ตอนที่แล้วบทที่ 33: กระบี่แรก: ดาบสลักมังกรวารี (อ่านฟรีวันที่30พฤษภาคม)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 35: เทคนิคต้องห้ามร่างแปลงปีศาจ (อ่านฟรีวันที่ 5มิถุนายน)

บทที่ 34: การหยิบยืมและการเอาไป (อ่านฟรีวันที่2มิถุนายน)


บทที่ 34: การหยิบยืมและการเอาไป

สำนักวิชากู่เจวี้ยนซินเป็นสำนักวิชาที่มีประวัติย้อนกลับไปนับพัน ๆ ปีในโลกศิลปะการต่อสู้ ศิษย์ทุกคนในสำนักวิชาปลูกฝังพลังจิตวิญญาณตามทางของกษัตริย์ กล่าวได้ว่าเป็นเส้นทางที่เผด็จการอย่างมาก โดยธรรมชาติพวกเขามีชื่อเสียงที่อำมหิตและไม่อาจให้อภัยได้, แม้แต่คุณลักษณะของพลังวิญญาณของพวกเขาก็เป็นแบบพิเศษ: "พลังตะวันโลหิต" พลังจิตวิญญาณชนิดนี้มีพลังมาก มันอาจจะใช้ในการจุดบางสิ่งทำให้ลูกศิษย์ดูเหมือนเทพแห่งเปลวไฟซึ่งสามารถควบคุมเปลวไฟของพวกเขาได้ในทุกทิศทาง ประเภทของอำนาจนี้ก่อให้เกิดความกลัวอย่างแท้จริงในใจของหลายคน

พลังวิญญาณของสาวกทุกคนแตกต่างกัน วิธีการบ่มเพาะของสำนักวิชากู่เจวี้ยวซินเกี่ยวข้องกับ สำนักวิชาหลายๆแห่งได้รับความเกลียดชังจากนิกายและสำนักวิชาอื่น ๆ อีกมากมาย สาวกของสำนักวิชากู่เจวี้ยวซินมักรังแกสาวกรอบๆข้างจากนิกายใกล้เคียงเพื่อชื่อเสียง,พวกเขาได้กลายเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในภูมิภาคนี้ทั้งหมด

ด้วยเหตุนี้ทุกครั้งที่สำนักวิชากู่เจวี้ยวซินทำการลาดตระเวนเพื่อรับสมัครสาวกจำนวนสาวกที่เข้าร่วมก็จะน้อยลงมาเรื่อยๆ นอกเหนือจากความแค้นใจและความเกลียดชังจากนิกายและสำนักวิชาอื่น ๆ สำนักวิชายังอยู่ภายใต้แรงกดดันมากมาย อิทธิพลของพวกเขาก็ลดน้อยถอยลง

อย่างไรก็ตามแม้ว่าสำนักวิชากู่เจวี้ยวซินกำลังประสบความลำบากแต่ก็ยังมีนักบ่มเพาะจำนวนมากอยู่เนื่องจากสำนักวิชายังมีสมบัติล้ำค่าอย่างหนึ่งซึ่งผู้คนต่างต้องตกตะลึง

แก่นแท้หัวใจเพชร

มีข่าวลือว่าหากมีใครได้รับสิ่งนี้และใช้มันเพื่อพัฒนา,ความสามารถของคนๆนั้นจะก้าวกระโดด,ด้วยกาก้าวรกระโดดข้ามเขตแดน ความเร็วในการฝึกฝนของคนๆนั้นจะเพิ่มขึ้นเป็นพันลี้ ดังนั้นศิษย์ทุกคนที่บ่มเพาะจะใฝ่ฝันที่จะได้รับสมบัตินี้

อย่างไรก็ตามสิ่งนี้อยู่ในมือของอาจารย์ใหญ่เท่านั้น คนอื่นสามารถมองได้แต่ไม่อาจสัมผัส

วันนี้ที่ประตูด้านหน้าของสำนักกู่เจวี้ยวซินมีสองสายทางของผู้คน กลุ่มคนเหล่านี้ได้รับมอบหมายให้มาที่ด้านล่างของเทือกเขา พวกเขาไม่ได้มาจากสำนักวิชากู่เจวี้ยวซิน

ในระหว่างที่กำลังเดินอยู่ตรงกลางมีชายหนุ่มและหญิงส่วเพียงหนึ่งโหลซึ่งประกอบขึ้นเป็นกลุ่ม

สาวกเหล่านี้แต่ละคนติดตั้งอาวุทธกระบี่สวมเกราะรบและหน้าอกของสาวกทุกคนได้ประทับรูปแบบกระบี่สีทองเสริมแต่งให้กลุ่มดูองอาจสง่างามอย่างมาก

สาวกสำนักเซียนกระบี่!

สำนักวิชากู่เจวี้ยวซินไม่ได้เลวร้ายนัก แต่เมื่อเทียบกับสำนักเซียนกระบี่พวกเขาเป็นหมือนหมอผีตัวเล็ก ๆกับผู้ที่ยิ่งใหญ่ (Tl: สำนวนหมายถึงความสำคัญ)

กลุ่มเหล่านี้ประกอบด้วยอัครสาวกยอดเยี่ยมและพิเศษเท่านั้น นำหน้าเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลากับกระบี่สีขาว ข้างๆเขาเป็นสาวกหญิงที่สวมผ้าคลุมหน้าบาง ๆ

หญิงสาวมีผมยาวสีดำเข้มเหมือนหมึกดำ นางมีท่าทางละเอียดอ่อนและสง่างามแลดูเหมือนดอกไม้ที่ละเอียดอ่อน ทุกคนรู้สึกว่านางเป็นเหมือนเป็นดอกบัวที่บอบบาง

ข้างๆนางเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งมีดวงตาที่ดุร้ายและดูหล่อเหลามาก มือของเขาจับกระบี่ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าและก้าวเดินไปอย่างภาคภูมิใจ

"เอี้ยนซาน,ท่านเป็นศิษย์ที่พ่อเฒ่าใหญ่ใส่ใจมากที่สุด แต่ก็ยังเป็นหุ้นส่วนที่สำคัญของข้า ดังนั้นวันนี้ข้าจะนำท่านไปสัมผัสกับโลกภายนอกสักหน่อยเพื่อที่ท่านจะได้เปิดหูเปิดตา อีกไม่นานท่านจะเห็นอาจารย์ใหญ่ของสำนักวิชากู่เจวี้ยวซิน ท่านต้องไม่ประหม่า ท่านต้องรักษาภาพลักษณ์ความสง่างาม ข้าต้องรักษาหน้าตาของสำนักเซียนกระบี่,สำนักวิชานี้แห่งนี้ไม่มีอะไรมากเลย! "

ชายหนุ่มพูดอย่างจริงจังกับสาวกหญิงที่สวมผ้าคลุมหน้า

"เราจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของพ่อเฒ่าอย่างระมัดระวัง!" ไป๋เอี้ยนซานกล่าว เสียงของนางฟังเหมือนหยดน้ำของฤดูใบไม้ผลิทำให้ผู้คนรู้สึกไร้กังวลและผ่อนคลายอย่างแท้จริง

"ฮ่าฮ่า เอี้ยนฟ่านท่านไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก อย่ามองว่าข้าเป็นพ่อเฒ่าข้าไม่ใช่คนแก่สักหน่อย เรียกข้าว่าเสี่ยวเฉินหมิง ท่านสามารถเรียกข้าว่า เฉินหมิง! " ชายหนุ่มจากสำนักเซียนไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความเข้มงวดใด ๆ เขารู้สึกอิสระและผ่อนคลาย ดวงตาของเขาจ้องมองร่างของ เอี้ยนฟ่าน

"เอี้ยนฟ่าน ไม่กล้า" ไป๋เอี้ยนฟ่านกล่าวอย่างเบา ๆ

เฉินหมิงหัวเราะนิดหน่อย แต่ไม่ได้พูดต่อ

ชายหนุ่มเดินต่อไปข้างหน้าตรงประตูสำนักวิชากู่เจวี้ยวซิน

ที่ประตูมีผู้อาวุโสสามคนของสำนักวิชากู่เจวี้ยวซินกำลังรออยู่

"ยินดีต้อนรับผู้อาสุโสน้อยแห่งสำนักเซียนกระบี่! เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบท่าน! โปรดอภัยที่พวกเราไม่ได้มารับท่านด้วยตนเองก่อนหน้านี้ ขออภัย! ขออภัย!"

 

"ผู้อาวุโสไม่จำเป็นต้องสุภาพ!" ชายหนุ่มพูดขณะที่เขาขยับมือคาราวะ เขายิ้มแล้วพูดว่า: "วันนี้พ่อเฒ่าใหญ่แห่งสำนักเซียนกระบี่ได้ส่งข้ามาปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วง เราต้องการยืมวัตถุจากสำนักวิชากู่เจวี้ยวซินแต่เราไม่ทราบว่าท่านผู้นำสูงสุดของสำนักวิชากูเจวี้ยวซินยังอยู่ที่นี่หรือไม่ ถ้าเขาอยู่ที่นี่ข้าอยากขอพบกับผู้อาวุโสเป็นการส่วนตัว "

หลังจากที่สามพี่น้องได้ยินคำพูดเหล่านี้ใบหน้าของพวกเขาก็กลายเป็นน่าเกลียดขึ้นมา

ไม่ใช่เป็นการพูดกับคนทั่วๆไปเช่นเดียวกับการปฏิบัติกับทุกคนที่ต่ำกว่าเขาอย่างแท้จริง? เย่อหยิ่งโดยสมบูรณ์! "ผู้อาวุโสทั้งสามไม่มีคุณสมบัติที่จะพูดคุยกับข้าดังนั้นนำผู้อาวุโสสูงสุดของท่านออกมาคุยกับข้า"

เนื่องจากเหล่าสาวกสำนักเซียนกระบี่ได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพนับถือเสมอมาเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาออกมาทำภาระกิจพวกเขาเกือบจะไม่ยอมพบกับผู้อาวุโสเล็กๆ

เหล่าสาวกที่อยู่เบื้องหลังพวกผู้อาสุโสทั้งสามคนโกรธมาก อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสในระดับสูง ๆ ได้กำหนดยอมความอย่างเงียบ ๆ เพื่อระงับความโกรธที่เกิดขึ้นในสาวกของพวกเขา

"ฮ่าฮ่าผู้อาวุโสน้อยโปรดตามเข้ามาข้างใน! เชิญเข้ามาข้างในผู้อาวุโสสูงสุดรอพวกท่านอยู่ในห้องโถงใหญ่สำหรับท่าน โปรดเข้ามา! "

ผู้อาวุโสสามคนยังคงดูสุภาพและหัวเราะ

เสี่ยวเฉินหมิงยังคงสงบและหัวเราะอย่างหยาบคายขณะที่เดินเข้าไปในลาน

"อวดดีชะมัด!"

"สำนักเซียนกระบี่จะทำให้สำนักวิชากู่เจวี้ยวซินมีปัญหา?"

"ยังไงๆสำนักวิชากู่เจวี้ยวซินไม่เคยมีความเท่าเทียมกันกับสำนักเซียนกระบี่อยู่แล้ว"

พวกสาวกในสำนักวิชากู่เจวี้ยวซินกระซิบกัน

จากนั้นเสี่ยวเฉินหมิงนำสาวกของสำนักเซียนกระบี่เข้าไปในห้องโถงใหญ่ของสำนักวิชากู่เจวี้ยวซิน ตอนนี้ผู้นำสูงสุดและผู้ใต้บังคับบัญชาของเขานั่งบนบัลลังก์

"ข้าน้อยขออนุญาติแนะนำนี่คือท่านผู้นำสูงสุดแห่งสำนักวิชากู่เจวี้ยวซิน,ตี้จร้างเหมิ่น!"

 

"สำนักเซียนกระบี่ส่งผู้อาวุโสน้อยและผู้มีพรสวรรค์บางคนมาที่นี่ แต่ไม่ได้แจ้งล่วงหน้า พวกท่านรู้มั้ยว่าทำไม? "

ตี้จร้างเหมิ่นตั้งคำถามอย่างไม่แยแส

เสียงของเขาลึกล้ำและหนักแน่น ใครก็ตามที่ได้ยินจะรู้สึกกดดันหายใจติดขัดและเวียนหัว หากคนธรรมดาได้ยินเขา,พวกเขาคงจะล้มพับลงไปที่หัวเข่าของพวกเขา

"นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ข้ากำลังมองหาความร่วมมืออย่างเต็มที่ในสำนักวิชากู่เจวี้ยวซิน"

"ความร่วมมือกับอะไร?" ตี้จร้างเหมิ่นใบหน้าขมวดคิ้ว

"ใช่แล้ว! เสี่ยวเฉิงหมิงกล่าวและกล่าวต่อไปว่า "มาจากคำสั่งของท่านหัวหน้าพ่อเฒ่าของสำนักของข้า ให้ข้าน้อยมายืมศิลานิรันดร์ซึ่งข้าหวังว่าทางสำนักวิชากู่เจวี้ยวซินจะไม่ปฏิเสธ! "

หลังจากกล่าวจบทั่วทั้งห้องโถงก็เงียบสนิท ไม่มีใครได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจ

ผู้นำสูงสุดสวมเสื้อคลุมสีทองปนหยกมีเคราสีขาวยาวใบหน้าเหมือนเสือโคร่ง เขาตกตะลึงไม่นานแล้วถามว่า "เสี่ยวเฉินหมิงข้าไม่แน่ใจว่าข้าได้ยินถูกต้องเกี่ยวกับการยืมวัตถุบางอย่างหรือไม่ ... ท่านต้องการยืมศิลานิรันดริ์?"

"ไม่มีคำใดผิดในคำพูดของข้า ข้าน้อยยังหวังว่าท่านผู้นำสูงสุดจะไม่ปฏิเสธ " เสี่ยวเฉินหมิงตอบอย่างไม่แยแส

"พ่อเฒ่าใหญ่ของพวกท่านเพิ่งสั่งให้ท่านมายืมสมบัติล้ำค่า พวกเขาไม่ได้กล่าวอะไรนอกเหนือจากนี้อีกหรือ? "

ผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักวิชากู่เจวี้ยวซินนั่งอยู่ทางด้านขวาของตี้จร้างเหมิ่นกล่าว เสียงของเขาหนักแน่น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจกับคำตอบของเสี่ยวเฉินหมิง

"ไม่มี้ไม่มีอย่างอื่นนอกจากนี้!" เสี่ยวเฉินหมิงตะโกนด้วยเสียงสูงโน้ตคู่แปดจากนั้นเขาก็พูดต่อ "ผู้อาวุโสใหญ่แค่พูดประโยคเดียวเท่านั้น สำหรับเรื่องอื่น ๆ ไม่มี้ไม้มีอะไรเลย! "

"จะว่าไปพวกท่านจะใช้สมบัติล้ำค่าเพื่ออะไร?" ความโกรธเริ่มลุกโชนในดวงตาของผู้อาวุโส

"พวกท่านลังเลหรือ?" เสี่ยวเฉินหมิงชักเสียงของเขาอย่างเย็นชา

"เจ้า…"

ผู้อาวุโสยืนขึ้นและกำลังเตรียมจะโจมตี

"เจริ้นซ่าน!"

ทันใดนั้นตี้จร้างเหมิ่นชักเสียงของเขาเพื่อหยุดการกระทำของผู้อาวุโส

ผู้อาวุโสใหญ่ตะลึงในขณะที่เขามองด้วยความประหลาดใจที่ท่านผู้นำตี้จร้างเหมิ่นสั่นศีรษะ

“ฮึ่ม!” ผู้อาวุโสสงบความโกรธของเขาและเดินกลับไปที่นั่งของเขาและนั่งลง

ขณะที่เสี่ยวเฉินหมิงเห็นสิ่งนี้รอยยิ้มของเขาก็ปรวยขึ้น ในสายตาของเขา,เขาได้รับสิ่งที่เขาควรจะเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ของความพอใจ

ตี้จร้างเหมิ่นจ้องที่เสี่ยวเฉินหมิงคิดชั่วครู่หนึ่งและกล่าวว่า "สำนักกู่เจวี้ยวซินของเรามีศิลานิรันดริ์อยู่ก้อนเดียว ด้วยเหตุนี้จึงไม่ง่ายที่จะให้คนอื่นยืมออกไป ความจริงแล้วที่สำนักวิชากู่เจวี้ยวซินไม่อาจเทียบได้กับสำนักเซียนกระบี่ แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะสามารถมองข้ามข้าเพียงแค่ขอยืมสมบัติไม่ได้ ท่านสามารถหยิบยืมสมบัติได้? "ใช่!" อย่างไรก็ตามมันก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของกลุ่มท่าน "

"อะไรน่ะ?" ตี้จร้างเหมิ่น, ท่านต้องการที่จะท้าประลองข้า? " เสี่ยวเฉินหมิงเพียงส่ายหัว "ถึงแม้ว่าข้าเสี่ยวเฉินจะหยิ่ง แต่ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่ง,ข้าไม่สามารถที่จะเป็นคู่ต่อสู้กับผู้นำสูงสุดตี้จร้างเหมิ่น ถ้าหากท่านตี้จร้างเหมิ่นต้องการจะสู้กับข้าเสี่ยวเฉินไม่จำเป็นต้องสู้ข้าจะยอมจำนนตอนนี้เพราะข้าไม่มีโอกาสชนะ!

"ท่านไม่จำเป็นต้องเอาชนะข้าเลย ถ้าหากท่านสามารถเอาชนะผู้อาวุโสเจริ้นซ่านแล้วท่านจะได้รับอนุญาตให้ยืมศิลานิรันดริ์! " ตี้จร้างเหมิ่นกล่าว

ที่เขากล่าวเพราะเขาไม่ต้องการทำร้ายสำนักเซียนกระบี่ นี่เป็นวิธีการรักษาหน้าตาของทั้งสองฝ่าย ด้วยการประลองนี้ขึ้นอยู่กับผู้อาวุโสหนุ่มจะยอมรับหรือปฏิเสธการท้าดวน อีกฝ่ายไม่มีทางเลือกและเป็นประโยชน์สำหรับสำนักวิชากู่เจวี้ยวซิน

แม้ว่า,ดูผิวเผินสำนักเซียนกระบี่ได้มาหยิบยืมก็ไม่แตกต่างจากการหยิบเอาไป สำหรับการมอบให้ชื่อเสียงเขายังคงได้ทำการผูกมัดบางอย่าง

จากนั้นใบหน้าของเสี่ยวเฉินหมิงก็สว่างวาบเกิดร่อยรอยของการดูถูกขณะที่เขากำลังยิ้มอยู่

เขาเหลือบไปมองผู้อาวุโสและยิ้มเยาะ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ "ผู้อาวุโสใหญ่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าน้อย,ข้ากำลังคิด ... เกี่ยวกับการไม่ได้ต่อสู้ตัวต่อตัวระหว่างเราว่าอย่างไรดี!"

"บัดซบ!" เจ้า ... "หลังจากที่เจริ้นซ่านได้ยินเช่นนี้ความโกรธของเขาเกือบจะระเบิดขึ้น

เสี่ยวเฉินหมิงไม่ให้ความสำคัญกับคำพูดของผู้อาวุโส เขากล่าวว่า "วันนี้ข้าน้อยมาพร้อมกับอีกผู้หนึ่ง ข้าน้อยมีลูกศิษย์ของพ่อเฒ่าใหญ่ของสำนักเซียนกระบี่ เอี้ยนฟ่าน เอี้ยฟ่านมีพรสวรรค์และได้รับการยกย่องจากพ่อเฒ่าใหญ่ อย่างไรก็ตามนางมีผลงานไม่มากนักดังนั้นท่านจึงมีอิสระที่จะหาสาวกคนอื่นมาสู้กับนาง หากนางชนะเราจะขอยืมศิลานิรันดร์ หากนางแพ้เราก็จะจากไปทันทีและจะไม่ร้องขอสำนักวิชากู่เจวี้ยวซินอีก? "

หลังจากที่เขาพูดสาวกหญิงที่มีผ้าคลุมหน้าก็ก้าวออกมา นางสั่นเล็กน้อยขณะถือกระบี่ เบื้องหลังนางเสี่ยวเฉินหมิงได้เสนอนางด้วยมือของเขา จากนั้นเขาก็จ้องที่ตี้จร้างเหมิ่นเพื่อรอคำตอบ

คิ้วของตี้จร้างเหมิ่นขมวด แต่เขาไม่ได้พูดอะไร

ผู้อาวุโสใหญ่รีบส่งเสียงหึขึ้น "เจ้ากล้าที่จะส่งคนๆนี้เป็นผู้ประลองหรือ?"

"หากได้ประลองท่านก็จะเข้าใจ ไม่ว่าลูกศิษย์ของท่านจะเป็นชนชั้นยอดหรือมีพรสวรรค์ก็ตามทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงหากพวกเขาได้ประลองกัน! "

เสี่ยวเฉินหมิงพูดแบบสบายๆ

0 0 โหวต
Article Rating
5 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด