ตอนที่ 76 ใจปล้ำ
แต่ทว่าเมื่อไม่นานนี้เคยมีบุรุษหนุ่มปริศนาที่สามารถต่อกรกันชั้นปราณบรรจบได้ เพียงแค่ตนอยู่ในชั้นปราณนิมิตรเท่านั้น แถมยังครอบครองสัตว์อสูรสีทองที่ทรงพลังอีก ทั้งสองได้แต่เก็บความต้องการที่ต่อสู้กับบุรุษผู้นั้นไว้ในใจ เพราะอย่างไรพวกเขาก็ไม่รู้ว่าบุรุษผู้นั้นเป็นใคร
ฉางหยางที่ยืนอยู่ เขาเร่งโคจรผสานขึ้นเรื่อยๆ พลังลมปราณที่หน่วงตามจุดชีพจรก็มากขึ้นกว่าเดิม ร่างกายได้รับการหนุนเสริมจากการโคจรผสาน ทำให้ตัดผ่านเข้าสู่ปราณผันผวนขั้นต้นได้ทันที ออร่าสีทองเริ่มควบแน่นจนกลายเป็นเปลวเพลิงสีทองที่ลุกไหม้ปกคลุมไปทั้งตัว
ตอนนี้ร่างกายของเขาสามารถทนต่อเปลวเพลิงสีทองได้แล้ว หลังจากที่รับเอาน้ำสีเหลืองเข้าไป ฉางหยางมองไปที่ซีราคิวส์ภูผาด้วยสายตาที่คมกริบ ก่อนจะพุ่งทะยานราวกับพยัคฆ์ที่กำลังตะครุบเหยื่อ พร้อมคำรามออกมาดั่งลั่น
“หมื่นทลาย”
พลังกายที่สูงขึ้น ประกอบกับพลังลมปราณที่หน่วงสะสมได้มากขึ้นกว่าเดิม และพลังที่แผดเผาทุกสรรพสิ่งได้ ถูกปล่อยผ่านออกทางหมัดของเขาอย่างรวดเร็ว กระแทกเข้ากับร่างของซีราคิวส์ภูผาอย่างจัง
“ตูม”
ร่างของซีราคิวส์ภูผา ถูกหมัดของฉางหยางเจาะทะลุทันที พร้อมกับเปลวเพลิงสีทองที่พุ่งทะลุออกจากข้างหลัง แล้วทำลายทุกอย่างที่อยู่ข้างหลังซีราคิวส์ภูผาตัวนี้ในพริบตา
ทั้งสามคนที่กำลังยืนดูอยู่ พวกเขาทั้งหมดเริ่มรู้สึกหวาดกลัวบุรุษผู้นี้ขึ้นมาเสียแล้ว เพราะเคล็ดวิชาที่เขาใช้ไป มันสามารถสังหารผู้ฝึกวรยุทธชั้นปราณบรรจบอย่างพวกเขาได้ในพริบตาเลย แต่ทว่าก็ยังมีสิ่งที่พวกเขาหวาดกลัวไม่สิ้นสุดอยู่ นั้นก็คือเปลวเพลิงสีทองที่มันแผ่ไอความร้อนจนพวกเขาทั้งสามเข้าใกล้ไม่ได้เลย
แถมจากที่ดูแล้วมันไม่สามารถดับเองได้ด้วย เพราะขนาดทุกอย่างถูกเผาทำลายไปแล้วมันก็ยังลุกติดอย่างโชติช่วงโดยไม่มีท่าทีว่าจะดับลงได้เลย ชินไป๋ชุนมองไปที่ฉางหยางก่อนจะถามออกไปด้วยความอยากรู้
“เจ้าเป็นใครกันแน่ ?”
ฉางหยางยืนดูพลังทำลายที่เกิดจากเคล็ดวิชาของเขาอย่างพึงพอใจ จากนั้นเขายกมือขวาขึ้นมาโคจรพลังลมปราณให้ไหลไปรวมกันที่มือขวาจนเกิดเป็นเปลวเพลิงสีทองลุกไหม้ขึ้น
แล้วเขาก็รวบรวมเปลวสีทองที่อยู่มือขวาเข้าด้วยกัน จากนั้นก็กำมือขวาแน่น พริบตานั้นเองเปลวเพลิงสีทองทั้งที่อยู่ในมือขวา ทั้งที่ลุกไหม้อยู่ตามพื้นดับหายไปทันที ตามด้วยเสียงของฉางหยางที่กล่าวออกมา
“ข้ารึ ? แม่นางไป๋ชุน ข้าเป็นใครมันไม่สำคัญเท่ากับที่ท่านต้องจ่ายค่าตอบแทนให้กับข้าทั้งหมดสามแสนหินจิตมาร ท่านคงจะไม่ลืมคำกล่าวของท่านเองใช่ไหมแม่นางไป๋ชุน”
ชินไป๋ชุนได้ยินคำกล่าวเตือนของฉางหยาง นางถึงกลับรู้สึกหนาวไปทั้งตัวเลยทีเดียว นางได้ขบคิดอยู่นาน เพราะหินจิตมารสามแสนก้อนมันไม่ใช้จำนวนที่น้อยเลย แต่ถ้าหากนางไม่เสนอข้อต่อรองแบบนี้ออกไป พวกนางทั้งสามคนต้องตายจากฝูงซีราคิวส์ภูผาแน่นอน
เหตุผลนี้เองทำให้นางไม่มีทางเลือกมานัก เพราะสัตว์อสูรเผ่าพันธุ์นี้ พลังต้นกำเนิดของมันจะเป็นการปลุกประสาทสัมผัสทั้งห้าให้รับรู้ได้กว้างไกลมากยิ่งขึ้น
แต่ก็ทำให้พวกมันเสียเปรียบสัตว์อสูรเผ่าพันธุ์อื่นที่มีพลังต้นกำเนิดที่เสริมพลังกายหรือเพิ่มความสามารถในด้านพลังโจมตี จึงทำให้พวกมันต่อสู้กับศัตรูกันเป็นกลุ่มหรือเป็นฝูงเท่านั้น แต่ทว่าพวกมันก็เอาพลังต้นกำเนิดเข้าช่วยสนับสนุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการต่อสู้เป็นกลุ่มได้อย่างยอดเยี่ยม จนทำให้ผู้ฝึกวรยุทธจำนวนมาก ไม่กล้าที่เข้ามาตอแยพวกมันเท่าไร เพราะผลที่ตามมาอาจจะคาดไม่ถึงก็เป็นได้
ชินไป๋ชุนส่งสัมผัสเข้าไปที่แหวนมิติของนาง “วูบบ” ปรากฏเป็นหินจิตมารทั้งสามแสนก้อนลอยอยู่กลางอากาศ
ฉางหยางเผยรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะโบกมืออย่างแผ่วเบา จากนั้นหินจิตมารทั้งหมดลอยเข้าแหวนมิติของเขาอย่างง่ายดาย เขามองไปที่ทั้งสามแล้วกล่าวออกมา
“เมื่อเสร็จแล้ว เช่นนั้นข้าก็ต้องขอตัวก่อน”
เขาผสานมือคารวะสักเล็กน้อย แล้วเตรียมจะพุ่งตัวออกไป แต่ระหว่างนั้นเองมีเสียงคำรามของสัตว์อสูรดังขึ้นมาจากฟากฟ้า พร้อมกับร่างขนาดยักษ์สีทองอร่ามพุ่งลงมาที่ฉางหยางได้ยืนอยู่
สัตว์อสูรตัวนี้ไม่ตัวไหนเลย มันก็คือเฉินตี้นั้นเอง เพราะตลอดเวลาที่บินมาพลังลมปราณในร่างถูกใช้ไปตลอดทำให้สามารถบินมาถึงที่หุบเขาราชันย์ได้อย่างรวดเร็ว แต่ทว่าด้วยระยะทางที่ไกลทำให้เฉินตี้เสียพลังลมปราณไปถึงเก้าส่วนด้วยกัน
ฉางหยางมองเห็นเฉินตี้ ก่อนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ แล้วจากนั้นก็กระโดนขึ้นไปนั่งบนหัวอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่เขาจะจากไปได้หันมามองทั้งสามและกล่าวออกมาอย่างสบายๆ
“แม่นางไป๋ชุน ข้าว่าพวกท่านรีบออกจากที่แห่งนี้เสียดีกว่า เพราะอีกไม่นานฝูงซีราคิวส์ภูผาต้องมาที่นี่แน่นอน แล้วอีกอย่างข้าต้องขอบคุณท่านมากสำหรับหินจิตมาร แล้วเจอกันใหม่ในโอกาสหน้า ฮ่าๆ”
เฉินตี้และฉางหยางบินหายไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ทั้งสามที่ยืนดูอย่างขุ่นเคือง หญิงสาวที่สวมชุดจอมยุทธสีขาวเห็นเช่นนี้ทำให้นางได้แต่บ่นพึมพำออกมา
“ท่านพี่ ดูเขาสิ เขาไม่พาพวกเราไปด้วย เขารับหินจิตมารไปแล้วแต่กลับทิ้งเราทั้งสามให้อยู่ที่หุบเขาราชันย์อสูรแห่งนี้ต่อ เขาช่างใจร้ายยิ่งนัก”
“เจียน้อย เจ้ากล่าวอย่างนี้ก็ไม่ถูกเท่าไรนัก ในเมื่อเราขอแค่ให้เขาช่วยจัดการกับซีราคิวส์ภูผาแค่นั้นเอง ส่วนที่เหลือก็ขึ้นอยู่เราก็ไม่สามารถขอให้เขาช่วยได้อีกแล้ว แต่ตอนนี้รีบเก็บร่างของมันก่อน เพื่อนำไปเป็นหลักฐานให้ท่านพ่อได้ดูว่าเราทำเสร็จแล้ว” ชินไป๋ชุนหันกล่าวเตือนกับผู้น้องของตน
หลังจากนั้นทางสามก็เดินไปจัดการกับศพของซีราคิวส์ภูผา ก่อนจะมุ่งหน้าออกจากหุบเขาราชันย์อสูร
ฉางหยางที่นั่งอยู่บนหัวของเฉินตี้ตอนนี้ เขาได้เสียพลังลมปราณไปทั้งหมดในการใช้เคล็ดวิชาหมื่นทลายครั้งสุดท้าย ทำให้เขาไม่สามารถที่อยู่รอได้อีกต่อไปแล้ว แต่ก็พอดีกับเฉินตี้ที่บินกลับมาหาเขาได้ทันเวลา
อย่างไรก็ตามตอนนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข เพราะไม่คาดคิดเลยว่าจะได้หินจิตมารจำนวนมหาศาลมาอย่างง่ายดายเช่นนี้ โดยเพียงออกกำลังเล็กน้อยเขาก็กลับมาร่ำรวยอีกครั้งแล้ว
แต่ทว่าหญิงสาวที่ชื่อชินไป๋ชุน นางเป็นใครกันแน่ถึงสามารถมีหินจิตมารมากขนาดนั้นติดตัวมาได้ ฉางหยางได้แต่ครุ่นคิดอยู่นานแต่ก็พบไม่คำตอบแต่อย่างใด เพราะเขาเองก็ฝึกวรยุทธอยู่แต่ในป่ามาเสียนาน แถมก่อนที่จะมาเป็นผู้ฝึกวรยุทธเขาก็อาศัยอยู่ที่ภูเขาห่างไกลผู้คน ทำให้เขาไม่ค่อยรู้เรื่องต่างๆมากเท่าที่ควร
“อืม คงต้องหาเมืองสักเมืองก่อนสินะ”
ผ่านมาสักพักทั้งสองก็บินมาถึง ฉางหยางได้เก็บเฉินตี้กลับเข้าไปก่อนเช่นเดิม แล้วจากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในเมืองด้วยท่าทางสบายๆ ทหารรักษาการเห็นฉางหยางที่เป็นผู้ฝึกวรยุทธมาเดินดุ่มๆแถวนี้เขาก็ถามออกไปอย่างสงสัย
“ไอ้หนู เจ้ามาทำอะไรที่เมืองนี้”
“หา ? ท่านลุงข้าจะมาพักที่เมืองนี้ไม่ได้รึไร” ฉางหยางกล่าว
“อ้าว! แล้วเจ้าไม่ไปเข้าร่วมงานชุมนุมเหล่าจอมยุทธรึ” ทหารหารรักษาการกล่าว
ได้ยินที่ทหารรักษาการกล่าว ฉางหยางก็นึกได้ทันทีว่างานชุมนุมเหล่าจอมยุทธมันน่ากำลังจะจัดขึ้นแล้ว เพราะเขามัวแต่สนใจกับหินจิตมารที่ได้มาอยู่ จนหลงลืมเรื่องนี้ไปเลย
“แล้วไอ้งานชุมนุมเหล่าจอมยุทธที่ท่านได้กล่าวมา มันจัดขึ้นหรือยัง”
เห็นท่าทางที่ฉางหยางยังไม่รู้ ทหารรักษาการเผยรอยยิ้มและกล่าวออกมาอย่างภาคภูมิ
“ฮ่าๆ ในเมื่อเจ้ายังไม่รู้ ข้าจะบอกให้ว่างานชุมนุมเหล่าจอมยุทธนั้นจะจัดขึ้นในอีกสี่วันข้างหน้านี้เอง แถมรางวัลของผู้ได้อันดับหนึ่งถึงสามแต่ละการแข่งเป็นสมบัติล้ำค่ากันทั้งนั้นด้วยเจ้ารู้ไหม ตอนนี้เหล่าผู้ฝึกวรยุทธต่างพากันไปรวมตัวกันที่งานแล้ว หากเจ้ายังช้าอาจพลาดดูการแข่งที่น่าตื่นเต้นก็เป็นได้นะ”
“อู้ อย่างนี้ข้าจะพลาดได้ไง ในเมื่อมีสมบัติล้ำค่ากำลังรอข้าอยู่” ฉางหยางถึงกับตาโตขึ้นมาทันที
“ก็แน่ล่ะ คราวนี้ทางราชวงศ์ชินได้ทุ่มสุดตัวเลย เพื่อหาบุรุษให้แต่งงานกับบุตรสาวตนเอง แต่ทว่าก็สำหรับการแข่งขันประลองฝีมือเท่านั้น และต้องได้อันดับหนึ่งด้วยถึงจะมีสิทธิ์ในครอบครององค์หญิง”
“อืม ข้าก็ไม่สนใจเท่าไรนัก แต่ท่านพอรู้หรือไม่ว่าสมบัติล้ำค่ามันมีอะไรบ้าง” ฉางหยางกล่าวออกมาด้วยความอยากรู้
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะทางราชวงศ์ชินได้ขอปกปิดเอาไว้ พวกเขาบอกว่าจะประกาศในวันงานเท่านั้น”
“เป็นเช่นนั้นรึ อืมมม เช่นนั้นข้าต้องขอตัวก่อน แล้วนี่สำหรับท่านที่บอกข่าวดีสำหรับข้า”
หลังจากที่กล่าวจบ ฉางหยางเอาหินจิตมารประมาณสามร้อยกว่าก้อนยื่นให้ทหารรักษาการ ก่อนจะผสานมือคารวะแล้วเดินเข้าเมืองไป
“โอ้! ข้าขอบใจเจ้ามากไอ้หนู” ทหารรักษาการมองหินจิตมารในมือของตนอย่างมีความสุข เพราะงานรักษาการมันช่างได้ค่าตอบแทนน้อยนิดเหลือเกินทำให้เขาไม่หินจิตมารเพียงพอที่จะเที่ยวสถานเริงรมย์ได้ แต่ว่าวันนี้โชคกลับเข้าข้างเขาเมื่อมาเจอไอ้หนูใจปล้ำผู้มากมายไปด้วยจิตใจอันเมตตา ควักหินจิตมารให้เขาเฉยเลย ยิ่งทำให้เขาซาบซึ้งในน้ำใจยิ่งนัก.....