AST บทที่ 115 - ขั้นที่ 4 แห่งเคล็ดวิชากายาบรรพกาล (จบภาคปฐมบท)
ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย
https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique/
บทที่ 115 - ขั้นที่ 4 แห่งเคล็ดวิชากายาบรรพกาล
"หมูป่าอสูรโลหะทองคำ!!!!"ดวงตาของชิงสุ่ยฉายแสงประกายระยิบระยับ
ชิงสุ่ยมองไปทางแม่ของเขา และเห็นสายตาที่ตื่นตระหนกของเธอ ชิงสุ่ยก็คาดเดาได้ทันทีว่าแม่ของเขานั้นจำได้ว่าสัตว์ตัวนี้คือ หมูป่าอสูรโลหะทองคำ ส่วนเหตุผลที่ชิงสุ่ยรู้ได้ว่ามันเป็นหมูป่าอสูรโลหะทองคำก็เพราะเขาเคยเห็นมันในสารานุกรมสัตว์อสูร ในช่วง 2-3 หน้าสุดท้ายที่แนะนำสัตว์ที่เกิดจากการแปรสภาพร่างกาย
สัตว์โตเต็มวัยที่จากการแปรสภาพสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นจากระดับสัตว์อสูร หรือสัตว์อสูรไร้แก่น หรือสัตว์ดุร้าย หรือแม้กระทั่งสัตว์ป่า พวกมันจะมีเอกลักษณ์ที่เด่นออกมา แล้วยังเสริมสร้างความแข็งแกร่งออกมาอย่างท่วมท้น ชิงสุ่ยจำคำอธิบายเกี่ยวกับหมูป่าอสูรโลหะทองคำได้เป็นอย่างดี
หมูป่าอสูรโลหะทองคำคือหมูป่าร่างโตเต็มวัยที่เกิดอาการแปลสภาพสายพันธุ์ ซึ่งมันอาจจะเกิดจากการกินผลไม้พิเศษบางอย่าง หรือหินปริศนา หรืออาจจะเกิดจากการดูดซับพลังปราณจากสวรรค์และโลก
ตามคำเขียนอธิบายของสารานุกรมสัตว์ อธิบายว่า หมูป่าอสูรโลหะทองคำมีความแข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกลั่น แม้กระทั่งผู้ฝึกตนเทวะเซียนเทียนขั้นที่ 1 ก็ไม่อาจสร้างบาดแผลอันตรายให้กับมันได้ ฟันของมันนั้นแข็งแกร่งอย่างมากสามารถฉีกกระชากทุกสิ่งทุกอย่างได้ แม้กระทั่งเหล็กก็ตาม การเคลื่อนไหวของมันนั้นรวดเร็วปานสายลม และความแข็งแกร่งที่แท้จริงนั้นยังไม่ปรากฏ
ถ้าจะให้พูดอย่างตรงไปตรงมา ตอนนี้ชิงสุ่ยรู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก เหตุการณ์จะเลวร้ายยิ่งกว่านี้ถ้าหาก หมูป่าทองคำ เกิดบ้าคลั่ง ชิงอี้รู้สึกงงงวยอย่างยิ่ง ในขณะที่ศัตรูที่แข็งแกร่ง อยู่ห่างจากพวกเขาเป็นเพียง 100 เมตรเท่านั้น
ชิงสุ่ยกำลังจ้องมองดวงตาของหมูป่าทองคำที่มีขนาดใหญ่ มันถูกเติมเต็มไปด้วยความน่ารัก และร่องรอยแห่งสติปัญญา ชิงสุ่ยรู้ดีว่าสัตว์ที่กลายพันธุ์นั้นส่วนใหญ่จะมีสติปัญญาปรากฏขึ้น และร่างกายของพวกมันนั้นเรียกได้ว่าเป็นขุมสมบัติและยิ่งแก่นอสูร ของพวกมัน มีค่าสูงยิ่งกว่าแก่นอสูรของสัตว์อสูร
"ท่านแม่ ลงจากรถและพาพวกเขาถอยห่างออกไปก่อน ตอนนี้มันขวางเส้นทางพวกเราไว้ ดังนั้นเดี๋ยวลูกจะไปหาทางล่อมันออกไปเอง"ชิงสุ่ยกระโดดออกจากรถหลังทางที่เขาบอกกล่าว
"ชิงสุ่ย เจ้าพาพวกเขาหนีไป เดี๋ยวแม่จะไปดึงดูดความสนใจมันเอง!!!"ชิงอี้ลงมาจากรถ พร้อมกับชิงฮูและชิงเป่ย พร้อมทั้งกล่าวมาอย่างรวดเร็ว
"คราวนี้ เราจะไม่ไปไหนอย่างแน่นอน พวกเราจะจัดการไปด้วยกัน"ชิงเป่ยพูดด้วยความโกรธ
ชิงฮูไม่ได้กล่าวใดๆ แต่สายตาของเขานั้นบ่งบอกได้เลยว่าเขาจะไม่ไปไหนอย่างแน่นอน
"เอาล่ะ พวกเจ้าพูดเหมือนเรื่องตลกท่ามกลางสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เคยมีครั้งไหนกันที่ข้าตัดสินใจ ทำอะไรลงไปโดยไม่มั่นใจ? ท่านแม่ได้โปรดเชื่อลูกเถิด พาพวกเขาไปซ่อน และเดี๋ยวอีกไม่นานลูกจะรีบกลับมา"ชิงสุ่ยกล่าวอย่างง่ายๆ
ชิงอี้มองดูชิงสุ่ยยังไม่แน่ใจในขนาดที่เธอส่ายหน้า ในตอนนี้เธอค่อนข้างไม่เชื่อในตัวของชิงสุ่ย
"ลูกยังมีผลเสริมความว่องไว ท่านแม่มั่นใจได้!!!"ชิงสุ่ยหยิบผลเสริมความว่องไวออกมาก่อนที่จะกินมันเข้าไปอย่างรวดเร็ว เขาวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วก่อนที่จะหันหลังกลับมาก็เป็นสัญญาณให้เธอพาน้องๆของเขาหนีไป
ชิงอี้รู้สึกช่วยไม่ได้ เธอคือทำได้เพียงพาชิงฮู ชิงเป่ย และสารถีทั้งสอง ถอยหลังกลับไปอย่างรวดเร็ว
ยามบ่ายในฤดูร้อน แสงแดดยังคงแผดเผาและไร้ซึ่งแรงลม ชิงสุ่ย ยืนอยู่ห่างจากหมูป่าทองคำประมาณ 50 เมตร
ท่านใดนั้น หมูป่าทองคำก็จ้องมองมาทางชิงสุ่ยและดวงตาของมันก็ขยายขึ้น มันกำลังคิดว่าชิงสุ่ยกำลังท้าทายมันและพุ่งตัวเข้าหาชิงสุ่ยด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าฟาด
"ให้ตายเถอะ ทำไมมันถึงเร็วเยี่ยงนี้?"แม้ภายใต้อำนาจจากการกินผลเสริมความว่องไว แต่ชิงสุ่ยก็ยังช้ากว่าหมูป่าทองคำมาก
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ก้าวไร้วิญญาณ พัฒนาเป็นก้าวขจัดวิญญาณ มันทำให้การเคลื่อนไหวของเขาคล่องแคล่วก้องไว ทำให้ทุกย่างก้าวลึกซึ้งและลึกลับมากขึ้น ด้วยสิ่งนี้ ชิงสุ่ยจึงสามารถเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ของเขาได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่เขาพยายามวิ่งเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขาหมูป่า
มันคงเป็นเรื่องโกหกถ้าหากจะบอกว่าเขานั้นไร้ซึ่งความกลัว ท่ามกลางแสงแดดฤดูร้อนที่แผดเผา ชิงสุ่ยต่างเต็มไปด้วยเหงื่ออุ้ม หมูป่าทองคำก็กำลังวิ่งไล่ตามชิงสุ่ยด้วยระยะห่างไม่ถึง 2 เมตร
ชิงสุ่ยพยายามรวบรวมสมาธิและให้ความสำคัญกับการเคลื่อนไหวของหมูป่าตลอดเวลา ชิงสุ่ยรู้ดีว่าภายในตัวของมันนั้นมีแก่นอสูร ซึ่งมันจะช่วยให้การโจมตีของหมูป่าตัวนี้รุนแรงยิ่งขึ้น ทุกๆครั้งที่มันโจมตี แก่นอสูรจะปลดปล่อยพลังปราณ ซึ่งมันคล้ายกับพลังปราณของผู้ฝึกตนเทวะเซียนเทียน แต่ผลกระทบของมันนั้นรุนแรงยิ่งกว่าพลังปราณของผู้ฝึกตนเทวะเซียนเทียน
ความกังวลเดียวที่ชิงสุ่ยกลัวมากที่สุดนั่นก็คือ หมูป่าทองคำตัวนี้อาจจะซ่อนบางสิ่งบางอย่างที่สามารถทำให้เขาตกเป็นเหยื่อได้อย่างรวดเร็ว หรือแม้กระทั่งสังหารเขาได้อย่างง่ายดาย
ชิงสุ่ยไม่กล้าที่จะปะทะโดยตรง เขาทำได้เพียงแค่เคลื่อนที่เปลี่ยนทิศทางและหลบหลีกไปเรื่อยๆ และแม้ว่า หมูป่าทองคำจะจู่โจมโดยอาศัยพลังจากแก่นกลางของมัน แต่ชิงสุ่ยก็สามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีที่รุนแรงของมันได้
หลังจากนั้นเกือบจะ 15 นาที ชิงสุ่ยก็ยังคงมุ่งมั่นจดจ่ออยู่ที่สัตว์อสูรตัวนี้ จนกระทั่งเขาเข้าไปในยังส่วนลึกของหุบเขาหมูป่าด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ
"ผลเสริมความว่องไวสามารถใช้ได้เพียง 15 นาทีเท่านั้น และเมื่อใดที่ข้าสูญเสียพลังนั้นไป หมูป่าทองคำตัวนี้คงจะจับข้าเรียกง่ายดาย และเมื่อพลังนี้สูญหายไป ความแข็งแกร่งของข้ามันจะลดลงอีก และโอกาสที่ข้าจะถูกสังหารนั้นคงเพิ่มขึ้นอีก 30%"
หลังจากตั้งใจหลบหลีกการโจมตีของหมูป่าทองคำ ชิงสุ่ยปล่อยหมัดเข้าไปโจมตีบริเวณหัวของมัน จากด้านข้าง
ตูมมมม!!!!!!!!!!!
ชิงสุ่ยรวบรวมพลังทั้งหมดของเขาไว้ในกําปั้นที่ชกออกไป หมัดที่ถูกปล่อยออกไปรู้สึกเหมือนกระแทกเข้ากับแผ่นโลหะส่งเสียงดังราวกับเสียงระเบิดออกมา แค้นของชิงสุ่ยถึงกับงอและสั่นจากแรงกระแทก
หลังจากที่หมูป่าทองคำได้รับการโจมตีอย่างรุนแรง ชิงสุ่ยก็เข้าใจในทันทีว่าทำไมผู้ฝึกตนเทวะเซียนเทียนถึงไม่อาจก็บาดแผลให้มันได้
พลังหมัดของชิงสุ่ยนั้นมีพละกำลังมหาศาลมากกว่า 20,000 จิน เมื่อมองดูหมูป่าสีทองตัวนี้ก็ลืมไปได้เลยเกี่ยวกับเรื่องที่กะโหลกศีรษะของมันจะแตกออก แม้แต่ทิศทางที่มันเคลื่อนที่ของมันก็ไม่มีท่าทีเปลี่ยนไปเลย ในตอนนี้ชิงสุ่ยรับรู้ถึงความพ่ายแพ้ที่ยิ่งใหญ่
และดูเหมือนว่าหมัดที่ถูกปล่อยออกไปนั้น จะสร้างความโกรธให้มันแทน มันยิ่งกระโจนเข้าหาชิงสุ่ยด้วยความเร็วที่เร็วขึ้น ขาของมันเคลื่อนที่เข้าหาชิงสุ่ยด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อถือ
"เวรเอ๊ย"การเคลื่อนไหวของหมูป่าตัวนี้ลึกลับมาก มันทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกว่าเขานั้นไร้ซึ่งคนทางในการหลบหนี
บาดแผลลึก เริ่มปรากฏขึ้นบนไหล่ที่เกิดจากอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ เขายังคงพยายามมองหาจุดอ่อนของหมูป่าทองคำ เขาจึงไม่ได้ใส่ใจที่จะดูแลมัน
ในช่วงเวลาอีกอึดใจเดียว เขาก็ได้รับบาดแผลที่บริเวณซี่โครงข้างซ้ายของตัวเขา ซี่โครง 3 แท่งหักออก ทำให้ชิงสุ่ยเจ็บปวดทรมาน และร่างกายของเขาก็เต็มไปด้วยเหงื่อ
ในตอนนี้ชิงสุ่ยต้องการที่จะโจมตีดวงตาของหมูป่าทองคำ เขาค้นพบว่าดวงตานั้นเป็นเพียงจุดอ่อนเดียว แต่มันคงไม่ดีนักถ้าหากจะต้องพึ่งความว่องไวของมันอสูรสันโดษ เขาก็คงไม่อาจทำมันให้สำเร็จได้ ชิงสุ่ยถอนใจ เขารู้สึกเสียใจที่เขานั้นไม่ได้มีอาวุธลับ และเขาก็กังวลว่าเขาอาจจะต้องสูญเสียชีวิตไปในตอนนี้
แม้ร่างกายของชิงสุ่ยจะมีความสามารถในการฟื้นฟู และรักษาอาการบาดเจ็บในอัตราที่น่าตกใจ ไม่ว่าแผลบนร่างกายของเขาจะเพิ่มขึ้น เคล็ดกายาบรรพกาลก็จะรีบเพิ่มความเร็วในการรักษามากยิ่งขึ้น
เมื่อพลังจากผลเสริมความว่องไวหายไป บาดแผลบนร่างกายชิงสุ่ยก็เพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็ว ชิงสุ่ยเริ่มรู้สึกเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น ราวกับคนที่กำลังเจ้าขาเข้าสู่ความตาย
เขาใช้การตอบสนองทั้งหมดในร่างกาย พยายามหลบหลีก และป้องกันการโจมตี ถ้าหากร่างกายของชิงสุ่ยไม่ได้แข็งแรง เขาก็คงหมดสติไปนานแล้ว แต่ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน เขาก็มาถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว
ภาพในอดีตฉายขึ้นผ่านสายตาของชิงสุ่ย เมื่อแม่ของเขาแอบร้องไห้ในตอนที่เธอนั้นได้บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตระกูลเยียนให้เขาฟัง แม้ว่าจะคิดถึงมันยังไงเขาก็ไม่เข้าใจ แม่ของเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานและฝากความหวังไว้กับเขา ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขาถูกหัวเราะเยาะ และถูกเรียกว่าเป็นความล้มเหลวจากคนในตระกูลชิง และต่อมา เขาก็ได้สร้างความปราชัยให้กับซือถูปู้ฝาน และก้าวผ่านพิธีเฉลิมฉลอง และเดินทางเข้าสู่เมืองร้อยไมล์ ภาพครั้งแรกที่พบกับอวี้เหอ ภาพครั้งแรกที่เขาได้พบกับสือชิงจวงและในที่สุดเขาก็ได้สานสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเธอ และได้พบกับเหวินเหรินอูซวง และได้สังหารผู้ฝึกตนเทวะเซียนเทียน และได้รับอาจารย์ที่แข็งแกร่งอีกทั้งยังมีความงามอันไร้ที่สิ้นสุด
ฉากต่างๆถูกฉายขึ้นมาอีกครั้ง ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อเขาเริ่มต้นที่จะฝึกศิลปะการต่อสู้ เขาได้รับเคล็ดวิชากายาบรรพกาล เริ่มฝึกฝนรับรู้เคล็ดวิชาและชำระล้างสิ่งสกปรก เมื่อพัฒนาความแข็งแกร่งขึ้น จี้หยิน-หยางที่ได้รับมา ก็สร้างสิ่งที่ไม่คาดฝันขึ้น เขาได้ก้าวเข้าสู่ดินแดนยกยุพราชอมตะ และเริ่มต้นเรียนรู้การปรุงยา อีกครั้งได้รับเคล็ดวิชาใหม่ๆ เคล็ดวิชาเปลวเพลิงบรรพกาลหยินหยาง หรือแม้กระทั่งเคล็ดวิชาเข็มสยบลิขิตฟ้า……………...
หลังจากนั้นภาพยังคงฉายต่อมันเป็นเรื่องราวการปรุงยา เขาได้เริ่มกลั่นผงยาบรรเทาทองคำ เริ่มทำการรักษาอวี้ต่งห่าวด้วยเคล็ดวิชาเข็มสยบลิขิตฟ้าอันแสนมหัศจรรย์ ภาพที่เขาสามารถรักษาเหวินเหรินอูซวงและรักษาไป๋ลี่จิงเว่ย มันยิ่งทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจ
"ข้า ข้ารอดพ้นจากอุปสรรคมามากมายแล้ว อนาคตอันรุ่งโรจน์กำลังรอข้าอยู่ ถ้าไม่ยอมรับมัน ข้าจะไม่ยอมรับมันเด็ดขาด!!!!!!!!" ชิงสุ่ยปลดปล่อยคลื่นแรงกดดันที่แข็งแกร่งออกมา อีกทั้งศักยภาพภายในร่างกายของเขานั้นก็ระเบิดออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
พลังปราณจากเคล็ดวิชากายาบรรพกาลเริ่มโคจรด้วยตัวมันเอง ราวกลับว่ามันถูกกระตุ้นโดยขุมพลังที่ไม่อาจต่อต้านได้ พลังปราณของเขานั้นโคจรมาถึงรอบที่ 48 โดยไม่มีท่าทีที่จะหยุดลง และมันยังคงหมุนเวียนโคจรพลังปราณอีกรอบ
การโคจรพลังปราณรอบที่ 49 !!!!!!!!
ในช่วงเวลานั้น ชิงสุ่ยรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังบริสุทธิ์ และรู้สึกว่าพลังจากสวรรค์และพื้นโลกกำลังไหลเวียนเข้ามาในจุดไป๋หุ้ย(บริเวณหัว)อย่างไม่มีที่สิ้นสุด มันทำให้ร่างกายของเขาตกอยู่ในอาการมึนงง ราวกับว่ามีข้อมูลจำนวนมากไหลเวียนเข้าไปสู่หัวเขา จนแทบจะระเบิดออกมา จุดไป๋หุ้ยนั้นเป็นเส้นลมปราณที่ปกครองทุกส่วนของร่างกาย เช่นเดียวกับจุดต้าจงที่เป็นเส้นลมปราณเชื่อมต่อกับโลกภายนอก พวกมันทั้งสองเป็นจุดที่ลึกลับที่สุดและกว้างที่สุดในร่างกายของมนุษย์ ไม่มีแค่นั้นทั้งสองจุดชีพจรนั้นต่างถูกเรียกว่า "จุดชีพจรแห่งความตาย"
"ข้าสามารถทำลายมันได้แล้ว ทำลายอุปสรรคที่ก่อปัญหาให้ข้ามากถึง 7 ปี!!!!"
"ในที่สุด ข้าก็ก้าวเข้าสู่ขั้นที่ 4 แห่งเคล็ดวิชากายาบรรพกาล!!!!!!!!!!"
ชิงสุ่ยรู้สึกราวกับว่าเขานั้นกำลังฝันอยู่ และเป็นฝันสุดท้ายก่อนที่เขาจะหมดสติลง
จบภาคที่ 1