ตอนที่ 89 พบเจอ
ผ่านไปได้สักพักศิษย์นิกายเพลิงผลาญก็ได้มาถึงจุดที่มีเปลวเพลิงสีทองลุกไหม้อยู่ แต่ทว่าพวกเขาทั้งหมดกลับไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้เลยแม้แต่น้อย เพราะความร้อนที่มันแผ่ออกมา มันร้อนถึงขนาดเลือดในกายเดือดขึ้นมาเลยทีเดียว
“มันเป็นเพลิงอะไรแน่? ทำไมมันถึงร้อนขนาดนี้”
“พวกเราคงมาได้เพียงเท่านี้ล่ะ เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าไปตรวจข้างในเพลิงสีทองอันนั้น ขนาดข้ายืนอยู่ตรงนี้ยังรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัวเลย มันมีเปลวเพลิงที่ร้อนขนาดนี้อยู่ด้วยรึ ข้าก็พึ่งเคยเห็นมันครั้งแรกนี่ล่ะ”
“คงได้แต่ตรวจสอบไปรอบๆ มันเท่านั้น พวกเจ้าก็ระวังอย่าไปโดนมันเข้าเสีย เดียวอาจจะตายไม่รู้ตัวอีก”
เหล่าศิษย์นิกายเพลิงผลาญต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียดกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเปลวเพลิงสีทองอันนี้ พวกเขาไม่รู้เลยมันเกิดขึ้นได้อย่างไร หากในเขตแดนโบราณแห่งนี้ยังสัตว์อสูรหรือผู้ที่สามารถใช้เปลวเพลิงนี้อยู่ พวกเขาจะต่อกรได้อย่างไร แค่เพียงเปลวเพลิงอันนี้ ร่างกายก็สั่นสะท้านไปหมดแล้ว
“พวกเจ้าระวังด้วย ข้าว่าในเขตแดนโบราณแห่งนี้ต้องมีผู้ที่สามารถสร้างเปลวเพลิงนี้ได้แน่นอน พวกเราจะแบ่งกันออกมา ห้ากลุ่ม กลุ่มละสองคน หากเจอสถานการณ์ไม่สู้ดีก็ให้หนีไปที่ทางเข้าทันที”
ทั้งหมดมองหน้ากันแล้วพยักหน้าให้กันเล็กน้อย ก่อนจะพุ่งกระจายตัวออกไปห้ากลุ่มเพื่อตรวจสอบบริเวณโดยรอบ
หลังจากเหล่าศิษย์นิกายเพลิงผลาญกระจายตัวกันออกไปแล้ว ผู้ฝึกวรยุทธรุ่นเยาว์ตระกูลเยว่ก็ได้มาถึง พวกเขาก็ไม่ต่างจากศิษย์นิกายเพลิงผลาญเท่าไรนัก ต่างคนต่างมองหน้ากัน เพราะตอนนี้ไม่รู้จะทำเช่นไรดีแล้ว
“ข้าว่าพวกเราแบ่งหน้าที่กันตรวจสอบดีกว่า แล้วอีกอย่างจงอย่าลืมเป้าหมายของเราว่าเข้ามาสถานที่แห่งนี้ทำไม” เยว่เฉินเปาหันหน้าไปกล่าวกับทั้งสี่อย่างจริงจัง
“ขอรับนายน้อย พวกข้าทั้งหมดจะเร่งตามหาบุรุษผู้นั้นให้เร็ว”
“แล้วอีกอย่างพวกเจ้าจงระวังตัวด้วย อย่าได้ไว้ใจศิษย์นิกายเพลิงผลาญ หากพวกเจ้าเจอสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีก็ให้มาเจอกันที่ตรงนี้ หรือว่าจะส่งสัญญาณให้พวกที่เหลือรู้ก็ได้”
ทั้งสี่พุ่งกระจายออกไปทันที ทิ้งให้เหลือเพียงเยว่เฉินเปาที่ยืนอยู่เพียงลำพัง เพราะตอนนี้เขารู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเปลวเพลิงสีทองที่อยู่ข้างหน้าเขา ซึ่งมันลุกไหม้ลามกินพื้นที่เกือบเป็นกิโลแล้ว
อย่างไรก็ตามเขาเคยเห็นเปลวเพลิงสีทองอันนี้มาก่อนตอนที่อยู่ในถ้ำมารเยือกแข็ง เปลวเพลิงอันนี้มันเป็นของบุรุษปริศนาผู้นั้นไม่ผิดแน่
“หรือว่าเขาจะเข้าแข่งล่าสมุนไพรกันแน่”
ที่ใบหน้าของเขาปรากฏร้อยยิ้มขึ้นทันที ตามด้วยร่างที่พุ่งไปอย่างรวดเร็ว
ณ พุ่มไม้ข้างห่างจากเปลวเพลิงสีทองประมาณร้อยเมตร ฉางหยางและเฉินตี้ต่างก็นอนไม่ได้สติอยู่ เพราะทั้งพลังลมปราณ สภาพของร่างกายได้รับภาระหนักมาก โดยเฉพาะฉางหยางที่บาดเจ็บสาหัสจนยากที่ฟื้นฟูในเวลาอันสั้นได้เหมือนกาลก่อนแล้ว
แถมตอนนี้เปลวเพลิงสีทองก็ใกล้จะลามมาถึงพวกเขาทั้งสองแล้ว แต่ทว่าขณะนั้นเองก็มีร่างสองร่างพุ่งมาทางที่ฉางหยางและเฉินตี้นอนอยู่อย่างรวดเร็ว
พวกเขาทั้งสองไม่ใช่ใครอื่น เป็นศิษย์ของนิกายเพลิงผลาญนั้นเอง ทั้งสองได้กระจายสัมผัสออกไปทั่วบริเวณตลอดทางที่ได้ผ่านมา จนพบเข้าบางอย่าง ยิ่งทำให้สีหน้าของสองจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะพวกเขาทั้งสองสัมผัสได้ถึงพลังลมปราณที่เบาบางมากแต่ก็มีการผันผวนอยู่บางเล็กน้อย
“ข้างหน้าของพวกเรามีบางอย่างอยู่ ระวังตัวให้ดี”
ทั้งสองค่อยก้าวเท้าไปอย่างช้าๆ ภายในร่างพลังลมปราณโคจรอย่างรวดเร็ว บนใบหน้าเริ่มปรากฏเม็ดเหงื่อไหลออกมา สายตาที่มองได้ลำบากในยามราตรี ก็อาศัยเพียงแสงของเปลวเพลิงสีทองในการส่องทางเพียงเท่านั้น
ขณะนั้นเองหนึ่งในสองคนพุ่งทะยานไปที่พุ่งไม้ทันที พร้อมด้วยที่เปล่งออร่าแดงออกมา เตรียมจะออกกระบวนท่าเพื่อปลิดชีพศัตรูในท่าเดียว แต่ทว่าก็ต้องหยุดชะงักทันทีเมื่อได้เห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า
“บ้าเอ้ย!”
ศิษย์ที่พุ่งไปก่อนหน้านี้ต้องสบถออกมาดังลั่น เพราะพวกเขาทั้งสองตื่นตระหนกจนเกินไปเท่านั้น สิ่งที่อยู่ข้างหลังพุ่มไม้มันก็เป็นบุรุษหนุ่มที่สวมชุดจอมยุทธสีเหลืองเท่านั้นเอง แล้วก็มีสัตว์อสูรตัวกระจ้อยนอนอยู่ นี่ทำให้เขายิ้มออกมาอย่างแห้งๆก่อนจะมองไปที่สหายของตน
“เฮ้อ! ข้าก็นึกว่าจะเป็นอะไรเสียอีก สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่ผู้เข้าแข่งเท่านั้นเอง”
อีกคนได้ยินเช่นนี้ก็กล่าวถามออกไป “แล้วเขาเป็นศิษย์ของนิกายไหน”
“ข้าก็ไม่เคยเห็นเขาเหมือนกัน แต่ว่าตอนสมัครเข้าแข่งล่าสมุนไพร เขาก็ไม่ได้บอกกล่าวอะไร สงสัยน่าจะเป็นเพียงผู้ฝึกวรยุทธเร่ร่อนเท่านั้น แถมดูสภาพร่างกายของเขาแล้วไม่น่าจะรอดแน่ เพราะทั่วร่างกายต่างก็เต็มไปด้วยบาดแผล”
ว่าแล้วศิษย์นิกายเพลิงพลาญที่กล่าวอยู่ ก็ก้มลงเล็กน้อยแล้วยื่นมือไปตรวจสอบฉางหยางพร้อมสายหน้าอย่างหมดหนทาง
“แถมกระดูกทั่วร่างก็ได้เสียหายอย่างหนัก อวัยวะภายในบอบช้ำ ข้าว่าบุรุษผู้นี้คงไม่รอดเสียแล้ว”
“เช่นนั้นก็ปล่อยทิ้งไว้ที่นี่ล่ะ เราอย่าเป้าหมายที่ผู้อาวุโสกังหวนให้มาสิ หากเราพาเขาไปด้วยเพียงแต่จะสร้างภาระให้เท่านั้น เพราะอย่างไรในโลกของผู้ฝึกวรยุทธการตายมันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว” อีกคนกล่าวออกมาพร้อมเดินมาที่พุ่มไม้
“แล้วสัตว์อสูรตัวนี้ล่ะ จะทำอย่างไรกับมันดี”
“ปล่อยทิ้งไว้ที่นี่ล่ะมันก็แค่สัตว์อสูร พวกเราต้องการสมบัติที่อยู่เขตแดนโบราณแห่งนี้เท่านั้น”
ทั้งสองพุ่งทะยานผ่านฉางหยางไปทันที เพราะเนื่องจากคำสั่งของผู้อาวุโสกังหวนก็มีเพียงแต่สมบัติระดับสูงเท่านั้นที่จะนำกลับไป แต่พวกเขาทั้งสองก็อดสงสัยไม่ได้
ทำไมในเขตแดนโบราณแห่งนี้ถึงไม่เห็นผู้ฝึกวรยุทธรุ่นเยาว์คนอื่นแม้แต่น้อย เห็นก็เพียงบุรุษผู้สวมหน้ากากปีศาจที่ใกล้ตายอยู่รอมร่อคนเดียวเท่านั้น หรือว่าพวกเขาทั้งหมดจะตายหมดแล้ว หากเป็นเช่นดั่งที่พวกเขาคิดล่ะก็ แสดงว่าในเขตแดนโบราณแห่งนี้มันต้องมีสิ่งที่สามารถสังหารผู้ฝึกวรยุทธภายในพริบตาอย่างแน่นอน
ในด้านของตระกูลเยว่ก็รู้สึกไม่ต่างกันเท่านัก แต่ก็ผิดกับเยว่เฉินเปาที่รู้สึกตื่นเต้น เพราะเขาฝึกปรือฝีมือมาตลอดเพื่อที่จะประลองกับบุรุษปริศนาผู้นั้นสักครั้ง
ตั้งแต่ที่อยู่ในถ้ำมารเยือกแข็งเขาก็มุ่งมั่นคอยส่งคนในตระกูลไปสืบข่าวหาบุรุษผู้นั้นมาตลอดเวลา แต่ทว่ากลับไม่พบร่องรอยแม้แต่น้อย แต่วันนี้บุรุษผู้นั้นอยู่ที่นี่แล้ว เขาจะพลาดได้อย่างไร
พริบตาร่างของเยว่เฉินเปาก็ตามมาทันผู้เยาว์ในตระกูลแล้ว เขาหันไปมองผู้เยาว์คนนั้นแล้วถามออกไป
“เป็นอย่างไรบ้าง เจอหรือไม่”
“นายน้อยขอรับ ตั้งแต่ที่พวกเราเข้ามาก็ยังไม่เห็นผู้เข้าแข่งคนอื่นเลย ท่านว่ามันไม่แปลกไปหน่อยรึ” ผู้เยาว์ในตระกูลถามกลับไปอย่างสงสัย
“ก็ใช่นะ แต่ว่าเราจะทำอย่างไรได้ ตอนนี้ก็ทำได้เพียงค้นหาต่อไปเท่านั้น”
ทั้งสองได้แต่กระจายสัมผัสออกไปเท่านั้น ภายในร่างต่างก็โคจรตลอดเวลาเพื่อเตรียมกับเหตุการณ์ที่จะเกิด อย่างไรก็ตามระหว่างนั้นทั้งสองก็สัมผัสได้พลังลมปราณที่เบาบางอย่างมาก
ใช่แล้วที่ทั้งสองสัมผัสได้ เป็นฉางหยางและเฉินตี้นั้นเอง เพราะปกติแล้วผู้ฝึกวรยุทธหากไม่มีการใช้เคล็ดวิชาก็จะไม่เกิดการผันผวนของพลังลมปราณหรือก็คือแรงกดดันนั้นเอง แล้วถ้าหากผู้ฝึกวรยุทธอยู่นิ่งๆโดยไม่มีการโคจรพลังลมปราณ ก็จะทำให้จับสัมผัสของพลังลมปราณไม่ได้เลย ทำได้เพียงแต่พึ่งประสาทสัมผัสทั้งห้าเท่านั้น
แต่เมื่อหมดสติลง พลังลมปราณภายในร่างกจะปั่นป่วนไปมาคล้ายกับกำลังโคจรพลังลมปราณอยู่ แต่ระยะที่จะสัมผัสได้น้อยก็จะสั้นลงไปด้วย สรุปก็คือยิ่งโคจรพลังลมปราณเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มการผันผวนของพลังลมปราณมากขึ้นเท่านั้น
แล้วยิ่งใช้เคล็ดวิชาก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย เพราะในเคล็ดวิชาต่างก็เพิ่มแรงกดพลังลมปราณเกือบเท่าตัวกันทั้งนั้น ดังนั้นระยะการจับสัมผัสของพลังลมปราณหรือแรงกดดันพลังลมปราณ ก็จะขึ้นอยู่กับระดับการบ่มเพาะของผู้ฝึกวรยุทธผู้นั้นด้วย ซึ่งหากระดับการบ่มเพาะสูงก็จะมีสัมผัสที่เฉียบคมและกว้างไกลตามไปด้วย
“นายน้อยข้างหน้ามีบางอย่างอยู่” ผู้ฝึกวรยุทธรุ่นเยาว์ตระกูลเยว่กล่าวขึ้น
“ข้าก็สัมผัสได้เหมือนกัน”
เยว่เฉินเปาโคจรพลังลมปราณในร่างให้ไหลไปรวมอยู่บริเวณเท้าทันที พริบตานั้นเองร่างของเขาหายไป
“พรึบบ”
ปรากฏตัวอีกครั้งหลังพุ่มไม้แล้ว มือที่เปล่งออร่าสีฟ้ากำลังจะโจมตีก็ต้องหยุดชะงักลง พร้อมด้วยสีหน้าที่ตกใจเล็กน้อย
“ที่แท้ก็เป็นผู้ฝึกวรยุทธเองรึ แต่พลังลมปราณในร่างเหือดแห้งไปหมดเลย มิน่าเล่าข้าถึงสัมผัสได้เบาบางยิ่งนัก”
สายตาของเยว่เฉินเปามองไปที่บุรุษสวมชุดจอมยุทธสีเหลือ แล้วมีหน้ากากปีศาจปิดบังใบหน้าอยู่ เขาก็ยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ เพราะนี่มันไม่ใช่บุรุษที่ฉานเอ๋อบอกให้ออกตามหาหรอกรึ....