ตอนที่แล้วตอนที่ 68 เเผ่นหนังโบราณ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 70 ถ่วงเวลา

ตอนที่ 69 ซีราคิวส์ภูผา


หลังจากที่กลุ่มฉางหยางเดินจากไปนานแล้ว ผู้ฝึกวรยุทธสองคนที่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก พวกเขามองหน้ากันสักพักก่อนจะโดดลงมาจากต้นไม้

คนหนึ่งใส่ชุดจอมยุทธสีดำพร้อมผ้าที่ปิดปาก อีกคนใส่ชุดจอมยุทธสีเขียว ระดับการบ่มเพาะทั้งสองอยู่ในชั้นปราณบรรจบขั้นที่สอง แต่ทว่าตอนนี้ทั้งสองคนยังไม่หายหวาดกลัวอยู่เลย เพราะภาพการสังหารโหดยังลอยวนเวียนอยู่ภายในจิตใจของพวกเขา

“พวกเราจะเอายังไงดี” ผู้ฝึกวรยุทธใส่ชุดจอมยุทธสีดำหันไปถาม

“จะทำอะไรได้ ในเมื่อแผนที่ก็ถูกเอาไปแล้ว หากพวกเราทั้งสองคนตามพวกมันมาเร็วกว่านี้ละก็ ข้าว่าพวกเราก็ต้องนอนเป็นศพเหมือนพวกมันแน่นอน” ผู้ฝึกวรยุทธใส่ชุดจอมยุทธเขียวตอบออกอย่างเจ็บใจ

“ในเมื่อเราไม่สามารถชิงแผนที่กลับมาได้ เช่นนั้นพวกเราทั้งสองถอนตัวกันเถอะ ข้าว่ามันอันตรายเกินไป หากจะเข้าไปที่แห่งนั้นโดยไม่มีแผ่นหนังโบราณ แถมพวกเราก็มีเพียงสองคนเท่านั้น ข้าไม่อยากเอาชีวิตของตัวเองไปทิ้งหรอกนะ แล้วเจ้าละว่าไง” ผู้ฝึกวรยุทธใส่ชุดจอมยุทธสีดำครุ่นคิดสักพักก่อนจะกล่าวชี้แนะสหาย

“เฮ้อ! เช่นนั้นพวกเราก็ต้องถอยสินะ” ผู้ฝึกวรยุทธใส่ชุดจอมยุทธเขียวถอนหายใจและกล่าวอย่างหมดหวัง

ระหว่างนั้นกลุ่มของฉางหยางก็หาที่พักได้เรียบร้อยแล้ว หนึ่งวันผ่านไปสำหรับพักฟื้นฟูบาดแผลและพลังลมปราณ

ตอนนี้กลุ่มของฉางหยางได้เดินมาถึงหุบเขาราชันย์เรียบร้อยแล้ว ฉางหยางที่ยืนอยู่เขาถึงกลับเผยรอยยิ้มขึ้นมาทันใด เพราะว่าขนาดอยู่รอบนอกหุบเขาเท่านั้น ยังรู้สึกถึงพลังลมปราณมหาศาลได้เลย ไม่แน่ว่าที่หุบเขาแห่งนี้อาจจะมีผลึกนภาที่เขาต้องการอยู่ก็เป็นได้ ทั้งสี่คนมองเข้าไปข้างในหุบเขาสักพัก ก่อนจะเดินไปอย่างระวังตัว

อย่างไรก็ตามภายในหุบเขาแห่งนี้ช่างต่างจากที่เขายิ่งนัก เพราะว่าบรรยากาศโดยรอบเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ เสียงสัตว์อสูรก็เงียบลงผิดปกติ จากที่พวกเขาได้เดินผ่านป่ารอบหุบเขามัน ปรากฏว่ามันเต็มไปด้วยร่องรอยการต่อสู้ และเศษอาวุธ ชุดเกราะ

แต่ทว่ายิ่งพวกเขาทั้งสี่คนเดินเข้าลึกเพียงใด มันกลับไม่พบแม้แต่ร่องรอยการต่อสู้ และสัตว์อสูรเลย ฉางหยางหันหลังกลับไปมองทั้งสามและกล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจัง

“ข้าว่าหุบเขาแห่งนี้ เริ่มชักจะไม่ดีแล้ว”

หลวนเฟยหันไปมองรอบๆ เขาเห็นว่ามันก็ปกติดี คิ้วของเขาขมวดแน่นก่อนจะกล่าวถามอย่างสงสัย

“ไม่ดี ? ไม่ดียังไง ข้าไม่เห็นเข้าใจที่เจ้าพูด”

“เจ้าไม่เห็นรึไร ที่ป่าด้านนอกหุบเขากลับมีการร่องรอยการต่อสู้มากมาย แต่ทว่าภายในหุบเขาแห่งนี้มันกลับเงียบจนเกินไป ตั้งแต่ที่เราเข้ามาแล้วข้ายังไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยแม้แต่น้อย ทั้งเสียงการต่อสู้ เสียงคำรามของสัตว์อสูร พวกเจ้าไม่คิดว่ามันแปลกรึ” ฉางหยางรีบกล่าวอธิบายออกไป

“แปลก ? ข้าว่าหุบเขาแห่งนี้ก็เป็นแบบนี้แหละ มันเป็นสถานที่ต้องห้าม แล้วผู้ฝึกวรยุทธคนไหนจะกล้าเข้ามาในที่แห่งนี้เหมือนพวกเราทั้งสี่คนได้” หลางหลู่เออร์กล่าวด้วยท่าทางสบาย

หลังจากที่เห็นท่าทางที่ดูสบายๆ ของทั้งสามคนแล้วเข้าได้แต่สายหน้าไปมา อย่างไรก็ตามเขารู้สึกบางอย่างที่กำลังจ้องมองมาที่เขาอยู่ตลอดเวลา

ฉางหยางรีบกระจายสัมผัสออกไปอย่างรวดเร็ว พริบตานั้นเองสีหน้าของเขาเริ่มซีดลงพร้อมตะโกนออกมาดังลั่น

“หนีเร็วเข้า”

ทั้งสามคนได้ยินเสียงของฉางหยาง แล้วกำลังจะพุ่งตัวหนีแต่ทว่ากลับไม่ทันเสียแล้ว

“ฝุ่บ ฝุ่บ ฝุ่บ ฝุ่บ ฝุ่บ ฝุ่บ ฝุ่บ ฝุ่บ”

เพียงแค่พริบตาเท่านั้น สัตว์อสูรแปดตัวก็ล้อมพวกเขาทั้งสี่คนเรียบร้อยแล้ว พวกมันมีผิวสีน้ำตาล ตามลำตัวเต็มไปด้วยมัดกล้าม มีขนาดใหญ่ถึงห้าเมตร ขนสีน้ำตาลปกคลุมเฉพาะที่หลังและบริเวณข้าเล็กน้อย มีขาและหางเหมือนวัวกระทิง แขนทั้งสองข้างคล้ายมนุษย์ ที่หัวมีเขาสีดำยาว บนใบหน้ามีเพียงดวงตาขนาดใหญ่เพียงข้างเดียวเท่านั้น

แต่ทว่ายังไม่หมดแค่นั้น พวกมันกลับมีระดับการบ่มเพาะปราณผันผวนขั้นสูงกันทั้งนั้น แต่ก็มีบางตัวที่ตัดผ่านเข้าสู่ปราณก่อกำเนิดแล้ว ตอนนี้ใบหน้าของทั้งสี่หน้าเริ่มเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ เม็ดเหงื่อเริ่มปรากฏออกมาให้เห็นแล้ว เพราะไม่นึกเลยว่าพวกมันจะเข้ามาในระยะใกล้โดยที่แม้แต่พวกเขาก็ไม่รู้ตัว

“พว... พวกเราควรทำเช่.....เช่นไรดี” หลวนเฟยมองที่สัตว์อสูรพลางกล่าวด้วยเสียงที่สั่นเครือ

หลิ่งซูมองที่สัตว์อสูรที่กำลังเริ่มล้อมกรอบเข้ามาเรื่อยๆ ใบหน้าของนางเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก นางมองไปที่ฉางหยางด้วยสายตาที่รักใคร่ หากนางต้องตาย ก็ขอได้ตายร่วมกับบุรุษที่ตนได้มอบหัวใจให้ เพียงเท่านี้นางก็ไม่ขออะไรมากแล้วในชีวิตนี้

ฉางหยางที่ยืนอยู่ เขาหันมองรอบๆก็พบว่ามันไม่มีทางหนีเลย สัตว์อสูรพวกนี้มันเริ่มล้อมกรอบเข้ามาเรื่อยๆ แต่พวกมันตัวอะไรกันแน่ ทำไมมันถึงเข้าตัวเขาได้โดยแบบไร้เสียง ทั้งตัวของมันใหญ่ขนาดนั้น แถมดูจากท่าทางของพวกมันแล้ว ดูเหมือนจะมีสติปัญญาอยู่ด้วย ก่อนที่เขาจะได้กล่าวอะไรเสียงของหลางหลู่เออร์ก็ดังขึ้น

“ข้ารู้แล้ว! พวกนี้มันคือ ซีราคิวส์ภูผา พวกเราต้องรีบไปจากที่นี่ให้เร็วเลย พวกมันไม่ได้มีแค่นี้แน่นอน ข้าเคยอาจเจอในตำรา มันบอกว่าพวกนี้จะโจมตีศัตรูเป็นฝูง แถมพวกมันเก่งเรื่องเคลื่อนไหวไปมาแบบไร้เสียงอย่างมาก อย่าว่าแต่พวกเราเลย แม้แต่ทั้งอาณาจักรก็ไม่มีใครอยากยุ่งกับพวกมันเท่าไรนัก”

ฉางหยางที่ได้ยิน ยิ่งเคร่งเครียดหนักเข้าไปอีก เขาก็ไม่สามารถเรียกเฉินตี้ได้เช่นกัน เพราะขนาดลำตัวที่ยาวมันเป็นอุปสรรคอย่างมาในการหนี หากพวกซีราคิวส์ภูผารุมโจมตีเข้ามาพร้อมกันตอนที่เฉินตี้กำลังกลับร่างเดิมละก็ มันก็จะเป็นการตัดหนทางสุดท้ายที่จะใช้หนีทันที

แต่การที่ให้เฉินตี้กลับร่างเดิมตลอดจนบินขึ้นท้องฟ้าได้ ต้องใช้เวลาประมาณแปดวินาที ซึ่งรวมกับที่กระโดดขึ้นไปบนหัวของเฉินตี้แล้ว ฉางหยางได้แต่ถอนหายใจยาวก่อนจะกล่าวบอกทั้งสามคน

“ข้าจะนับสาม พวกเจ้าเตรียมตัวให้พร้อม พวกเราจะบุกฝ่าออกไป เมื่อข้าโจมตีแล้วให้พวกเจ้าทั้งสามคนวิ่งไปทางที่ข้าโจมตีทันทีอย่ารีรอ วิ่งไปอย่าหยุด”

ฉางหยางก็มองไปทางซีราคิวส์ภูผาที่มีระดับการบ่มเพาะปราณผันผวนขั้นที่เจ็ด จากนั้นเขาเริ่มโคจรพลังลมปราณผสานอย่างรวดเร็ว พลังลมปราณมหาศาลทะลักออกมาจากประตูสวรรค์ทั้งสอง ลูกแก้วสีทองเริ่มสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เปลวเพลิงสีทองเริ่มลุกโหมกระหน่ำ แต่ก็มิอาจสัมผัสได้ถึงความร้อนได้เลย

เขาซึ่งไม่มีทางเลือกแล้ว ได้รีดเค้นพลังลมปราณในร่างทั้งหมดเพื่อทุ่มกับการโจมตีครั้งนี้ เพราะสัตว์อสูรตัวนี้มันมีระดับการบ่มเพาะมากกว่าถึงสองชั้นปราณด้วยกัน เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำให้มันขยับได้หรือไม่ เขาจ้องมองไปที่ซีราคิวส์ที่ระดับต่ำสุดจากพุ่งทะยานไปทันที

“หมื่นทลาย”

หมัดที่ห่อหุ้มไปด้วยเปลวเพลิงสีทองถูกปล่อยออกไปอย่างรวดเร็ว

“ตูม”

หมัดที่เขาได้ปล่อยออกไปเหมือนกับต่อยเข้าไปแผ่นเหล็กทมิฬก็มิปาน กระดูกแขนเกิดรอยร้าวขึ้นเล็กน้อย แต่ทว่ากลับส่งผลให้ร่างของซีราคิวส์ภูผาถอยหลังกลับไปเพียงสี่ก้าวเท่านั้น และตามร่างกายของมันก็ไม่มีรอยแผลแม้แต่นิดเดียว มีเพียงแต่เปลวเพลิงสีทองที่กำลังลุกไหม้อยู่  ฉางหยางเห็นเช่นนี้ก็รีบตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะเรียกเฉินตี้ออกมาพร้อมกับหยิบเม็ดยาฟื้นฟูพลังลมปราณมากิน

“เร็วเข้ารีบมาทางนี้”

ทันทีที่เฉินตี้ปรากฏตัวออกมา พวกซีราคิวส์ภูผากลับหยุดชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะพุ่งตามไปอย่างบ้าคลั่ง

ทั้งสี่คนรีบใช้ออกเคล็ดวิชาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ฉางหยางหันไปมองข้างหลัง ก็พบว่าพวกเขาทั้งสี่ไม่สามารถทิ้งห่าง ฝูงซีราคิวส์ภูผาได้เลย แถมตอนนี้พวกมันก็เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ เกือบจะยี่สิบตัวแล้ว

เขาจะให้เฉินตี้กลับร่างเดิมขณะกำลังหนีก็ไม่ได้ เพราะปีกที่ใหญ่จะไปขวางต้นไม้ทำให้ความเร็วลดลงอีก และจะให้หยุดเพื่อบินขึ้นก็ไม่ทันการ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปพวกเขาทั้งสี่ต้องพลังลมปราณหมดก่อนแน่นอน แล้วเมื่อนั้นมาถึงความตายก็จะมาเยื่อนพวกเขาทั้งสี่อย่างหลีกเหลี่ยงไม่ได้เลย

“พวกเราจะทำเช่นไรดี พวกมันตามหลังเรามาติดๆเลย” หลางหลู่เออร์กล่าวด้วยความกังวล

“ใช่แล้ว พวกเราไม่ทำอะไรสักอย่าง พวกมันทั้งหมดตามเราทันแน่” หลวนเฟยด้วยความหวาดกลัว

“ให้เฉินตี้กลับร่างเดิมแล้ว บินหนีออกจากที่นี่ดีไหม” หลิ่งซูชี้แนะ

ฉางหยางได้ยินหลิ่งซูกล่าวออกมาเขาสายหัวก่อนจะกล่าวอธิบายออกไป

“ไม่ได้หรอก ร่างกายของเฉินตี้มีขนาดใหญ่และยาวเกินไป หากต้องกลับร่างเดิมแล้วตลอดจนพวกเราบินหนีไปก็ใช้เวลามากพอสมควร”

“แล้วใช้เวลาเท่าไร” หลางหลู่เออร์ถามอย่างใคร่รู้

“ประมาณเจ็ดถึงแปดวินาที” ฉางหยางตอบด้วยสีหน้าที่หนักใจ

ได้ยินคำตอบทั้งสามได้แต่ทำสีหน้าเศร้าสลด เพราะมันเป็นไม่ได้เลยที่จะถ่วงเวลาฝูงซีราคิวส์ภูผาให้ถึงแปดวินาที โดยคนผู้นั้นยังรอดอยู่..

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด