ตอนที่ 93 ไม่คาดคิด
ผ่านไปไม่นานประตูห้องพักก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง ทั้งสี่รีบหันหน้าไปมองผู้ที่เป็นสหายของเด็กหนุ่มคนนี้ทันที ทว่าสิ่งที่พวกเขาได้เห็นกลับเป็นร่างที่บอบบางเดินเข้ามา พร้อมเผยผ้าคลุมออกมาจนแสดงให้เห็นใบหน้าที่สดใสงดงาม
เยว่ฉุ่ยเหวินปรากฏร่องแห่งความสงสัยขึ้นมาทันที เพราะผู้ที่เดินเข้ามานั้นเป็นองค์หญิงราชวงศ์ชินไม่ใช่หรือ แล้วอีกอย่างนางรู้จักเด็กหนุ่มผู้นี้ได้อย่างไร ทั้งที่นางก็ไม่ค่อยเผยตัวออกมาให้ผู้คนได้รู้จักเท่าไรนัก
ซึ่งเขาเองก็เคยเห็นนางเพียงครั้งเดียวตอนอยู่ในงานเฉลิมฉลองที่ทางราชวงศ์ชินจัดขึ้นเท่านั้นเอง
เยว่ฉุยเหวินเผยรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อย พลางถามด้วยเสียงที่นุ่มนวล “ไม่ทราบว่าองศ์หญิงไป๋ชุน มาที่พักตระกูลเยว่ เพื่อต้องการสิ่งใดกันแน่”
ชินไป๋ชุนยิ้มออกมาเล็กน้อย “ข้าเพียงต้องการมาดูบุรุษที่พวกท่านพามารักษาตัวเพียงเท่านั้นเอง เพราะตอนที่ข้าอยู่ในหุบเขาราชันย์อสูร เขาเคยช่วยข้าไว้ครั้งหนึ่ง ข้าก็เลยอยากรู้ว่าตอนนี้อาการเขาเป็นเช่นไรบ้าง”
ได้ยินเช่นนี้เยว่ฉานถึงกับแสดงท่าทางที่ไม่พอใจออกมา สายตาของนางมองตรวจสอบไปที่ชินไป๋ชุนอยู่สักพัก ก็พบว่าอิสตรีผู้นี้ก็งดงามเหมือนกัน แต่ที่เป็นจุดเด่นของนางก็คือรูปร่างอันอวบอั๋น จนสามารถดึงดูดสายตาเหล่าบุรุษได้อย่างมากล้นเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามที่ชินไป๋ชุนได้มาถึงห้องพักตระกูลเยว่ ย่อมเป็นเพราะว่าตอนที่เกิดแรงสั่นสะเทือนมหาศาลขึ้นในเขตแดนโบราณข นางก็ได้มาที่ทางเข้าเหมือนกัน
จนกระทั่งมีเหล่าผู้ฝึกวรยุทธรุ่นเยาว์เข้าไปตรวจสอบข้างในเขตแดนโบราณ แล้วสุดท้ายผู้เยาว์ตระกูลเยว์ก็ออกมาพร้อมกับร่างของบุรุษสวมชุดจอมยุทธสีเหลืองที่คุ้นตา จึงทำให้นางได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจก่อน
ทว่าก็มีผู้ฝึกวรยุทธถามเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดภายในเขตแดนโบราณขึ้นมา เมื่อได้ฟังแล้วเลยทำให้นางมั่นใจอย่างยิ่งว่าบุรุษผู้ที่ตระกูลเยว่พาออกมาต้องเป็นคนๆเดียวกับบุรุษที่เคยช่วยนางตอนอยู่ในหุบเขาราชันย์อย่างแน่นอน
แต่เมื่อสายตาของนางมองไปที่ร่างของบุรุษผู้นั้นกลับต้องตกใจ เพราะบาดแผลของเขาค่อนข้างสาหัสมาก แล้วแบบนี้เขาจะรอดได้อย่างไร
เหตุผลนี้เองทำให้นางต้องเดินทางมาที่พักตระกูลเยว่เพื่อสอบถามอาการ ถึงอย่างไรเขาก็เคยช่วยเขาไว้ครั้งหนึ่ง บางทีครั้งนี้นางอาจตอบแทนเรื่องในตอนนั้นก็เป็นได้ ส่วนหินจิตมารที่นางได้ให้กับเขาไว้ ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจเท่าไรนัก
ตอนนี้ภายในห้องพัก สายตาทุกคู่ต่างก็มองมาที่ชินไป๋ชุน แล้วยังแอบสงสัยว่าองศ์หญิงผู้ไม่ค่อยพบปะผู้คนจะรู้จักเด็กหนุ่มผู้นี้ได้อย่างไร หรือว่านี้จะเป็นข้ออ้างที่ทางราชวงศ์ชินอยากเอาตัวออกเด็กผู้นี้ไป
“ไม่น่าเชื่อ องค์หญิงไป๋ชุนผู้ไม่ค่อยพบปะผู้คนจะไปรู้จักเด็กหนุ่มคนนี้ได้อีก” เยว่ฉุ่ยเหวินยิ่งสงสัยเข้าไปอีก
เห็นท่าทางของผู้น้ำตระกูลเยว่ที่หวาดระแวงนางอยู่ ทำให้นางถอนหายใจยาวออกมาพลางกล่าวอธิบายออกไป
“ข้าจะต้องการมาดูว่าเขาอาการเป็นอย่างไรบ้างเท่านั้นเอง ไม่มีเหตุผลอื่นเลย ท่านผู้นำตระกูลเยว่อย่าได้กังวลเลย”
“อู้! เป็นแบบนี้เองรึ เช่นนั้นท่านก็อย่าได้เป็นห่วงเด็กหนุ่มผู้นี้เลย เพราะตอนนี้อาการของเขาดีขึ้นมากแล้ว อาจจะหายภายในไม่กี่วัน” เยว่ฉุ่ยพยักหน้าอย่างเข้าใจ เขาไม่คาดคิดเลยว่านางจะล่วงรู้ถึงความคิดของเขาได้
“เป็นเช่นนี้เองรึ” ชินไป๋ชุนถอนหายใจอยู่ภายใน มันก็ดีแล้วที่อาการของเขาไม่สาหัสมากนัก แล้วแบบนี้นางคงหายความกังวลได้เสีย
“แบบนี้ข้าคงต้องขอตัวกลับก่อน ในเมื่อข้าได้รู้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว”
ชินไป๋ชุนก้มตัวเล็กน้อยเพื่อให้เกียรติผู้อาวุโส เพราะอย่างไรนางก็เป็นเพียงผู้เยาว์เท่านั้น ถึงจะมีสถานะเป็นองค์หญิงก็ตาม
ระหว่างที่ชินไป๋ชุนกำลังจะเดินจากไป ประตูห้องพักก็ได้ถูกเปิดออกอีกครั้งพร้อมร่างบ่าวรับใช้คนเดิมเดินเข้ามา แล้วก้มศีรษะลงเล็กน้อยพลางกล่าวบางอย่าง
“นายท่าน มีแขกต้องการเข้าพบเด็กหนุ่มที่นายท่านพามารักษา เขาบอกเพียงว่าเป็นสหายกันขอรับ”
“สหายอีกแล้วรึ?” เยว่ฉุ่ยเหวินถึงกับคิ้วกระตุก อีกสามคนก็ไม่ต่างกันนัก
ข้างนอกที่พักตระกูลเยว่ หลวนเฟยได้ยืนอยู่ด้วยท่าทางร้อนรนอย่างมาก เพราะเขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าบุรุษที่ตระกูลเยว่พามารักษา มันใช่สหายฉางหยางของเขาหรือไม่ อย่างไรวันนี้เขาจะต้องรู้ให้ได้
แต่อย่างไรก่อนที่เขาจะเดินมาถึงที่พักตระกูลเยว่ได้ ก็ต้องใช้เวลาพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นตามรายทาง ตามที่พักสำนัก นิกาย ต่างก็เต็มไปด้วยอิสตรีที่งดงาม ซึ่งมันทำให้เขาเสียเวลาในการมองพวกนางอยู่นานเลยทีเดียว
ทว่าเขาก็ตั้งสติกลับมาได้ แล้วเดินมุ่งหน้ามาที่พักตระกูลเยว่อย่างใจแข็ง จนพบเข้ากับบ่าวรับใช้แล้วบอกกล่าวความต้องการของตนเองออกไป
หลังจากที่เยว่ฉุ่ยเหวินบอกให้บ่าวไปพาตัวสหายของเด็กผู้นี้มา เพียงเวลาไม่นานร่างที่เต็มไปด้วยไขมันก็เดินเข้ามาในห้องพักอย่างรวดเร็ว สายตาของเขากวาดไปทั่วห้อง จนพบเข้ากับอิสตรีที่มีใบหน้างดงาม แล้วยังมีรูปร่างอันอวบอั๋นอีก แทบจะทำให้เขากระอักความหื่นกระหายออกมาเลย
สติที่หลุดลอยของหลวนเฟยถูกดึงกลับมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาได้สังเกตเห็นเฉินตี้นอนอยู่ที่มือของเยว่เฉินเปา
“น....นั้นมันเฉินตี้ มะ..มะไม่ผิดแน่”
หลวนเฟยชี้นิ้วไปที่เฉินตี้ก่อนจะเดินไปที่เตียงเพื่อดูให้แน่ใจ แต่ผิดกลับทั้งห้าคนที่ยืนดูเด็กหนุ่มผู้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยไขมันอย่างงุนงง
“เจ้ารู้จักสัตว์อสูรตัวนี้ด้วยรึ” เยว่เฉินเปากล่าวออกมาพลางยกเฉินตี้ขึ้นมาให้หลวนเฟยได้ดู
ร่างของหลวนเฟยชะงักชั่วครู่ สายตาของเขามองไปที่เฉินตี้แล้วพยักหน้าเล็กน้อย
“แน่นอนข้าต้องรู้จักอยู่แล้ว เพราะสัตว์อสูรตัวนั้นมันเป็นสัตว์อสูรพันธสัญญาของสหายที่ตายไปของข้าเอง แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ขอข้าได้ตรวจสอบบางอย่างก่อน”
หลวนเฟยรีบเดินไปที่เตียงทันที ซึ่งตอนนี้ร่างของทั้งห้าคนได้ปิดบังใบหน้าของบุรุษผู้ที่คาดว่าจะเป็นสหายของเขาอยู่
เมื่อเขาได้เดินมาถึง สิ่งปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขามันก็คือฉางหยางสหายของเขานั้นเอง แสดงว่าตลอดมาเขาเข้าใจผิดว่าฉางหยางได้ตายไปแล้ว นี่เท่ากับว่าความทุกข์ที่สะสมมาอย่างยาวนานมันหายไปหมดแล้วในตอนนี้
“บ้าเอ้ย! ข้านึกว่าเจ้าตายแล้ว”
หยดน้ำตาแห่งมิตรสหายได้พรั่งพรูออกมา อารมณ์แห่งความสุขก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง ซึ่งมันก็ไม่น่าเชื่อเลยว่าฉางหยางจะสามารถรอดจากสถานการณ์ตอนนั้นได้
แล้วเขาหายไปไหนตั้งสองเดือนโดยไม่กลับมาบอกข่าวให้พวกเขารู้แม้แต่น้อยเลย แบบนี้มันเท่ากับว่าพวกเขาเป็นเสียใจโดยเปล่าประโยชน์เลยไม่ใช่รึ
“เจ้ารู้เด็กหนุ่มคนนี้ด้วยรึ” เยว่เฉินเปาถามด้วยความสงสัย
“ชะ..ใช่แล้ว เขาเป็นสหายร่วมสำนักดาราพิชิตของข้า” หลวนเฟยพยักหน้าทั้งน้ำตา แล้วกล่าวต่อ
“แล้วตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง ข้าได้ยินว่าเขาได้บาดเจ็บสาหัสอยู่ พวกท่านพอมีวิธีรักษาเขาหรือไม่”
เยว่เฉินเปายื่นมือไปตบที่บ่าของหลวนเฟยอย่างแผ่วเบาพลางกล่าวด้วยท่าทางสบายอารมณ์ “เอาน่าๆ ใจเย็นๆก่อน ตอนนี้อาการของฉางหยางสหายของเจ้ากำลังฟื้นตัว คาดว่าอีกไม่นานคงหายเป็นปกติ”
ทางด้านของชินไป๋ชุนนางก็อดตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งระดับการบ่มเพาะ ทั้งเคล็ดวิชาที่น่าหวาดหวั่น เขากลับเป็นเพียงศิษย์สำนักอันกระจ้อยร่อยเท่านั้น
ทั้งที่ระดับอย่างเขาสามารถเป็นศิษย์ของนิกายอันดับต้นๆได้สบาย ดังนั้นหากบุรุษผู้นี้ลงแข่งประลองฝีมือละก็ คงต้องทำให้ศิษย์นิกายอันดับต้นๆต้องพ่ายแพ้เป็นแน่ ขนาดนางเองก็ไม่แน่ใจเลยว่าจะสามารถต่อกรกับเขาได้
สายตาของชินไป๋ชุนจ้องไปที่ฉางหยางอย่างไม่วางตา แต่ทว่านางก็ต้องสัมผัสได้จิตคุกคามมองมาที่ตน จนทำให้นางต้องรีบหันหน้าไปมอง แล้วพบเข้ากับบุตรสาวของผู้นำตระกูลเยว่กำลังจ้องมองมาที่นางด้วยสายตาคมกริบราวมีดนับล้านที่คอยเชือดเฉือนร่างกาย หากนางได้มองลึกเข้าไปในดวงตา
“เอาล่ะในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว ข้าต้องขอตัวก่อน”
ชินไป๋ชุนรีบกล่าวอำลาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะนางเองก็ไม่อยากอยู่ที่พักตระกูลเยว่นานเท่าไรนัก ประกอบกับบุตรสาวคนเล็กตระกูลมองนางราวกับจะกินเข้าไปทั้งตัวก็มิปาน จึงทำให้นางต้องรีบปลีกตัวออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“เช่นนั้นก็ขอให้องค์หญิงไป๋ชุนเดินกลับที่พักโดยปลอดภัย” เยว่ฉุ่ยเหวินกล่าว
ชินไป๋ชุนโค้งตัวเล็กน้อยก่อนจะรีบเดินออกมาทันที แต่สายตาของเยว่ฉานก็ยังไม่เลิกมองจนกระทั่งนางได้เดินหายไป