ตอนที่ 73 บึงสีเหลือง
เมื่อประตูผลึกโบราณถูกเปิดออกมา สิ่งอยู่ข้างในนั้นกลับไม่ใช่ทางออกเหมือนอย่างที่ฉางหยางได้คิดไว้ แต่มันกลับกลายเป็นมิติแห่งใหม่ ที่ข้างหน้าของเขาเป็นทางเดินที่ทอดยาวไปเรื่อยๆ ตามผนังถูกทำขึ้นจากหิน แต่ทว่ากลับดูแข็งแกร่งยิ่งนัก
ตอนนี้ฉางหยางเริ่มเคร่งเครียดขึ้นมาแล้ว เพราะว่าสถานที่แห่งนี้มันคือที่ไหนเขาก็ยังไม่รู้เลย อย่างไรก็ตามเขาไม่มีเวลาที่จะอยู่ในที่แห่งนี้นานเท่าไรนัก คงต้องลองสำรวจดูเท่านั้น
หลังจากที่ตัดสินใจได้แล้ว ฉางหยางก็เดินมุ่งหน้าเข้าไปอย่างช้าๆ เขากระจายสัมผัสออกไปทั่วบริเวณทางเดิน เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่กำลังจะเกิดขึ้น ผ่านไปสักพักแล้วที่เขาได้เดินเข้ามา แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด ยิ่งทำให้เขาประหลาดใจมากขึ้น
เพราะจากที่เขาได้ครุ่นคิดดูแล้วว่าที่แห่งนี้มันต้องถูกสร้างขึ้นโดยผู้ฝึกวรยุทธระดับสูงเป็นแน่ ทั้งสัตว์อสูรประหลาดที่คอยอาศัยอยู่ในน้ำนั้นอีก ทั้งมิติที่ถูกสร้างขึ้นหลังประตูผลึกโบราณนี้
“หรือว่าที่แห่งนี้จะเป็นเขตแดนโบราณกันแน่”
เมื่อกล่าวจบแล้ว คิ้วของเขาเริ่มขมวดแน่น เพราะเขามั่นใจแล้วว่าที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่อื่น มันต้องเป็นเขตแดนโบราณอย่างแน่นอน แต่ทว่าเขตแดนแห่งนี้ก็ยังไม่ถูกผู้ฝึกวรยุทธค้นพบแต่อย่างใด ซึ่งเขาเป็นคนแรกที่พบเข้าโดยบังเอิญ แสดงว่าที่แห่งนี้อาจมีสมบัติระดับสูงซ่อนอยู่
ฉางหยางที่กำลังเดินอยู่ก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างตื่นเต้น จากนั้นเขาก็มุ่งหน้าเดินต่อไปอย่างสบายอารมณ์
ผ่านมาสักพักเขาก็เดินมาถึงห้องแห่งหนึ่ง ห้องแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากหินเช่นกัน ที่ฝั่งตรงข้ามก็มีทางเดินเชื่อมต่อกับห้องนี้เหมือนกัน แต่ตรงกลางของห้องมีโลงศพอยู่สองโลง ทั้งสองถูกสร้างขึ้นมาจากผลึกที่ใช้ทำประตูตอนเข้ามา เมื่อเห็นเช่นนี้ฉางหยางรีบเดินเข้าไปตรวจสอบทันที
หลังที่เขาเดินเข้ามา มือทั้งสองก็เลื่อนฝาโลงออกมา ปรากฏเป็นศพของชายชราที่สวมชุดจอมยุทธสีขาวนอนอยู่ สภาพร่างกายของเขายังคงรูปลักษณ์เดิมเหมือนยังตอนที่มีชีวิตไม่ผิดเพี้ยน
แต่ทว่าที่หน้าอกของเขากลับมีรูขนาดใหญ่เปิดกว้างอยู่ ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าก่อนตายเขาได้ต่อสู้จนบาดเจ็บสาหัส แล้วไม่สามารถรักษาชีวิตเขาได้อีกต่อไป เหตุนี้จึงทำให้เขาต้องสร้างมิติแห่งนี้ขึ้นมาก็อาจจะเป็นได้
ฉางหยางกวาดสายตาไปทั่วโลง แต่ก็ไม่พบสมบัติแม้แต่ชิ้นเดียว เขาถอนหายใจยาวก่อนจะเดินไปโลงต่อไป แล้วใช้มือเลื่อนฝาโลงออกเบาๆ เผยให้เห็นโลงที่ว่างเปล่า เขาถอนหายใจแล้วกล่าวออกมาอย่างหดหู่
“เฮ้อ! ผู้อาวุโสคนนี้คงเป็นผู้ฝึกวรยุทธที่ตัดผ่านเข้าสู่ชั้นปราณธรรมชาติอย่างแน่นอน แต่ทำไมผู้อาวุโสท่านนี้ถึงต้องมาจบชีวิตทิ้ง ณ ที่แห่งนี้ด้วย แต่กลับไม่มีแม้แต่สมบัติติดตัวเลยสักชิ้นเดียว ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก”
เขาผสานมือคารวะก่อนจะเดินผ่านห้องนี้ไป หลังจากที่เดินมาสักพักเขาก็สัมผัสได้ถึงไอความร้อนจำนวนมหาศาลที่ถาโถมเข้ามาใส่เขาจนรู้สึกแสบไปทั่วทั้งตัว
ตอนนี้สีหน้าของฉางหยางเริ่มปรากฏร่องรอยความสงสัยขึ้นมาแล้ว เพราะว่าอะไรกันที่สามารถแผ่ความร้อนได้รุนแรงเทียบเท่ากับเปลวเพลิงสีทองตอนปลดปล่อยพลังได้สามส่วน ฉางหยางรีบเดินไปอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นเต้น ในความคิดของเขามันอาจจะเป็นสมบัติก็เป็นได้
แต่พอเขาเดินมา สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขากลับเป็นบึงขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางถึงสี่ร้อยห้าสิบเมตร แต่ทว่าน้ำภายในบึงแห่งนี้มันกลับกลายเป็นสีเหลือง ส่องประกายดูสวยงามเป็นอย่างมาก
“อะไรกัน ? เป็นเพียงแค่บึงเท่านั้นเองรึ แต่น้ำที่อยู่ในนั้นกลับกลายเป็นสีเหลืองซะแบบนี้ แถมมันยังแผ่ไอความร้อนสีสามารถแผดเผาทุกอย่างที่สัมผัสได้ ข้าว่ามันแปลกๆหน่อยนะ ทำไมที่แห่งนี้กลับไม่มีสมบัติสักชิ้นเลย เอ๊ะแต่เดี๋ยวก่อนนั้นมันอะไร”
ระหว่างที่ฉางหยางกำลังพึมพำอยู่นั้น สายตาของเขาก็ไปสะดุดเข้ากับตัวอักขระโบราณสีเหลืองที่ลอยอยู่บนอากาศกลางบึงสีเหลือง
เขาเพ่งมองมันไปสักพักเพื่ออ่านมัน เพราะว่าแสงของน้ำที่อยู่ในบึงมันสะท้อนเข้าปะทะกับตัวอักขระโบราณจนทำให้มองเห็นได้ยาก แต่พอมองไปนานๆเข้า เขาก็พบว่ามันถูกเขียนโดยชายชราที่นอนอยู่ในโลงศพผลึกโบราณอย่างแน่นอน เพราะมันเขียนไว้ว่า
“ก่อกำเนิด เบิกดวงตา ฟ้าลิขิต พิชิตพลัง”
“ข้าไม่เห็นเข้าใจความหมายของมันเลย ผู้อาวุโสชราผู้นั้นต้องการสื่อถึงอะไรกันแน่ หรือว่าจะเป็นคำใบ้ของที่ซ่อนสมบัติกันแน่”
ฉางหยางกล่าวออกมาอย่างงุนงง เขากวาดสายตาไปรอบๆแล้วก็ไม่พบสิ่งใดเลย มีเส้นทางไปต่อ ไม่มีสมบัติ ทุกอย่างสิ้นสุดที่ตรงบึงสีเหลืองนี้ เขาจ้องมองไปที่น้ำสีเหลืองในบึงอยู่นาน เพราะเขาก็สงสัยเหมือนกันว่าสิ่งนี้มันคืออะไรกันแน่ ทำไมชายชราผู้นั้นต้องนำน้ำสีเหลืองอันนี้มาไว้ที่แห่งนี้ด้วย
แล้วน้ำสีเหลืองพวกนี้มันมาจากที่ไหน มันไม่น่าจะมีอยู่บนโลกใบแล้ว ฉางหยางเดินไปข้างก่อนจะหยิบก้อนหินขึ้นมา แล้วลองโยนไปที่น้ำสีเหลืองดู พบว่ามันละลายหายไปทันที
“มันร้อนขนาดละลายก้อนหินในพริบตาเลยรึ”
แต่ระหว่างนั้นเอง สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งที่อยู่ในบึงน้ำสีเหลืองเข้า มันคล้ายกับชุดเกราะแต่มันก็ไม่ใช่ มันก็เหมือนกับชุดของจอมยุทธที่ผู้ฝึกวรยุทธใส่กันทั่วไปมากกว่า
“อะไรกัน ? ทำไมมันถึงไปอยู่บึงได้ แถมยังทนต่อความร้อนของน้ำสีเหลืองขนาดนั้นได้ มันต้องเป็นชุดที่ไม่ธรรมดาแน่นอน แต่ข้าจะเอามันมาได้อย่างไรกัน”
ที่ฉางหยางมองไม่เห็นเพราะว่ามีชุดอยู่ในบึง เพราะว่าชุดที่อยู่ในบึงมันเป็นสีทองทั้งชุดแล้วยังกลมกลืนกับน้ำสีเหลืองที่อยู่ในบึงอีก ทำให้ยากต่อการมองเห็น แต่ทว่าเขาจะเอามันมาได้อย่างไร ในเมื่อน้ำสีเหลืองนั้นมันร้อนขนาดเผาเขาให้เป็นเถ้าถ่านภายในพริบตา เขามองที่คำใบ้ที่ชายชราได้ทิ้งไว้ในให้มันสื่ออะไรกันแน่
“ก่อกำเนิด มันคืออะไร หรือว่ามันจะเกี่ยวกับพลังลมปราณกัน แต่ว่าเบิกดวงตามันช่างคล้ายกับตอนที่ข้าเปิดประตูสรรค์บานที่หนึ่งเหลือเกิน”
หลังจากที่กล่าวจบ ฉางหยางก็ครุ่นคิดอย่างหนัก เพราะเขาเริ่มจะจับเคล็ดมันได้แล้ว คำว่าก่อกำเนิดมันน่าจะมาจากตอนเปิดประตูสวรรค์บานที่หนึ่งสำเร็จ นั้นก็คือพลังลมปราณ ส่วนเบิกดวงตามันน่าจะเหมือนตอนที่เขากระตุ้นจิตวิญญาณ เพื่อเปิดมัน แล้วตอนนั้นดวงตาที่อยู่ประตูสวรรค์ก็จะเบิกกว้างขึ้นมา
ส่วนฟ้าลิขิตและพิชิตพลัง คงเป็นตอนที่เขาเปิดประตูสวรรค์ได้สำเร็จแล้วแน่นอน สรุปก็คือการจะลงไปที่บึงสีเหลืองอันนี้ต้องเขาสู่สภาวะเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ แล้วกระตุ้นจิตวิญญาณให้เข้าสู่สภาวะปิดผนึก จะทำให้พลังลมปราณทั้งหมดไหลย้อนกลับเข้าประตูสวรรค์ แล้วจะสูญเสียประสาทสัมผัสทั้งห้าไป ทำให้ร่างกายดูเหมือนว่างเปล่า จากนั้นก็จะสามารถลงไปในบึงสีเหลืองได้
ว่าแล้วฉางหยางก็ไม่รอช้าอีกต่อไป เขานั่งลงแล้วปล่อยจิตใจให้ว่างเปล่า และร่างกายให้ผสมกลมกลืนไปกับธรรมชาติ
“วูบบบ”
ฉางหยางมาโผล่ที่หน้าประตูสวรรค์บานที่หนึ่งเช่นเดิม หากเป็นเช่นนี้เขาจะลุกเดินลงไปในบึงได้อย่างไร เขาสายหัวไปมาก่อนจะกลับออกมายังโลกภายนอกเหมือนเดิม
จากนั้นก็เริ่มลองใหม่ ปล่อยให้จิตใจว่างเปล่าและร่างกายให้เป็นไปตามธรรมชาติ ประสาทสัมผัสทั้งห้าถูกตัดออกทันที
“วูบบบ”
ฉางหยางมาโผล่ที่หน้าประตูสวรรค์บานที่หนึ่งเช่นเดิมอีกแล้ว
“เหมือนกับว่าข้าข้ามอะไรไปสักอย่าง”
หลังจากที่เขากล่าวจบ ฉางหยางก็ตัดออกมาข้างนอกเช่นเดิม แล้วจากนั้นก็นั่งครุ่นคิดสักพัก “หากเป็นเช่นนี้ต่อไป คงได้แต่วนไปมาระหว่างประตูสวรรค์กับโลกภายนอกแน่นอน แล้วข้าทำอย่างไรให้สามารถลุกขึ้นเดินไปที่บึงนั้นได้”
“วูบ วูบ วูบ วูบ วูบ.......”
ฉางหยางได้นั่งฝึกอยู่อย่างนี้ร่วมสองเดือนแล้ว เขาฝึกเข้าสู่สภาวะปิดผนึกใกล้สำเร็จเต็มทีแล้ว เพราะว่าก่อนที่ประสาทสัมผัสทั้งห้าจะถูกตัดขาด แล้วเข้าไปโผล่ที่ประตูสวรรค์ เขาต้องกระตุ้นจิตวิญญาณเพื่อปิดผนึกทุกอย่างของเขา ตั้งแต่พลังลมปราณที่อยู่ภายในร่าง และผนึกประสาทสัมผัสทั้งห้าให้ร่างกายเขาสู่สภาวะว่างเปล่า จากนั้นเขาถึงจะสามารถขยับตัวเองได้อย่างอิสระ
แต่ทว่าการทำแบบนี้มันต้องสูญเสียพลังวิญญาณจำมากเลยทีเดียว จึงทำให้เป็นเหตุที่เขาฝึกมันได้วันละสองถึงสามครั้งเท่านั้น...