ตอนที่ 28 -- ตราสัญลักษณ์กิลด์
แปลโดย Mikky
Edit โดย check2534
ตอนที่ 28 -- ตราสัญลักษณ์กิลด์
โคล้ด เลออนฮาร์ทที่ผมรู้มาจากอนาคต เป็นบุคคลที่นำเวทมนต์ที่รู้จักในชื่อสเกาท์สโคปมาสู่สมาพันธ์นักเวทย์จากนั้นหล่อนก็กลายเป็นนักเวทย์อัจฉริยะ
ฉายาเฟลมออฟเฟลมของผมถูกถอนไปหลังจากการค้นพบสเกาท์สโคปไปหนึ่งปี ยิ่งกว่านั้นหล่อนที่ปรากฎตัวออกมาราวกับสายลมก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ผมจึงไม่ค่อยมีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับหล่อนมากนัก
หรือต้องบอกว่าในอนาคตที่ผมจากมา หล่อนเป็นนักเวทย์ที่ยังทำตัวเป็นปริศนา จึงไม่ค่อยมีข้อมูลสำคัญอะไรเกี่ยวกับเธอจริงๆ
ที่ผมรู้มีเพียงชื่อกับรูปของเธอเท่านั้น
แล้วผมก็ลืมเรื่องนั้นไปจนกระทั่งตอนนี้
รวมถึงเรื่องที่หล่อนเป็นคนนำสเกาท์สโคปมา
เวทย์มนต์ที่สามารถแสดงพรสวรรค์แฝงออกมาในรูปแบบของตัวเอง
ด้วยเวทย์มนต์นี้เพียงบทเดียว โลกแห่งเวทย์มนต์ก็ได้ก้าวหน้าขึ้นอย่างก้าวกระโดด
เลเวลของเวทย์ฟ้าเพิ่มขึ้นทั้งหมด และผู้คนถูกเลือกเข้าไปในตำแหน่งสูงๆจากพรสวรรค์แฝงแทนที่จะเป็นความสามารถในปัจจุบัน
ในทางตรงกันข้าม นักเวทย์ที่มีค่าพรสวรรค์ต่ำจะถูกไล่และปลดออกจากงาน
เหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในตอนที่ผมถูกทิ้งราวกับขยะเพียงเพราะเวทย์แดงมีค่าพรสวรรค์แฝงต่ำ
ตอนนี้หยุดเรื่องนั้นไว้ก่อน
แต่ที่ผมไม่เข้าใจก็คือทำไมคนที่นำสเกาท์สโคปมาที่สมาพันธ์นักเวทย์ถึงไม่ใช่มิลลี่แต่เป็นโคล้ด
หากผมจำไม่ผิด ตอนที่โคล้ดนำสเกาท์สโคปมา หล่อนไม่ได้สังกัดกับกิลด์ใดๆเลย
เท่าที่ผมรู้มากิลด์นักล่าแห่งฟ้าครามของมิลลี่เองก็ไม่ได้ถูกบันทึกใดๆเอาไว้ ราวกับว่ามันไม่เคยมีอยู่
เมื่อคิดเรื่องนั้น เหงื่อเย็นๆก็ไหลลงมาตามหลังอย่างหยุด
บางทีมิลลี่อาจจะตาย? แล้วหลังจากนั้นโคล้ดก็ได้รับม้วนคัมภีร์สเกาท์สโคปมาเป็นของที่ระลึก
ไม่สิ ถ้าโคล้ดอยากจะนำชื่อเสียงมาให้มิลลี่จริงๆ หล่อนก็คงจะบอกตอนที่นำม้วนคัมภีร์มาแล้ว
เมื่อคำนึงถึงเรื่องที่โคล้ดประกาศชื่อของตนในบันทึก มันก็เหมือนกับว่าหล่อนได้ขโมยม้วนคัมภีร์สเกาท์สโคปมาจากมิลลี่
ม้วนคัมภีร์ของมิลลี่นั้นถูกสร้างขึ้นจากเลือดและน้ำตาด้วยความยากลำบาก
การไปขโมยของที่ถูกคิดค้นขึ้นแบบนั้น ก็เหมือนกับการเหยียบย่ำเจ้าของแล้วโอ้อวดเรื่องนี้
ในสมาพันธ์นักเวทย์นั้น นี่ถือเป็นข้อห้ามในหมู่ข้อห้าม
เห็นได้ชัดว่าหากมิลลี่ยังคงมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนั้น เรื่องนี้ก็คงจะแดงออกมา
แล้วโคล้ดขโมยมันมาได้ยังไง?
เรื่องนั้นมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว
-ฆ่า
ก่อนที่ผมจะรู้ตัว ผมก็ได้จ้องเขม็งไปที่โคล้ดซึ่งกำลังได้รับการรักษาจากมิลลี่อยู่
ผมบีบคอเธอแล้วกดลงไปกับพื้น
“ดะ...เดี๋ยวเซฟ! นั่นนายจะทำอะไร?”
”
“เงียบซะมิลลี่”
”
“เซฟ...คุง…?”
”
ผมยังคงบีบคอโคล้ดเต็มแรง
แม้ผมจะคิดว่าตัวเองใจร้อนเกินไป
แต่ผมก็หยุดตัวเองไม่ได้
ผมกำหมัดแน่นแล้วยกหมัดขึ้น
“เซฟ!”
”
หมัดที่ผมยกเฉียดผ่านใบหน้าของโคล้ดแล้วกระแทกลงบนพื้น
แต่ก่อนที่ผมจะรู้ตัว มือของผมก็ถูกไขว้ไว้ข้างหลัง
มันถูกโคล้ดบิดจนผิดปกติ
หล่อนที่กำลังจับมือของผมไว้ ก็กำบีบจนแน่นขึ้นเรื่อยๆ
“อ๊ากก….!?”
”
“ช่วยบอกเหตุผลให้ผมฟังทีสิเซฟคุง ผมไปทำอะไรโหดร้ายหรือทำอะไรเสียมารยาทต่อคุณรึเปล่า? แต่ถ้าหากคุณไม่บอกว่ามันคืออะไร ผมก็ไม่รู้และไม่สามารถกล่าวขอโทษเรื่องนั้นได้”
”
แขนของผมกำลังกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
ในด้านพลังกายเพียงอย่างเดียว ดูเหมือนว่าโคล้ดจะแข็งแกร่งกว่าผม
ถ้าเป็นแบบนี้แล้วล่ะก็ เข้ามาเลย!
ผมกัดฟันทนความเจ็บปวดที่แขนแล้วเพ่งสมาธิ
โคล้ดเองก็ตอบสนองต่อกระแสพลังเวทย์ที่พรั่งพรูออกมาจากตัวผมอย่างรุนแรง แล้ว….!
“หยุดนะ!!”
”
กิ๊งงงงง เสียงที่ดังและกังวาลดังก้องเข้ามาในหูผม ทำให้ทั้งโคล้ดและผมต่างหยุดมือ
มิลลี่ยืนอย่างองอาจขณะที่พูดโดยไม่สนใคร
ผมนึกว่าแก้วหูผมจะระเบิดออกมาซะแล้ว
“พวกนาย พอได้แล้ว! โดยเฉพาะเซฟ!.......เกิดอะไรชึ้นกันแน่?”
”
“อ่า...ไม่…..เอ่อ….”
”
“หืม? อะไร?”
”
มิลลี่ชำเลืองมาที่ผมซึ่งกำลังก้มหน้าลง
สายตาทิ่มแทงที่เธอมองมาดูราวกับจะทำให้บรรยากาศอันตรายรอบตัวผมหายออกไป
“ผมขอโทษ ผมแค่เข้าใจผิดไปเอง”
”
“ไม่ใช่ว่านายกำลังขอโทษผิดคนหรอ? พูดกับโคล้ดสิ”
”
เธอยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่ประนีประนอม
นึกดูแล้ว ก่อนหน้านี้เล็กน้อยภาพที่ผมเห็นมันพร่ามัวไปด้วยสีแดงราวกับเลือดได้แล่นเข้ามาในหัว แต่หากคิดให้ดีๆล่ะก็ ยังเร็วไปที่จะสรุปแบบนั้นแล้วฆ่าโคล้ด
เริ่มด้วย เหตุผลที่โคล้ดเลือกที่จะนำม้วนคัมภีร์มาในอนาคตยังคงเป็นปริศนา
อีกอย่าง ยังมีความเป็นไปได้ที่โคล้ดไม่ได้พบมิลลี่ด้วยซ้ำ
….แต่ โธ่เว้ย ผมไม่สามารถขจัดความรู้สึกไม่สบายใจนี้ออกไปจากใจได้เลย
อย่างไรก็ตาม ผมยังไม่มีหลักฐานใดๆมัดตัวโคล้ด
ยิ่งไปกว่านั้น จากที่ผมเห็น โคล้ดที่อยู่ตรงหน้าของผมนั้นดูเหมือนไม่มีอะไรเลยนอกจากเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง
หล่อนเริ่มสร้างความเชื่อมั่นดีๆในตัวมิลลี่ และเป็นไปได้ว่าพวกหล่อนจะกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้
ผมสวมหน้าเยือกเย็นมากเท่าที่จะเป็นไปได้ขณะที่ขอจับมือ
“ผมต้องขอโทษด้วย พอดีมีแมลงอยู่บนหน้าเธอ”
”
“หุ….หุหุ คำแก้ตัวน่าอายนั่นมันอะไรกัน งั้นก็ลืมๆมันไปซะเถอะ”
”
“ขอบคุณ”
”
ขณะที่เราจับมือกันอย่างเคอะเขิน มิลลี่เองก็วางมือลงบนมือของพวกเรา
“เอาล่ะ! ในเมื่อเสร็จเรื่องราวหมดแล้ว งั้นก็กลับบ้านไปหาคุ้กกี้หรืออย่างอื่นกินกันเถอะ!”
”
“ฟังดูดีนี่ ที่จริงแล้วผมอบคุ้กกี้เก่งนะ”
”
“อย่างกับผู้หญิงเลยไม่ใช่หรือไง?”
”
“ก็ผมเป็นผู้หญิงจริงๆนี่นา!”
”
โคล้ดทำราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นเรื่องที่ไม่สำคัญอะไรขณะที่เธอพูด
ตามธรรมดาแล้วถ้าผมบีบคอใครสักคนจนหายใจไม่ออก ปฏิกริยาโดยธรรมชาติก็ควรที่จะมองมาที่ผมด้วยสายตาโกรธเคือง แต่ผมไม่สามารถหาคำพูดที่เย้ยหยันหรือเกียจชังจากน้ำเสียงเธอเลย
บอกตามความจริง ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าที่จริงแล้วมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างมิลลี่กับโคล้ด
อย่างไรก็ตามผมจำเป็นต้องระมัดระวังมากเท่าที่เป็นไปได้เพื่อประโยชน์ของมิลลี่ ใช่ไหมล่ะ?
ผู้คนสามารถเปลี่ยนเป็นสิ่งที่หน้ากลัวได้เมื่อเวลาผ่านไป
(มิลลี่)
”
เมื่อผมได้ส่งข้อความโดยตรงผ่านระบบการส่งข้อความของกิลด์ สายตาของมิลลี่ก็ได้หันมาที่ผม
(เห็นแก่ผม เธออย่าสอนเวทย์สเกาท์สโคปให้โคล้ดได้มั้ย?)
”
(.......เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเหตุผลที่นายต่อสู้กับโคล้ดเมื่อกี้นี้สินะ?)
”
(อา...แต่ผมยังบอกรายละเอียดให้เธอฟังไม่ได้จริงๆ)
”
(เกิดอะไรขึ้นล่ะนั่น?)
”
(ได้โปรดล่ะ ผมขอร้อง….!)
”
ผมขอเธออย่างจริงจังด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม และมิลลี่ก็มองมาที่ผมอย่างระมัดระวัง
พวกเราอยู่อย่างนั้นประมาณสอง.....ไม่สิอาจสามวินาทีล่ะมั้ง?
(เข้าใจแล้ว แต่ว่าฉันไม่สามารถซ่อนสิ่งนี้จากโคล้ดไว้ได้ตลอดหรอกนะไม่ว่าอย่างไรฉันก็เป็นคนพูดมากอยู่แล้ว)
”
(ผมรู้)
”
โป๊ก!! มิลลี่เขกหัวผม
(ทำอะไรของเธอเนี่ย?)
”
(นี่! มันไม่ดีเลยนะที่ยืนยันอะไรอย่างนั้นเกี่ยวผู้หญิง นี่นายไม่ได้อ่านสถานการณ์สักนิดเลยเหรอ?)
”
(แต่ มันเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่หรอ?)
”
(อ้าา..พอกันที! ถ้านายเป็นอย่างนี้ล่ะก็ ฉันจะบอกโคล้ดเรื่องสเกาท์สโคปให้หมดเลย)
”
(อย่าทำอะไรโง่ ๆ นะ! ไม่ใช่ว่าเธอเพิ่งบอกว่าจะไม่พูดอะไรหรอกหรอ?!)
”
“ขอโทษนะ.....จะเป็นไรไหมถ้าเธอสองคนหยุดพูดคุยกันในหัวของพวกเธอ? หากฉันไม่สามารถเข้าร่วมในการสนทนาไม่ใช่ว่าฉันถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวตามลำพังหรอกหรอ?”
”
โคล้ดเกาแก้มของเธอเบา ๆ ด้วยใบหน้าที่ดูเป็นทุกข์
อ้ะ ผมลืมไปซะสนิทเลยว่าที่จริงแล้วโคล้ดเองก็อยู่ที่นี่
มิลลี่เองก็แสดงสีหน้าแบบเดียวกันกับผม
-ที่บ้านมิลลี่
ในตอนนี้พวกเรากำลังเพลิดเพลินไปกับกาแฟที่ชงโดยมิลลี่และคุกกี้ที่อบโดยโคล้ด
“ยังไงซะ ผมก็อยากจะเข้ารรวมวงสนทนาของพวกเธอในตอนที่พวกเธอพูดคุยกันผ่านความคิด .......ผมต้องทำยังไงถึงจะทำแบบนั้นได้?”
”
“มันก็ง่าย ๆ เพียงแค่เธอเข้าร่วมกิลด์”
”
“แล้วผมต้องทำยังไงบ้าง?”
”
“ต้องได้รับตราสัญลักษณ์ของกิลด์ก่อน ตราสัญลักษณ์กิลด์เป็นเครื่องประดับที่แสดงว่าได้รับการยอมรับจากกิลด์มาสเตอร์ให้เข้าร่วมกิลด์ได้ นี่คือขั้นตอนทั่วๆไป ว่าแต่มิลลี่ เธอทำตรากิลด์รึยัง?”
”
ในขณะที่มิลลี่กำลังเคี้ยวคุกกี้อยู่ หล่อนก็ทำหน้าเหมือนมีปัญหาเล็กน้อยตอนที่ตอบคำถามของผมด้วยความลังเล
“อ่า...เอิ่มมม....เอ่อ....ความจริงคือฉันยังอย่ในช่วงกำลังคิดอยู่”
”
อ้าฮ่ะฮ่ะ เธอหัวเราะออกมาอย่างเคอะเขินในขณะที่เกาหัวตัวเอง
ถ้าผมดูไม่ผิด ผมมักจะเห็นเธอร่างอะไรบางอย่างแบบลวก ๆ ในสมุดที่โรงเรียน นั่นคือการออกแบบตรากิลด์ของเธองั้นหรอ ?
แต่เมื่อคำนึงถึงเรื่องที่เธอสร้างกิลด์ขึ้นมาหลายเดือนแล้วแต่ยังไม่ได้สร้างตราสัญลักษณ์กิลด์มันก็ดูจะเป็นปัญหาอยู่หน่อย….
“เธอไม่ต้องสร้างตราสัญลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบออกมาก็ได้ มันใช่สิ่งที่แสดงให้เห็นพลังที่แท้จริงกิลด์ซักหน่อย นอกจากนี้แม้ว่าจะทำมันออกมาเงอะงะไปหน่อย แต่นั่นมันจะเป็นเอกลักษณ์ส่วนหนึ่งของกิลด์”
”
“นายคิดอย่างนั้นหรอ...?”
”
“มิลลี่ซังมันอาจเป็นยากหากคิดเรื่องนั้นทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว แต่ถ้าหากว่าคุณเลือกที่จะแสดงตัวเลือกที่ดีให้พวกเราดู พวกเราก็สามารถตัดสินใจร่วมกันได้นะ?”
”
“อืมม....งั้นพวกนายอยากเห็นมันใช่มั้ย?”
”
มิลลี่หยิบเอาสมุดของตัวเองออกจากกระเป๋านักเรียนด้วยความเขินอาย
โห่ย ๆ กระเป๋านักเรียนไม่ใช่ที่สำหรับเก็บของอย่างนั้นไว้นะเว้ย?
เมื่อทั้งผมและโคล้ดมองไปที่สมุดโน้ตที่เปิดออกมา เราทั้งคู่ก็หายใจเข้าตามสัญชาตญาณ
สิ่งที่เห็นนั้นคือตัวอักษรที่เหมือนกับใส้เดือนและหน้ากระดาษที่เต็มไปด้วยการขีดเขียนอย่างลวก ๆ
สมุดทั้งเล่มเต็มไปด้วยรูปร่างแปลก ๆ และวงกลม
บางอันดูเหมือนกับวงเวทย์ลึกลับ
“พวกนายคิดว่าอันไหนดี?
”
เมื่อมิลลี่ถามความเห็นของพวกเราในขณะที่กำลังเขินอาย ทั้งโคล้ดและผมต่างก็พูดอะไรไม่ออก
==========
อุทิศให้คุณพ่อยุทธนา ศิริพัฒนานันทกูร
==========
ติดตามข่าวสารและตอนใหม่ๆได้ก่อนใครที่ https://www.facebook.com/RachanTranslations/