ตอนที่ 094 – ตำหนักสิบแปดรูปปั้นทองสัมฤทธิ์
ตอนที่ 094 – ตำหนักสิบแปดรูปปั้นทองสัมฤทธิ์
ยามเมื่อถังเทียนพบเห็นจิ่งเหาเดินมา เขาก็หยุดลง
จิ่งเหารู้สึกอับอาย “ข้าได้ทำขายหน้าตัวเองแล้ว ความดื้อรั้นของน้องถัง จิ่งเหาผู้นี้ประทับใจจริงๆ”
เขานอนหลับไปสองวันสองคืน ภายในความทรงทำของเขา เขามิเคยได้หลับยาวนานเช่นนี้มาก่อน เมื่อนึกถึงการประลองก่อนหน้านี้ มันก็ทำให้หัวของเขาชาด้าน แต่หลังจากที่เขาตรวจสอบร่างของเขาแล้ว เขาก็ประหลาดใจที่พบว่าปราณแท้จริงของเขาได้มีการยกระดับอย่างเห็นได้ชัด และไม่เพียงแค่นั้น วิชากระบี่ก็พัฒนาขึ้นเช่นกัน
มันทำให้เขาประหลาดใจและมีความสุข ในสภาพปัจจุบันของเขา ทุกการพัฒนาอันเล็กน้อยมันเป็นเรื่องยากที่จะมีได้ และปกติมันจะต้องใช้การฝึกฝนอย่างหนักที่สามารถจะได้รับการพัฒนาเช่นนี้
เมื่อเทียบกับการพัฒนา ความทรมานที่เขาได้รับในระหว่างประลองนั้น มันก็พลันดูมิน่าเลวร้ายไปนัก และยามเมื่อจิ่งเหามาหาก็ตระหนักได้ว่าถังเทียนยังคงฝึกฝนอย่างจริงจัง เขาพลันเต็มไปด้วยความอับอาย มิสงสัยเลยว่าที่ถังเทียนพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เมื่อเห็นภาพฝึกอย่างหนักเพียงลำพังเบื้องหน้านี้
“พี่ใหญ่จิ่งเหาท่านตื่นแล้ว” ดวงตาของถังเทียนเปล่งประกาย
มิว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามเมื่อเห็นท่าทางของถังเทียน จิ่งเหาก็รู้สึกขนลุก นี่เหมือนราวเป็นไปตามธรรมชาติ และมิสามารถควบคุมได้ เขาก็ตบไปยังรอบๆพุ่มหญ้า “น้องถังมานั่งตรงนี้เถอะ หลังจากที่ประลองเมื่อก่อนหน้านี้ เจ้าได้ซื้อยันต์ขั้นทองมางั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว! ข้าซื้อมันมาสี่ใบ!” ถังเทียนกล่าวอย่างไร้เรื่องราว “ข้าใช้มันไปเพียงแปดร้อยแต้ม”
“ใช้เพียงแปดร้อยแต้ม...” ท่าทางจิ่งเหาแข็งค้าง เขาพูดตะกุกตะกัก “อะไรนะ? เจ้าใช้ไปแปดร้อยแต้มงั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว! สองร้อยแต้มต่อหนึ่งใบ” ถังเทียนรู้สึกร่าเริง “ข้าเพียงแค่สั่งไป และเจ้าของร้านก็ส่งพวกมันมาให้ในทันที เมื่อมาคิดดูแล้ว ความเร็วมันช่างรวดเร็วจริง”
“พวกเขาจะต้องรวดเร็วแน่นอนอยู่แล้ว” จิ่งเหามองไปยังถังเทียน เปิดปากเอ่ยไม่กี่คราก่อนที่จะกล่าวว่า “ยามเมื่อเจ้าได้ซื้อพวกมัน เจ้าควรที่ถามข้าก่อน”
รอยยิ้มถังเทียนแข็งค้าง “เขาโกงข้างั้นหรือ?”
“เขามิได้โกงเจ้า ราคาก็สมเหตุสมผลแล้ว มันเป็นเพียงไม่กี่คนที่จะซื้อพวกมัน” จิ่งเหาอธิบาย “ตามปกติแล้ว เมื่อเสร็จสิ้นการซื้อขาย มันจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสี่อาทิตย์กว่าจะมาถึงเจ้า ร้านค้าจะต้องหวาดกลัวว่าเจ้าจะเปลี่ยนใจเป็นแน่ ดังนั้นพวกเขาจะต้องใช้แต้มเพื่อส่งพวกมันไป นอกเหนือจากเจ้า มิมีผู้ใดคิดที่ซื้อ”
“ใช้แต้มส่งงั้นหรือ?” ถังเทียนงุนงง
“อืม มันยากที่จะอธิบาย แท้จริงแล้วข้าก็มิมั่นใจนัก สหายเก่าของข้าภายในสมาคมนักสู้แห่งแสงคิดวิธีการส่งของเช่นนี้ขึ้นมา ความเร็วมันมากยิ่ง แต่ราคาก็สูง เจ้าลองคิดดู ยันต์จิตวิญญาณหนึ่งใบที่ราคาสองร้อยแต้ม เพียงแค่ส่งมันใบเดียว ยันต์จิตวิญญาณใบนั้นก็ต้องมีราคาส่งถึงห้าสิบแต้มแล้ว” จิ่งเหากล่าว
ถังเทียนอุทาน “ถ้างั้นเขาไม่ขาดทุนหรอกหรือ?”
“ทำไมเขาจะต้องขาดทุนด้วย?” จิ่งเหาอธิบายอย่างอดทน “ยันต์จิตวิญญาณขั้นทองระดับสี่ ปกติแล้วมิมีผู้ใดที่จะซื้อพวกมัน เพราะเหตุใดงั้นหรือ? มันมิใช่พวกมันไร้ค่า แต่เจ้าจะอยู่ที่ขั้นสี่มินานนักหรอก อย่างเช่นน้องถัง ด้วยการพัฒนาในตอนนี้ เจ้าจะต้องบรรลุไปยังขั้นห้าอย่างรวดเร็ว และหลังจากนั้น เจ้าจะต้องที่จะเริ่มฝึกวิชาการต่อสู้ระดับห้า เจ้าอาจจะรู้สึกว่าวิชาการต่อสู้ระดับสี่มันน่ากลัวในตอนนี้ แต่ยามเมื่อเจ้าเรียนรู้วิชาการต่อสู้ระดับห้า เจ้าจะตระหนักได้ว่าวิชาการต่อสู้ระดับห้ามันน่ากลัวยิ่งกว่า”
ถังเทียนตอบอย่างถ่อมตัว “มิเป็นอันใดหรอก มิเป็นอันใดหรอก ข้าคิดจะไต่ขึ้นไปทีละขั้น เชี่ยวชาญสมบูรณ์แบบที่ละขั้น มันจะต้องมีประโยชน์อย่างมากในระยะยาว อืม อย่างเช่นที่ข้าฝึกฝนพื้นฐานวิชาการต่อสู้ยังไงเล่า หลายผู้คนกล่าวว่ามันไร้ประโยชน์ แต่ข้าในตอนนี้รู้สึกว่ามันมีประโยชน์อย่างแท้จริง”
จิ่งเหาเห็นว่าถังเทียนมิได้ใส่ใจ และก็หยุดโน้มน้าว เขาเป็นบุคคลที่มีความรู้ และรู้ว่าทุกคนต่างมีวิธีการฝึกฝนแตกต่างและมีเส้นทางของพวกเขาเอง ดังนั้นมันจึงมิมีเหตุผลที่จะโต้เถียง นอกจากนี้ บุคคลที่อยู่เบื้องหน้าเขา เป็นคนที่ฟุ่มเฟื่อยอย่างยิ่ง
“จิตวิญญาณนักสุ้ของน้องถังบรรลุไปสู่ขั้นเงินแล้ว การเข้าถึงหลายอย่างภายในป้ายสมาคมมันก็ถูกเปิดออก น้องถังเทียนอย่าได้ดูแคลนป้ายสมาคม มันถูกสร้างโดยสหายเก่าภายในสมาคมนักสู้แห่งแสงมีค่าเท่ากับสมบัติ ยิ่งจิตวิญญาณนักสู้ของบุคคลนั้นแข็งแกร่งเท่าใด ก็สามารถเข้าถึงได้มากยิ่งขึ้น จิตวิญญาณนักสู้อันน่าเวทนาของข้าเพียงอยู่ขั้นทองแดง การเข้าถึงหลายอย่างข้ามิสามารถเข้าได้ แต่น้องถังสามารถที่จะขบคิดพวกมันออกได้ด้วยตัวเอง”
“มิน่าแปลกใจที่ข้ารู้ว่าป้ายสมาคมมันดูน่ากลัวมากยิ่งขึ้นกว่าเก่า” ความจริงจู่โจมไปยังถังเทียน
จิ่งเหาหัวร่ออย่างร่าเริง “มาเถอะ น้องถังดูคล้ายจะมิพอใจในก่อนหน้านี้ มาประลองกันอีกครา”
“พวกเราจะประลองกันจริงงั้นหรือ?” ดวงตาของถังเทียนเบิกกว้าง ใบหน้าปรากฏความประปลาดใจ เขาพลางถูมือของเขาอย่างตื่นเต้น “เอาล่ะ เอาล่ะ ข้าจะไม่หักโหมมากเกินไป!”
หางตาของจิ่งเหากระตุกและเขาก็พึมพำอย่างเงียบๆ “ได้โปรดเถอะ ข้าเห็นได้ชัดว่าผู้ใดกันแน่ที่มิอยากหักโหมมากเกินไป…”
แต่เมื่อจดจำได้ว่ามันคล้ายจะเป็นเขาที่เรียกร้องให้หยุดในก่อนหน้านี้ จิ่งเหาก็หุบปากของเขาในความร้อนตัว
เห็นได้ชัดว่าความรู้สึกอันดื่มด่ำนี้ปลุกเร้าเขามากมาย ปราศจากความลังเลใจ เขาก็วาดกระบี่ของเขา
ทั้งสองฝ่ายคำรามพร้อมกันและต่างก็พัวพันในการต่อสู้อีกครา
การต่อสู้ครานี้มันใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนอีกครั้ง
แต่ในครานี้ จิ่งเหาสามารถประคับประคองได้นานขึ้น แทบเกือบจะสี่ชั่วโมงนานขึ้นกว่าก่อนหน้า แต่ไม่ช้าเขาก็หมดพลัง และก็เป็นอีกคราที่เขาล้มลงราวกับเป็นกองดินโคลน มิมีแม้แต่กำลังที่จะกระดิกนิ้ว ความไม่พอใจของถังเทียนยังคงพร่ำบ่นอยู่ข้างๆจิ่งเหาครึ่งค่อนวัน แต่เมื่อตระหนักได้ว่าจิ่งเหามิเหลือพลังในการประลองอีกแล้ว เขาทำได้เพียงฝึกฝนด้วยตัวเองที่ด้านข้างอย่างมิมีความสุข
ในครานี้ ช่วงเวลาที่จิ่งเหานอนหลับมันก็สั้นลงกว่าก่อน เขาตื่นขึ้นมาหลังจากผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน
ในครานี้ ความรู้สึกจิ่งเหาก็ชัดเจนขึ้น การเคลื่อนไหวของกระบี่ของเขามันหนักแน่นมากขึ้น แหลมคมมากขึ้น ความรู้สึกที่ติดขัดนก่อนหน้านี้สลายหายไป การเคลื่อนไหวแต่ละคราที่เขาใช้ออกในตอนนี้ ราวกับมันถูกขัดเขลาขึ้นอย่างดี เปล่งประกายลื่นไหลราวกับสายน้ำ ปราศจากการติดขัดใดๆ
อย่างมิรู้ตัว วิชาการต่อสู้ของเขาถูกยกระดับไปถึงขอบเขตใหม่แล้ว
การกระตุ้นนี้ทำให้จิ่งเหาเริ่มเสพติดการต่อสู้
แต่หลังจากหนึ่งวันหนึ่งคืน จิ่งเหาก็นอนแผ่อีกครา
หลังจากเสร็จสิ้นการฟื้นฟู ถังเทียนก็มีกำลังเต็มเปี่ยม พอดีกับที่ช่วงเวลาแห่งความเพียร ดังนั้นเขาจึงเข้าไปภายในประตูกางเขนและเริ่มฝึกฝน
เมื่อมีพัฒนาการของวิชาการต่อสู้ ช่วงเวลาแห่งความเพียรเบื้องหลังประตูกางเขนก็เริ่มแปรเปลี่ยนไป ถังเทียนใช้เวลาฝึกฝนภายในค่ายทหารเกณฑ์ของลุงทหารมากยิ่งขึ้น และที่มิใช่เบื้องหลังประตูกางเขน ตามที่ลุงทหารได้กล่าว สถานที่นั่นมันสำหรับผู้ที่มิมีคุณสมบัติพอที่จะเข้าสู่การฝึกของกองทัพ
ในตอนนี้ช่วงเวลาแห่งความเพียรของถังเทียนถูกเคลื่อนย้ายไปยังค่ายทหารเกณฑ์และมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ช่วงเวลาแห่งความเพียรที่ใช้ฝึกวิชาการต่อสู้ในตอนนี้ได้หายไปแล้ว
ความชำนาญภายในวิชาการต่อสู้กลายเป็นความต้องการพื้นฐานที่สุด การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ถังเทียนไม่คุ้ยเคย แต่เขามิสามารถปฏิเสธความจริงที่ว่าวิธีการใหม่เหล่านี้เป็นการฝึกที่มีผลมากยิ่งขึ้น อย่างเช่นการฝึกโดนทุบตี ถังเทียนได้เรียนรู้สัญชาตญาณของเขาเพิ่มขึ้น
“วันนี้ยังคงเป็นการฝึกโดนทุบตีใช่หรือไม่?” ถังเทียนเต็มไปด้วยกำลังใจ
“ไม่ใช่แล้ว การฝึกโดนทุบตีมิจำเป็นต้องขัดเกลาสัญชาตญาณของเจ้าอีกต่อไปแล้ว” ทหารส่ายหัวของเขาและเขาชี้ไปยังดวงดาราอีกอันหนึ่ง
ถังเทียนรู้สึกถึงสภาพแวดล้อมแปรเปลี่ยนไป และเขาบรรลุมายังห้องฝึกที่ทำมาจากกระเบื้องสีเขียว
ห้องฝึกนี้มิได้ใหญ่นัก ยาวประมาณสิบห้าเมตร กว้างห้าถึงหกเมตร แต่สายตาของถังเทียนจับจ้องไปยังรูปปั้นทองสัมฤทธิ์เบื้องหน้าอย่างอยากรู้ เหล่ารูปปั้นต่างสูงเท่าตัวถังเทียน แต่ละตัวมีท่าทางแตกต่างกัน บ้างวิจิตร บ้างหยาบกร้าน ขณะที่พวกมันตั้งอยู่อย่างเงียบๆแถวละสามตัว
หนึ่ง สอง สาม สี่...
ถังเทียนนับได้ถึงสิบแปดตัวของพวกมันทั้งหมด
“นี่ลุง พวกมันคือสิ่งใดกัน?” ถังเทียนถามอย่างอยากรู้
“สิบแปดรูปปั้นทองสัมฤทธิ์” ทหารตอบอย่างบางเบา “นี่เป็นผลงานเครื่องกลไกชิ้นเยี่ยมอันดับสี่ของกองทัพ ตำหนักสิบแปดรูปปั้นทองสัมฤทธิ์”
“ตำหนักสิบแปดรูปปั้นทองสัมฤทธิ์?” ถังเทียนกระตือรือร้น “พวกมันน่ากลัวหรือไม่?”
“ในสายตาข้า พวกมันธรรมดาอย่างยิ่ง แต่ถ้าช่วงเกณฑ์ทหารภายในอดีตแล้วล่ะมันมีสามอันดับของการฝึกที่ถูกเกลียดชังมากที่สุด ตำหนักสิบแปดรูปปั้นทองสัมฤทธิ์แน่นอนว่าอยู่ในอันดับพวกนั้น” เสียงของทหารแลดูน่าเศร้าใจ
“สิ่งใดกันที่พวกมันฝึกเพิ่มขึ้น? สัญชาตญาณเหมือนกันหรือ?” ถังเทียนมองไปยังทหาร แม้ว่าเขามิได้คลุกคลีกับค่ายทหารเกณฑ์เป็นเวลานาน เขาก็เริ่มที่จะรู้ว่ารูปแบบของกองทัพกางเขนใต้ แต่ละห้องการฝึกภายในค่ายจะต้องมีวัตถุประสงค์ของตัวมันเอง
“ไม่ใช่ มันเหมาะสมที่จะฝึกฝน [อาภรณ์ไร้มลทิน]”
คำอธิบายของทหารทำให้ถังเทียนตกใจ เขาอดมิได้ที่จะกล่าวถาม “อาภรณ์ไร้มลทิน? ลุง ท่านแน่ใจงั้นหรือ?”
ยันต์ขั้นทองทั้งสี่ [อาภรณ์ไร้มลทิน] น่าจะเป็นสิ่งสำคัญน้อยที่สุดสำหรับถังเทียน เนื่องจาก [อาภรณ์ไร้มลทิน] ร่างต้องสัมผัสไปยังศัตรู แต่ภายในการประลอง ถังเทียนรู้ว่ามันยากที่จะทำเช่นนั้น อย่างเช่น แม้ว่าการประลองกับจิ่งเหา ถังเทียนไม่แม้แต่กระทั่งสัมผัสไปยังเสื้อผ้าของจิ่งเหาได้เลย วิชากระบี่ของจิ่งเหายอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ม่านป้องกันที่สร้างขึ้นทำให้ถังเทียนทำอันใดมิถูกเลย
ในระหว่างที่ประลองกับจิ่งเหา วิชาที่ถังเทียนใช้น้อยที่สุด ก็คือ [อาภรณ์ไร้มลทิน]
ดังนั้นยามเมื่อถังเทียนได้ยินว่าทหารพบสถานที่พิเศษสำหรับให้เขาฝึกฝน [อาภรณ์ไร้มลทิน] เขาก็รู้ตกใจและผงะถอยหลัง
“อืม [อาภรณ์ไร้มลทิน] เป็นวิชาค่อนข้างดี”
คำอธิบายของทหารไม่เป็นที่พอใจสำหรับถังเทียน เขาก็กล่าวถาม “ส่วนใดของอาภรณ์ไร้มลทินที่น่ากลัวงั้นหรือ?”
“ใช้พลังของคู่ต่อสู้เพื่อโต้กลับ” ทหารอธิบาย “นี่คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด มันประกอบไปด้วยสองส่วนหลัก ส่วนแรกคือประเมินพลังของคู่ต่อสู้ ส่วนที่เหลือคือการใช้ประโยชน์จากพลังของคู่ต่อสู้ และสองส่วนเหล่านี้จำต้องจัดการให้เสร็จภายในเวลาที่สั้นที่สุด มันมีระดับความยากสูง”
ถังเทียนส่ายหัวของเขา “แต่สิ่งนี้มันจะมีผลก็ต่อเมื่อสามารถที่จะเข้าใกล้คู่ต่อสู้เท่านั้น ลองคิดไปยังตอนที่พี่ใหญ่จิ่งเหาและข้าประลองกันสิ ข้ามิสามารถที่จะเข้าใกล้เขาได้เลย”
ทหารมิได้เห็นด้วย “ด้วยความสามารถในปัจจุบันของเจ้าตอนนี้ล่ะก็ใช่”
“ท่าน...” ดวงตาถังเทียนแปรเปลี่ยนเป็นเบิกกว้าง มีท่าทางที่ไม่เป็นมิตร
“ผู้ใดกันที่กล่าววันวิชานี้สามารถเพียงใช้ได้เฉพาะที่ต้องสัมผัสร่างกัน?” น้ำเสียงของทหารเต็มไปด้วยความเย้นยัน “กระบี่ของเขา มันมิมีกำลังงั้นหรือ? มิใช่ว่าเจ้าสัมผัสมันงั้นหรือ? เพียงเพราะพลังของเจ้าห่างกันมาก ความคิดของเจ้าเรื่องพลังมิได้ดีไปกว่าเขาเลย ปกติเจ้าจะมิสามารถใช้ประโยชน์มันได้ แต่นี่มิได้หมายความว่าวิชานี้จะไม่ดี”
ถังเทียนก็ขบคิดถึงมัน ‘นั่นก็เป็นความจริง’
กระบี่ของพี่ใหญ่จิ่งเหาแข็งและเมื่อเทียบกับความรุนแรงของเขามันค่อนข้างไม่มั่นคง
“เขาอยู่ขั้นหก เจ้าอยู่ขั้นสี่ เขาแข็งแกร่งกว่าเจ้ามาก มีเพียงสิ่งเดียวที่เจ้าเหนือกว่าเขาคือจิตวิญญาณนักสู้ จิตวิญญาณนักสู้ขั้นเงินทำให้มีสัญชาตญาณที่แข็งแกร่ง นั่นคือสาเหตุที่เจ้าสามารถทนอยู่ได้นานขนาดนั้น ดังนั้น จิตวิญญาณนักสู้ขั้นเงินและสัญชาตญาณมันคือความสามารถที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” ทหารกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ในฐานะทหาร เจ้าจะต้องเรียนรู้ที่จะใช้จุดแข็งของเจ้าให้อย่างเต็มที่”
“ข้ามิใช่ทหาร...” ถังเทียนตอบอย่างเหนื่อยอ่อน
ทหารหยุดลง แต่ไม่นาน ราวกับเขามิได้ยินถังเทียน พลางกล่าวต่อ “จิตวิญญาณนักสู้ขั้นเงินทำให้เจ้ามีประสาทสัมผัสโดยรอบเพิ่มมากขึ้น ซึ่งรวมถึงพลัง นั่นคือสาเหตุที่เจ้าจะฝึกในตอนนี้ การพัฒนาของเจ้าจะเร็วยิ่งขึ้น และเนื่องจากสิ่งนี้ เจ้าก็จะมีประสาทสัมผัสที่ไวต่อปราณแท้จริง”
“และในระหว่างการประลอง เจ้าจะสามารถสัมผัสได้ไวต่อพลังของศัตรู” ทหารกล่าวเพิ่ม “ตราบเท่าที่เจ้ารู้ว่ามันใช้งานเช่นไร”
เขาพลันแสยะยิ้มและกล่าวอย่างน่ากลัว “เด็กน้อย ยินดีต้อนรับสู่ตำหนักสิบแปดรูปปั้นทองสัมฤทธิ์”
***********************************************************
ติ ชม รับข่าวสารได้ที่ แฟนเพจ ได้เลย และกดไลค์เพื่อเป็นกำลังใจด้วยครับ