่องจริงหรือ?"
"ครับท่าน! ผิวของซูหยุนม่เปลี่ยนแปลง
ซูหลี่โซวงเงียบ ทั้งสองฝ่ายต่างสนใจท่าทางของกันและกันจึงไม่มีช่องโหว่
ต่อจากนั้นล่ะ! ในเวลานั้น ซูหลี่โซวง ถามขึ้นอีกครั้งว่า "แล้วทำไมแม่เฒ่าแห่งสำนักกระบี่เซียนหลงเชี่ยนหลี่ นางอ้างว่าเจ้าได้ได้แอบขโมยของบางอย่างจาก สำนักเซียนกระบี่? ข้าต้องการรู้ว่าสิ่งที่เจ้าขโมยมาจากพวกเขาคืออะไร? "
"สำนักกระบี่เซียนอ้างว่าข้าขโมยมาจากพวกเขา?" สาวกซูหยุน หดตัวลงขณะที่มันกระวนกระวายใจ
เห็นได้ชัดว่า หลงเชี่ยนหลี่รู้ตัวว่าเป็นมันและผลึกสวรรค์จริงๆ เหตุผลที่นางจากตระกูลซูตั้งแต่ที่นางรู้ว่ามันถูกส่งตัวเข้ารับการทดสอบใน เขาเปียงกู่
หลงเชี่ยนหลี่ไม่ได้บอกว่ามีวัตถุโบราณต่อตระกูลซู อีกอย่างหนึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่จะออกไปพร้อม ผลึกสวรรค์
เนื่องจากนางต้องการให้ตระกูลซูค้นหาความจริงในเรื่องนี้เพราะนางไม่เชื่อว่ามันตายในเขาเปียงกู่ เมื่อตระกูลซูได้ตั้งคำถามกับซูหยุนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้ว่าจะเป็นการยากที่จะซ่อนผลึกสวรรค์ แต่มันก็ไม่น่าจะมีปัญหา
หลังจากเสร็จสิ้นการวิเคราะห์ซูหยุนสูดหายใจเข้าลึก ๆ มันเลือกที่จะเดิมพัน
มันไม่รู้ว่าการวิเคราะห์ของมันถูกต้องหรือไม่ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในปัจจุบันสถานการณ์นี้เป็นไปได้มากที่สุด!
พลันใบหน้าของมันก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันขณะที่มันตอบว่า "โอ้ ... เรื่องนี้เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น! เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด! "
"ตอนนั้นข้าออกไปนอกเขตตระกูลซู ข้าไปที่เขตชุมชนทะเลสาบกระจก เพื่อหาซื้อของบางอย่าง แม่เฒ่า หลงเชี่ยนหลี่ ก็อยู่ที่นั่นด้วย นางกำลังทำภารกิจบางอย่างให้กับสำนักกระบี่เซียน ข้าโชคดีทีได้พูดคุยกับแม่เฒ่าหลงเชี่ยนหลี่ที่นั่น นางได้ทำกระเป๋าเงินหาย สุดท้ายนางก็คิดว่าข้าเป็นคนหยิบไป ข้าถูกใส่ร้ายจริงๆ! ผู้อาวุโส ด้วยการบ่มเพาะของข้า ท่านคิดจริงๆหรือว่าข้าจะกล้ายั่วยุ สำนักกระบี่เซียนจริงๆ? ข้าคิดว่า ผู้อาวุโส หลงเชี่ยนนั้นงามดั่งเทพธิดา ช่วยไม่ได้ที่ข้าจะหลงมองนางบ้าง ข้าไม่ได้หวังจะให้เกิดความเข้าใจผิดผิด ๆ ... " พูดจบซูหยุน ก็ถอนหายใจ
"แค่นั้นหรอ?" ซูหลี่โซวงถาม
"ซูหยุนรับรองว่าทุกคำเป็นความจริง ท่านผู้อาวุโสท่านน่าจะรู้ว่าข้าจะมีความกล้าพอที่จะกล้ากระตุ้นเสือภายในสำนักกระบี่เซียนได้หรอ? "
"ใช่! เพียงแค่อาศัยการบ่มเพาะของแม่เฒ่าหลงเชี่ยนหลี่ก็ฆ่าเจ้าได้ง่ายๆ! " ผู้อาวุโส ซูชิหลง ที่อยู่ใกล้ ๆพูดขึ้น
"ขยะสำนักภายนอกคงไม่มีความกล้ามากนักใช่มั้ย?" อีกคนหนึ่งเสริม
ซูหยุนไม่ได้พูดใดๆ
ซูหลี่โซวง ไม่ได้แสดงความคิดเห็นในขณะที่เขาก้มหน้าลงไป
ทั้งบรรยากาศในห้องโถงค่อนข้างแปลกเพราะห้องประชุมทั้งหมดเงียบสนิท
ซูหยุนไม่กล้าที่จะกระวนกระวายใด ๆ ดังนั้นทั้งสองมือของมันบางครั้งก็จะจับชายเสื้อของมัน ถ้หากมันยังนิ่งมันจะทำให้บางคนสงสัยมัน แต่ถ้านิ่งมากเกินไปมันก็อาจถูกสงสัยว่ามีความผิด
โชคดีที่การกระทำในปัจจุบันของมันสมบูรณ์แบบ
แม้ว่าความสามารถในการโน้มน้าวของมันไม่ได้ยอดเยี่ยม แต่มันก็ยังสามารถชักชวนอีกฝ่ายได้อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตามเหตุผลของมันยังคงเป็นเพียงเรื่องธรรมดา
อย่างน้อย ... . ก็สมควร.
"เอาล่ะตอนนี้ข้ารู้แล้ว!"
"คุณเพิ่งกลับมาจากภูเขาเปียงกู่เจ้าคงยังเหนื่อล้า กลับบ้านและพักผ่อนซ่ะ "
"เข้าใจแล้วครับท่านผู้นำ แล้วซูหยุนจะกลับมาไหม่!" หลังจากซูคำนับมันก็รีบถอยออกไป
หลังจากที่มันจากไปแล้วพวกผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ที่นั่น
การแสดงท่าทางของทุกคนแตกต่างกัน
ผู้อาวุโสบางคนก็กระซิบกับคนอื่น แต่ลังเลที่จะพูดขึ้น
ในที่สุดซูหลี่โซวงก็พูดขึ้นมาก่อนว่า "ท่านคิดว่าเด็กคนนี้พูดมา ... จริงหรือเท็จ?"
"แม้ว่าจะฟังดูน่าสงสัย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้!" อาจารย์ใหญ่อวิ้นซินซิ๋ว พูดจากที่นั่งที่สอง เขาพูดต่อว่า "ภูเขาเปียงกู่เป็นพื้นที่ต้องห้ามแต่มันเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาทั้งหมด แม้ว่าจะมีอาคมอยู่ แต่ก็ยังมีอีกหลายเส้นทางที่จะพาคนออกจากภูเขาเปียงกู่ ข้าคิดว่าซูหยุนพูดมามีเหตุผล สำหรับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขาและแม่เฒ่าหลงเชี่ยนหลี่...ข้าคิดว่ามันก็สมเหตุสมผล มิฉะนั้นแล้วเขาจะกล้าทำอะไรกับสำนักกระบี่เซียนกับกาบ่มรเพาะอันอ่อนแอของเขา? "
"ไม่ต้องพูดถึงแค่ตัวมัน! การบ่มเพาะที่น่าสังเวชนี้ ถึงแม้ว่าจะมีมันถึง 10 เท่าแล้วมันจะไปทำอะไรได้? " ผู้อาวุโสจร้างเห่าที่อยู่ใกล้ๆก็เห็นด้วย
ซุหมิงเฮ่อผู้ดูแลการเงิน เขาดูงงงันกับคู่ดวงตาของมันา "แต่ ... ซูหยุนเป็นคนลึกลับจริงๆ ทุกคนมีความรู้สึกเหมือนกันใช่มั้ย? ข้าพึ่งบอกไปเมื่อไม่นานมานี้ว่าการบ่มเพาะของเขา ระดับเขตแดนพื้นฐานจิตวิญญาณขั้นที่หกใช่ไหม? หลังจากสังเกตเห็นกลิ่นอายของเขาในวันนี้แล้วข้าได้วิเคราะห์แล้วว่ามันเป็นระดับผลิวิญญาณแล้ว! "
"การทดสอบความแข็งแกร่ง?" ซูหลี่โซวง ที่พอจะนึกอะไรได้บ้างก็หันหน้าไปทาง ซูชิหลง จากนั้นเขาก็ถามว่า "ซูชิหลงเด็กคนนี้เป็นสมาชิกของสำนักภายนอกของตระกูลซูใช่มั้ย?"
ซูชิหลงรีบลุกขึ้นยืนและพยักหน้า "ท่านผู้นำถูกต้องแล้วครับ!"
"ข้าบอกว่าการบ่มเพาะของสาวกคนนี้ไม่ก้าวหน้ามาประมาณแปดปีแล้วทำไมมันถึงมีอัตราการเติบโตน่ากลัวเช่นนี้?"
"ในเรื่องนี้ข้ายังไม่ชัดเจน ... " ซูชิหลงส่ายหัว
ซูหลี่โซวงคิดครู่หนึ่งแล้วกระซิบว่า "ให้ข้าบอกน่ะ หนึ่งในสองคนนี้ต้องมีคนใดคนหนึ่งหลอกเรา!"
"สองคนนี้?" ซูชิหลงถาม
"ใช่ ถ้าไม่ซูหยุน ก็ หลงเชี่ยนหลี่ ... "
ในที่สุดซูหลี่โซวงก็ลุกขึ้นยืนและสั่งอย่างเงียบ ๆ ว่า "ทุกคนจับตาดูซูหยุนและค่อยๆสังเกตทุกๆการเคลื่อนไหวของเขา ถ้ามีการเคลื่อนไหวใด ๆ ให้รายงานเรื่องนี้กับข้าได้ทันที "
จากนั้นซูหลี่โซวงหันไปรอบ ๆ และออกจากที่ประชุมโดยตรง
"เข้าใจแล้วครับท่านผู้นำสูงสุด!"
ทุกคนในห้องประชุมลุกขึ้นและคำนับอย่างรวดเร็ว
ในขณะเดียวกันที่ต้นไม้ขนาดใหญ่ด้านนอกของห้องประชุมภาพเงาสามารถมองเห็นได้ถ้ากวาดสายตามอง แต่ในไม่ช้าก็จางหายไป