ตอนที่13 น้ำตาของวัวสีเขียว
**เปลี่ยนผีเป็นภูตินะครับ ไม่ก็อาจจะใช้ภูติผี ตามสถาณการณ์
หลี่ผู้มั่งคั่งกล่าว "นี่คือ ดาบที่ข้าซื้อจากร้านหอกสีทองในเมืองอาทิตย์อัสดง" เขาไม่ได้เป็นคนขี้ขลาด เขาจะไม่โกรธได้อย่างไรเมื่อภรรยาและลูกของเขาตาย? ในใจเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังแม่มด ดาบเล่มนี้ได้พิสูจน์ว่าเขาก็ยังคงเป็นคนเลือดร้อนดั่งเช่นคนทั่วไป
แต่ถึงเขาจะโกรธเกลียดแม่มดขนาดไหนเขาก็คงยังเป็นแค่ชาวนาธรรมดา ตรงหน้าเขาข้างหนึ่งเป็นเหล้าอีกข้างหนึ่งเป็นดาบ แต่ถึงแม้เขาจะดื่มเหล้าจนเมามายขนาดไหนเขาก็ยังไม่มีความกล้าที่จะหยิบดาบขึ้นมาแล้วเขาก็จมปลักอยู่กับเหล้าจนเขารู้สึกว่าเขาไม่มีแรงที่จะถือดาบขึ้นมาแล้วแม้แต่นิดเดียว แต่เขาก็ยังคงเก็บดาบเล่มนี้ไว้ตลอดไม่เคยคิดที่จะเอามันไปขายเพื่อแลกเหล้ากิน
น้ำตาของหลี่ผู้มั่งคั่งก็ไหลรินออกมาเมื่อเขานึกถึงเรื่องที่ผ่านๆมา"ข้าไม่กล้าที่จะขายดาบนี่ ถ้าหากข้าขายไปข้าคงไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว"
จู่ๆหลี่ฉิงชานก็เกิดความคิดแว๊บเข้ามาในหัว เขาค่อยๆเอาดาบเก็บเข้าไปในฝัก"ถ้าลุงเชื่อมั่นในตัวข้า เช่นนั้นมอบดาบนี้ให้ข้าเถอะ ข้าจะไปสะสางเรื่องของลุงให้"
หลี่ผู้มั่งคั่งโบกมือให้และเดินออกไป
หลี่ ฉิงชานรีบเดินออกมาพร้อมกับอารมณ์ที่อยากจะฟันแม่มดให้ขาดในดาบเดียว แต่หลังจากที่เขาถึงบ้านเขาก็สงบลงและเริ่มที่จะฝึกทักษะหมัดของเขา
"สามารถที่สั่งภูติผีได้ มันคือพลังเหนือธรรมชาติระดับไหนกัน? มันเทียบเท่ากับพลังของวัวเก้าตัวและเสือสองตัว?"
"ผู้ที่มีพลังอำนาจมาก นั้นจะถูกยกย่องชื่นชมโดยภูติผีบรรพบุรุษนับพันนั้นจะถูกเรียกว่า จักรพรรดิ์ภูติ เป็นสหายของพระเจ้าและเหล่าอสูร
ผู้ที่อ่อนแอสามารถรังแกได้แค่คนธรรมดาทั่วไปเท่านั้นและทักษะการบ่มเพาะของพวกเขานั้นนอกจะมิเพียงแต่ไม่มีประโยชน์แล้วยังเป็นอันตรายแทนอีกด้วย ความมืดมนนั้นจะกล้ำกายร่างกายของพวกเขา มันจะทำลายจิตใจและบิดเบือนสภาวะจิตใจ
"แม่มดนี่ มีพลังเป็นประเภทบิดเบือนสภาวะจิตใจ" หลี่ ฉิงชาน โล่งใจ หลี่ ฉิงชานคาดไว้แล้ว แม่มดที่โดนเขาเตะไปและไม่ตอบโต้อะไรเลยในตอนนั้นคงจะเตรียมการแก้แค้นไว้เรียบร้อยแล้วหลังจากที่รอมานาน
"อย่าได้ประมาท เจ้าไม่สามารถมองเห็นภูติผีได้ ดังนั้นเจ้าคงไม่สามารถหาวิธีป้องกันวิธีต่างๆนาๆของเธอได้"
ความคิดของหลี่ ฉิงชาน ก็เปลี่ยนทันที่"พี่วัวข้าเคยได้ยินมาว่า เมื่อคนเอาน้ำตาของวัวมาป้ายตาแล้วจะสามารถมองเห็นภูติผีได้"
"ไม่ต้องคิดเรื่องนั้นเลย ข้าไม่เคยต้องหลั่งน้ำตามาก่อนในชีวิต"
"เมื่อผู้ชายมีน้ำตา แต่ไม่หลั่งออกมามันเป็นเพียงเพราะพวกเขาไม่เคยพบกับความเศร้าโศกในหัวใจ พี่วัวนี้ท่านเคยอกหักบ้างรึปล่าว"
วัวสีเขียวหันหน้าหนีและไม่สนใจเขา
หลี่ ฉิงชานรู้ว่าจริงๆแล้วพี่วัวเป็นคนหัวดื้อ เขาเลยไม่ได้เซ้าซี๊อะไรต่อ
ในวันนี้ทั้งคู่ได้คุยกันบ่อยๆและเขาก็ได้สังเกตเห็นอารมณ์ของวัวสีเขียว มันไม่ต้องการให้เขาพึ่งพามากเกินไป
เส้นทางของเจ้าเจ้าต้องเดินด้วยตัวของเจ้าเองและสิ่งที่เจ้าได้ทำไปเจ้าต้องมองไปยังจุดที่สิ้นสุดด้วยตัวเจ้าเอง
พลบค่ำ.....
วัวสีเขียวก็มอบขวดกระเบื้องเล็กๆให้หลี่ฉิงชาน หลังจากที่ให้วัวสีเขียวก็เดินออกไปและไม่ได้อธิบายอะไรเลย วัวสีเขียวเดินขึ้นไปบนภูเขาวัวหมอบและมองดูพระอาทิตย์กำลังตกดินเหนือภูเขานับแสน
หลี่ ฉิงชานเปิดขวดออก ข้างในเป็นของเหลวสีน้ำเงินใสๆ ความคิดของเขาก็พลันพุ่งพล่านสดใส เขาได้แต่ขอบคุณเงาของวัวสีเขียวเท่านั้น เขาจุ่มเศษใบหญ้าป่าลงไปและค่อยเอามาหยดใสตาเขาอย่างระมัดระวัง
ในตอนแรกเขาไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันก็อุ่นขึ้น อุ่นขึ้นและมันอุ่นพอที่จะร้อนราวกับน้ำเดือด หากปราศจากการบ่มเพาะที่ยากลำบากทุกวันนี้ เขาคงจะกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดไปแล้ว
ภายในบ้านอิฐสีเขียวและกลุ่มควันมากมาย กลุ่มคนด้านนอกต่างพากันมาขอดูดวงชะตาพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้างและอ้าปากค้าง ที่เห็นแผ่นยันต์บินอยู่ในอากาศเกิดประกายแสงขึ้นจากนั้นก็ไฟสีฟ้าก็ลุกไหม้ขึ้นมา
แต่พวกเขาไม่สามารถที่จะทนมองเด็กที่หน้าซีดเซียวคนนั้นพยายามใช้แรงที่เข้ามีทั้งหมดเพื่อเก็บแผ่นยันต์นั้นไว้ พวกเขาได้แค่เพียงก้มหัวลงด้วยความเคารพและความเกรงกลัว พวกเขาให้เงินทั้งหมดของตนกับแม่มดแล้วถอยออกไปข้างหลัง
แม่มดค่อยๆเก็บเงินช้าๆจากนั้นใบหน้าของเธอพลันกลายเป็นเคร่งครึม"เกิดอะไรขึ้น ทำไมเจ้าหลี่เอ๋อร์ยังไม่ตาย!? นี้เจ้าตั้งใจทำงานรึป่าว เจ้าต้องการให้ข้าไล่เจ้าไปรึ!"
เด็กที่น้อย ได้แต่ส่ายหัวด้วยความกลัว
ทันทีที่แม่มดสั่นกระดิ่งในมือ เด็กน้อยล้มลงด้วยความเจ็บปวด พร้อมกับมีลมมืดมนพลันระเบิดกระจายควันรอบๆออกไป
จากนั้นไม่นานนักแม่มดก็หยุดสั่นกระดิ่ง"จงเชื่อฟัง เชื่อฟังยายของเจ้า ยายของเจ้าย่อมกระทำกับเจ้าอย่างเป็นธรรมอยู่แล้ว"แม่มดได้ให้เข็มที่บางราวกับขนของวัวแก่เด็ก"เอาไปทิ่มตาของมันให้บอดซะ"
เด็กถือเข็มไปด้วยความยากลำบาก พร้อมกับขี่ลมยามคำคืนลอยไปทางภูเขาวัวหมอบ
ในความมืดมิดยามค่ำคืน หลี่ ฉิงชานนั่งหลับตาอยู่ในลานบ้านของเขา
เด็กน้อยเดินเข้าไปหาเขาพร้อมกับค่อยๆยกเข็มจะไปแทงตาเขาอย่างช้าๆ
ในสายตาของคนปกติ มันเป็นเพียงเข็มเล็กๆที่ลอยอยู่บนอากาศ มันทั้งเล็กและบางอย่างมาก ถึงแม้จะเป็นตอนกลางวันก็ยังยากที่จะมองเห็นได้ชัดไม่ต้องพูดถึงยามค่ำคืนที่มืดมิดเช่นนี้มันไม่มีทางที่จะมองเห็น!
หลี่ ฉิงชาน เขาเหมือนจะรู้สึกได้ถึงบางอย่างและเขาก็ลืมตาขึ้นมาทันที เข้าปัดเข็มที่เกือบจะเข้ามาทิ่มตาเขาได้พร้อมกับจ้องมองไปที่ดวงตาสีดำมืดของเด็กน้อยด้วยสายตาแหลมคมราวกับดาบ"เจ้าทำอะไร" ดวงตาของเขาดูมีชีวิตชีวาราวกับเปลวไฟที่ลุกโชน
ในตอนพลบค่ำ หลี่ฉิงชาน เจ็บปวดจนเขาทนไม่ไหว ทันใดนั้นเศษเสี้ยวของลมหายใจที่มองไม่เห็นในร่างกายเขาก็ขยับ มันเคลื่อนที่ขึ้นไปที่ดวงตาเขา ความเจ็บปวดทั้งหมดพลันลดลงทันที
เมื่อความเจ็บปวดจากความร้อนหายไป ความรู้สึกสดชื่นที่อยู่ในดวงตาเขาได้ทำให้เขารู้สึกมีความสุข
เขาลืมตาขึ้นมาทันที ในตอนที่เขารู้สึกว่าราวกับกำลังมีอันตรายมากมายเข้ามา หลังจากที่เขาลืมตาขึ้นมาเขาก็ได้เห็นผีน้อยตนเดิมที่เห็นในคืนก่อนมายืนอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมกับเข็มในมือ
เขารู้สึกตกใจและกลัวเล็กน้อย เขาคิดว่าแม่มดมีพลังทักษะเกี่ยวกับภูติผีเพียงเล็กน้อยและจะไม่โจมตีเขาซึ้งๆหน้า ไม่ว่าในกรณีใดก็ตามความมืดมนของเจ้าภูติน้อยจะไม่ทำร้ายเขา
เขาเลยประมาณศัตรูตนนี้ไว้ต่ำ ถ้าหากเขาไม่ได้น้ำตาของวัวสีเขียวมา มันคงยากที่จะหลีกเลี่ยงแผนชั่วร้ายที่จ้องจะทำลายตาของเขา วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีโดยการทำเป็นมองไม่เห็นจากนั้นค่อยตอบโต้
เด็กน้อยรู้สึกประหลาดใจมากพร้อมกับตัวสั่นเทาไปด้วยความหวาดกลัวจากการจ้องมองของหลี่ ฉิงชาน ที่โกรธเกรี้ยว เข็มเล่มเล็กๆก็หล่นลงพื้นทันทีพร้อมกับเด็กที่ลอยหนีห่างออกไป
หลี่ ฉิงชาน สังเกตเจ้าเด็กน้อยอย่างละเอียด พบว่าเจ้าเด็กนี้อายุราวหกถึงเจ็ดขวบเท่านั้น เขาดูน่ารักถ้าหากไม่มีหน้าที่ซีดขาวแบบนั้น เขาคงเป็นดั่งเด็กทองคำและเจ้าหญิงหยกที่เป็นอมตะ เขาสวมเสื้อคลุมที่ทำมาจากผ้าผันแผลอาจจะเป็นเสื้อที่เขาใสก่อนตาย เขาดูไม่เหมือนกับผีที่ถูกใช่งานเยี่ยงทาสแต่ราวกับกับเจ้าชายตัวน้อยในครอบครัวใหญ่ๆ
เด็กคิดว่าหลี่ฉิงชานเห็นเขาแล้วเลยไม่กล้าที่จะเดินมา แต่เขาก็กลัวว่าเขาจะถูกลงโทษถ้าเขากลับไปโดยไม่ได้ทำงานให้เสร็จ เขาเลยไม่กล้าที่จะหนีไป
หลี่ฉิงชานไม่ได้มีความหวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่ไม่อาจมองเห็นได้นับว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดแต่ในตอนนี้เขาสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนและเห็นว่าเจ้าเด็กน้อย กลัวยิ่งกว่าเขา
หลี่ฉิงชานกล่าว"เจ้าชื่ออะไร มาจากไหน"
ไม่ว่าเขาจะถามอะไรก็ตามเด็กน้อยคนนี้ยืนนิ่งราวกับท่อนไม้และไม่ตอบอะไร
"เจ้าพูดไม่ได้?"
เด็กลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้า
หลี่ฉิงชานคิดว่าเขาน่าจะแค่ถูกควบคุมโดยแม่มดเท่านั้น เขาได้เจอกับความโชคร้ายและตายในวัยเด็ก เขาอาจจะถูกฆ่าโดยแม่มดก็ได้ หลี่ฉิงชานเลยรู้สึกสงสารและทัศนคติเขาก็อ่อนโยนลง
"เมื่อวานนี้เจ้าอยู่เกาะติดข้าอย่างกับกาว ตอนนี้เจ้าจะกลัวอะไร เข้ามาใกล้ๆข้ามีเรื่องจะถาม"
เด็กน้อยเห็นว่าการแสดงออกของเขาเปลี่ยนไปมันไม่ได้น่ากลัวเช่นเดิมแล้ว เด็กน้อยเลยค่อยๆขยับเข้าไปใกล้ๆอย่างระมัดระวัง
หลี่ฉิงชานกล่าว"หากเจ้าไม่ต้องการจะพูด เช่นนั้นเจ้าเพียงพยักหน้าหรือส่ายหน้าก็พอ เข้าใจไหม"
เด็กน้อยพยักหน้า
นี่คือวิธีที่คนเป็นและคนตายสื่อสารกัน....
มีอะไรติชมได้นะค่า
ติดต่อข่าวสารได้ที่เพจ Legend of the Great Saint ครับ^^