ตอนที่ 65 ทุ่มสุดตัว
อย่างไรก็ตามหลวนเฟยลอบปาดเหงื่ออยู่ภายใน หากเขาไม่ระวังตัวไว้ก่อนหน้านี้ก็คงโดนหมัดของหวั่งเหลี่ยงเข้าไปอย่างจังแล้ว
ส่วนทางด้านของหวังเหลี่ยงเขาก็เพ่งมองไปที่หลวนเฟยอย่างระวัง พร้อมกับครุ่นคิดบางอย่าง “ไอ้หนูสวะตัวนี้ มันร้ายไม่เบาเลย ดูแล้วข้าคงมิอาจดูถูกมันได้อีกต่อไปแล้ว”
“ดีๆ ในเมื่อเจ้าเล่นไม่ซื่อกับข้า เจ้าก็เตรียมรับการลงทัณฑ์ของหลวนเฟยผู้นี้ได้เล....”
“พรึบ”
หลังจากที่หลวนเฟยกล่าวยังไม่ทันจบ ร่างของเขาก็หายตัวไปปรากฏอยู่ข้างหน้าของหวั่งเหลี่ยง พร้อมขาที่ตวัดออกไปอย่างรวดเร็ว
“วืดดด”
หวั่งเหลี่ยงตกใจเล็กน้อยก่อนจะเอี้ยวตัวหลบ แล้วกระโดดถอยหลังออกไป ทำให้การโจมตีของหลวนเฟยพลาดไป แต่ภายในใจของเขากลับเริ่มรู้หวาดกลัวขึ้นมาสักนิดแล้ว เพราะใครจะไปนึกกันละว่าไอ้หนูที่กล่าววาจาอย่างโอ้อวดจะมีเคล็ดวิชาเคลื่อนไหวที่น่าสะพรึงเช่นนี้
ฉางหยางที่กำลังยืนดูอยู่ เขาต้องลอบตรวจสอบผู้ฝึกวรยุทธทั้งสี่คนไว้ เพื่อป้องกันพวกเขาทั้งสี่คนลอบโจมตี แต่เขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเคล็ดวิชาเคลื่อนไหวของหลวนเฟย เพราะมันสามารถเทียบเท่ากับเคล็ดวิชาท่องนภาขั้นที่หนึ่งของเขาได้เลย
เขาคิดผิดแล้วที่ตัดสินคนจากภายนอก จากหลวนเฟยที่ชอบหลีหญิงไปวันๆ แต่ตอนนี้เขากลับดูเหมือนบุรุษผู้เหี้ยมหาญ และดูน่าสะพรึง หญิงสาวทั้งสองที่กำลังยืนดูอยู่ก็มีท่าทีไม่ต่างจากฉางหยางเท่าไรนัก
สหายของหวั่งเลี่ยงที่กำลังดูอยู่เริ่มหัวเราะไม่ออกเสียแล้ว เพราะได้เห็นเคล็ดวิชาเคลื่อนไหวที่แม้แต่พวกเขาเองก็มองตามไม่ทัน แถมไอ้หนูที่ชื่อหลวนเฟยอ้วนซะขนาดนั้น กลับหายตัวไปมาพริ้วไหวอย่างกับสายลม โดยไขมันที่สะสมมานานไม่เป็นอุปสรรคเลยแม้แต่น้อย
“ดีในเมื่อเจ้ากล่าววาจาได้โอหังยิ่ง ข้าก็จะแสดงให้เห็นความต่างของประสบการณ์ที่สะสมมาอย่างยาวนานให้เห็นเอง”
หลังจากที่กล่าวจบ หวั่งเหลี่ยงก็พุ่งเข้าหาหลวนเฟยอย่างกับพยัคฆ์ร้ายที่กำลังจะตะครุบกินเหยื่อ พร้อมกับปล่อยหมัดออกไป
ส่วนทางด้านหลวนเฟยก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน เขาพุ่งเข้าปะทะกับหวั่งเหลี่ยงอย่างไม่เกรงกลัว แล้วปล่อยหมัดออกไปเช่นกัน
“ตูม”
หมัดทั้งสองกระแทกเข้าหากัน ทำให้ร่างของทั้งสองกระเด็นถอยหลังออกไป พริบนั้นเองร่างของหลวนเฟยหายไปจากสายตาของหวั่งเหลี่ยงทันที
“พรึบ”
แล้วปรากฏตัวอีกครั้งข้างหลังของหวั่งเหลี่ยงพร้อมขาตวัดเตะเข้าที่หัว แต่ทว่าหวั่งเหลี่ยงรีบยกแขนขึ้นมากันไว้
“ตูม”
ร่างของหวังเหลี่ยงกระเด็นลอยออกไป ตามด้วยแขนของเขาที่รู้สึกเจ็บปวด กระดูกเริ่มแตกร้าว ใบหน้าของเขาเริ่มบิดเบี้ยวไปมา
แต่ระหว่างที่ร่างของหวั่งเหลี่ยงลอยกระเด็นไป หลวนเฟยก็ไม่ปล่อยให้โอกาสอย่างนี้รอดพ้นเงื้อมมือเขาไปได้ เขารีบพุ่งทะยานร่างตามไปทันที พลังลมปราณภายในร่างเริ่มโคจรอย่างรวดเร็ว หมัดของเขาเริ่มกำแน่นพร้อมออร่าสีส้มปรากฏออกมา แล้วปล่อยออกไปอย่างรวดเร็ว
“ตูม”
หมัดของหลวนเฟยพุ่งเข้าปะทะที่หน้าอกของหวั่งเหลี่ยงอย่างจัง ทำให้ร่างของเขากระแทกพื้นจนเกิดเป็นหลุมขนาดครึ่งเมตร ตามด้วยเสียงกระดูกที่แตกหักดังออกมา
หวั่งเหลี่ยงที่นอนอยู่ร้องออกมาอย่างโหยหวน แต่ระหว่างนั้นเขาก็เห็นหลวนเฟยปล่อยหมัดสังหารออกมา เขารีบพลิกตัวหลบ
“ตูม”
หมัดได้เจาะทะลุพื้นดินลงไป หวั่งเหลี่ยงที่หลบได้ทันท่วงที เขารีบดีดตัวออกจากหลุม จากนั้นก็รีบโคจรพลังลมปราณภายในร่าง จนปรากฏออร่าสีขาวออกมาจากร่าง พริบตานั้นเองหวั่งเหลี่ยงได้คำรามออกมาดั่งลั่น “พยัคฆ์ขาวกลืนกิน”
“โฮกกกก”
ปรากฏร่างพยัคฆ์สีขาวขนาดสองเมตรครึ่งพุ่งเข้าหาหลวนเฟยอย่างรวดเร็ว
หลวนเฟยที่โจมตีพลาดไป สัมผัสได้ถึงพลังลมปราณกำลังผันผวนไปมา และแรงกดดันอันมหาศาลที่พุ่งเข้ามาหาตนเอง เขาหันหน้ากลับไปมองก็เห็นหวั่งเหลี่ยงใช้เคล็ดวิชาออกมาเสียแล้ว ตอนนี้ใบหน้าของหลวนเฟยเริ่มซีดขาวลง เขารีบโคจรพลังลมปราณภายในร่างเพื่อป้องกันทันที
“ตูม”
พยัคฆ์สีขาวพุ่งเข้ากระแทกหลวนเฟยอย่างรุนแรง จนทำให้ร่างของเขากระเด็นลอยออกไป พร้อมกระอักเลือดคำโตออกมาตอนนี้ทั่วร่างของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์หลายแห่ง
หวั่งเหลี่ยงที่เห็นเคล็ดวิชาของตนโดนไอ้หนูสวะเข้าอย่างจัง ทำให้เขาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เพราะว่าเคล็ดวิชาที่เขาได้ใช้ออกไปมันเป็นเคล็ดวิชาระดับปฐพี ซึ่งหากโดนเข้าไปไม่ตายก็บาดเจ็บสาหัสแน่นอน
สหายของเขาที่กำลังดูอยู่ ก็มีสีหน้าที่ไม่ต่างกันเท่าไรนัก เพราะพวกเขารู้ความน่ากลัวของเคล็ดวิชานี้เป็นอย่างดี แต่ทางด้านของฉางหยาง หลิ่งซูและหลางหลู่เออร์ พวกเขาเริ่มมีสีหน้าที่ไม่สู้ดีหนักแล้ว
ระหว่างที่ร่างของเขากำลังลอยไปกระแทกเข้ากับต้นไม้ หลวนเฟยกัดฟันแน่น เริ่มโคจรพลังลมปราณให้ไปรวมอยู่บริเวณเท้าจนเกิดออร่าสีส้มขึ้น จากนั้นเขาก็พลิกตัวเหยียบต้นไม้แล้วดีดตัวขึ้นกลางอากาศ พร้อมกับระเบิดพลังลมปราณออกมาอย่างมหาศาล จนตอนนี้ร่างของหลวนเฟยปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงสีส้มที่ลุกไหม้อย่างโชติช่วง
ตามด้วยร่างของหลวนเฟยที่พุ่งลงมา พร้อมกับคำรามดั่งลั่น “หมัดเพลิงดาวตก”
หวั่งเหลี่ยงที่กำลังยืนอยู่เห็นหลวนเฟยใช้เคล็ดวิชาออกมา เขาเผยรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนจะกล่าวออกมาอย่างเหยียดหยาม
“ฮึ! ดูท่าแกคงจะมีดีแต่เคล็ดวิชาเคลื่อนไหวเท่านั้นสินะ จากที่ข้าดูแล้วเคล็ดวิชาโจมตีที่แกกำลังใช้ คงเป็นเพียงแค่ระดับมนุษย์กระจ่อยร่อยที่ไม่มีค่าให้เหลียวแล เดียวข้าจะสอนความต่างของพยัคฆ์ผู้มากด้วยประสบการณ์กับลูกแมวที่พึ่งหัดเดินให้เองว่ามันต่างกันขนาดไหน”
หลังจากที่หวั่งเหลี่ยงกล่าวจบ เขาก็เริ่มโคจรพลังลมปราณ พร้อมกับปลดปล่อยเคล็ดวิชาออกไป “พยัคฆ์ขาวกลืนกิน”
“โฮกกก”
“ตูม”
พยัคฆ์ขาวขนาดสองเมตรครึ่งแตกสลายไปในพริบตาหลังจากที่ปะทะกับหมัดเพลิงดาวตกของหลวนเฟย แม้ว่าจะถูกทำลายแต่ก็สามารถลดทอนพลังได้ถึงหกส่วนด้วยกัน
ตอนนี้ใบหน้าของหวั่งเหลี่ยงเริ่มปรากฏร่องรอยความหวาดกลัวอย่างเต็มที่แล้ว เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าเคล็ดวิชาระดับปฐพีของตนเองจะถูกทำลายอย่างง่ายดายเช่นนี้ ขาของเขาเริ่มก้าวถอยหลังอย่างช้าๆ แล้วกำลังจะพุ่งตัวหลบ แต่ทว่ารังสีกลัวความร้อนก็พุ่งเข้ามากระทบหลัง
“ตูม”
“อั๊ก”
ร่างของเขาถูกหมัดของหลวนเฟยกระแทกเข้าที่หลังจนทำให้เขาต้องกระอักเลือดออกมา ตามด้วยร่างของเขาที่ฝังจมลงพื้นดินถึงหนึ่งเมตร กระดูกสันหลังของเขาหักสะบั้นภายในพริบตา เปลวเพลิงสีส้มเริ่มแผดเผาจนได้กลิ่นเหม็นไหม้
หลวนเฟยมองที่หวั่งเหลี่ยงที่สั่นเทาไปด้วยความกลัว เขาเผยแววตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหารก่อนจะกล่าวออกมาอย่างดูถูก
“ไอ้เตี้ย วันนี้ข้าจะสอนให้แกได้รู้เองว่าลูกแมวที่พึ่งหัดเดินกับพยัคฆ์ขาวผู้มากด้วยประสบการณ์มันมีจุดจบเช่นไร หลังจากที่เผชิญหน้ากันแล้ว”
หลังจากที่กล่าวจบหลวนเฟยก็โคจรพลังลมปราณไปที่มือจนเกิดออร่าสีส้ม พริบตานั้นเอง
“ซุบ”
มือของหลวนเฟยแทงจากข้างหลังทะลุถึงหัวใจ หวั่งเหลี่ยงที่นอนอยู่ตายโดยไร้เสียงกรีดร้องออกมาอย่างสิ้นเชิง
สหายของหวังเหลี่ยงที่กำลังยืนดูเหตุการณ์อยู่ พวกเขาทั้งสี่อดตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้ และไม่นึกเลยว่าสหายของเขาจะพ่ายแพ้รวดเร็วปานนี้ แถมเหตุการณ์ที่หลวนเฟยสังหารหวั่งเหลี่ยงก็เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น ทำให้พวกเขาที่กำลังตกตะลึงไม่สามารถเข้าไปขัดขวางได้ทันท่วงที
ตอนนั้นเองผู้ฝึกวรยุทธที่สวมเกราะสีเงินเห็นหลวนเฟยกำลังประมาทอยู่ เขารีบพุ่งทะยานร่างเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมตวัดขาเตะเข้าที่หัวของหลวนเฟยเพื่อปลิดชีพในกระบวนท่าเดียว
แต่ทว่าฉางหยางที่คอยระวังอยู่ตลอดเวลา เขารีบใช้เคล็ดวิชาท่องนภาทันที
“พรึบ”
ร่างของเขาปรากฏข้างๆ หลวนเฟยพร้อมตวัดขาเข้าปะทะกับผู้ฝึกวรยุทธสวมเกราะสีเงิน
“ตูม”
เเรงปะทะทำให้ร่างทั้งสองกระเด็นถอยห่างออกไปคนละทิศคนละทาง ตามด้วยสายตาที่เเหลมคมจ้องมองกันไปมา
“ท่านลุง ข้าว่าท่านทำเกินไปหน่อยหรือเปล่า” ฉางหยางกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม