ตอนที่ 61 กระบองวายุ
เวลาผ่านไปไม่นานบ่าวรับใช้ก็เดินกลับมาพร้อมห่อผ้าที่อยู่ในมือ แล้ววางมันลงที่โต๊ะ
“นี่ขอรับ เม็ดยาทั้งหมดอยู่ในห่อผ้านี้แล้ว ส่วนสมบัติที่คุณชายได้ขายให้กับทางเราทั้งหมดมีราคาอยู่ที่หกแสนสามหมื่นห้าพันหินจิตมาร แต่เหลืออยู่เพียงห้าพันหินจิตมารเท่านั้น เนื่องจากทางเราได้หักหินจิตมารออกตามราคาของเม็ดยาทั้งหมดที่คุณชายได้สั่งมา”
ชายชราก็พยักหน้าอย่างพอใจแล้วโบกมือให้บ่าวรับใช้ออกไป จากนั้นก็หันมาถามด้วยความสงสัย
“หยางน้อยเจ้าซื้อเม็ดยาไปทำอะไรตั้งมากมาย”
“ข้าเพียงแต่ซื้อไว้ใช้กับตัวเองเท่านั้น” ฉางหยางกล่าวด้วยความจริง
เห็นท่าทางฉางหยางอยากออกจากโรงประมูลแห่งนี้ ชายชรารีบกล่าวออกไปอย่างรวดเร็ว
“เอาล่ะ เช่นนั้นชายแก่ผู้นี้คงจะไม่รบกวนหยางน้อยต่อไปแล้ว”
“ข้าน้อยต้องขอตัว” ฉางหยางผสานมือคารวะ แล้วเดินออกจากห้องรับรองด้วยความเร่งรีบ
ชายชราจ้องมองไปที่ฉางหยางด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เดินออกจากห้องรับรอง ลงไปที่ชั้นหนึ่งของโรงประมูล ที่ข้างล่างมีชายวัยกลางคนกำลังยืนอยู่ เขาไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือหลางชิงเหอ
หลังจากที่เขาเข้าไปถ้ำมารเยือกแข็งแต่ก็ไม่ได้สมบัติกลับมา ทำให้เขาและคนในตระกูลพำนักอยู่ที่โรงประมูลแห่งนี้ได้หลายวันแล้ว แต่ระหว่างที่เขากำลังจะกลับไปที่ตระกูล มีคนในตระกูลมารายงานต่อเขาว่าพบเห็นฉางหยางเดินเที่ยวเตร่อยู่ภายในเมือง นี้ทำให้เขารู้งุนงงอย่างมากว่าทำไมไอ้หนูนี้มันมาอยู่เมืองนี้ได้
แต่ระหว่างที่เขากำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ภายในโรงประมูลเขาก็เห็นไอ้หนูผู้นี้อีกครั้ง แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือ รูปร่างที่เปลี่ยนไปแทบจะจำไม่ได้ แถมยังมีดวงตาเป็นสีทองอีก เขาได้แต่แอบจ้องมองอยู่ในระยะไกล
หลางชิงเหอเห็นชายชราเดินลงมาจากชั้นสองก็รีบกล่าวถามออกไปอย่างรวดเร็ว “ท่านพ่อไอ้หนูเมื่อครู่มันมาทำอะไรที่โรงประมูลแห่งนี้”
ชายชรามองไปที่บุตรชายของตนก็รู้แปลกใจในคำถาม เพราะปกติแล้วไม่เคยเห็นบุตรชายของตนสนใจผู้เยาว์มาก่อน
“เจ้าจะอยากรู้ไปทำไม”
“ท่านพ่อ ท่านต้องฟังข้านะ ไอ้หนูที่ท่านเจอเมื่อกี้ มันคือคนที่หลู่เออร์ชอบ ข้าก็เคยกล่าวกับท่านแล้วไง” หลางชิงเหอรีบอธิบายออกไป เขาอยากรู้อย่างมากทำไมไอ้หนูที่ดูยากจนผู้นี้ ทำไมถึงมาที่โรงประมูลของเขา
“ฮ่าๆ เป็นเช่นนั้นรึ ดีๆ ดียิ่งนัก ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอเร็วขนาดนี้ ไม่มีอะไรแค่มาสมบัติเล็กน้อยเท่านั้น” ชายชราบอกปัดออกไป จากนั้นก็เดินออกจากโรงประมูลตระกูลหลางทันที
หลางชิงเหอที่กำลังยืนอยู่เหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง จากนั้นเขาก็เดินไปหาบ่าวรับใช้เพื่อถามว่าไอ้หนูนั้นเอาอะไรมาขายกันแน่
หลังจากที่เขาถามบ่าวรับใช้แล้วก็พบว่ามีแหวนมิติสองวงและวัตถุดิบปรุงยาระดับสูงเป็นจำนวนมาก นี้ทำให้เขาเริ่มสงสัยมากขึ้น
“เฮ้อ! ช่างมันเถอะ” หลังจากถอนหายใจออกมาหลางชิงเหอก็เตรียมตัวกลับตระกูลพร้อมกับผู้ฝึกวรยุทธจำนวนหนึ่ง
ฉางหยางที่ได้เดินออกมาจากโรงประมูลเรียบร้อยแล้ว เขาก็ส่งสัมผัสเข้าไปที่ประตูสวรรค์บานที่หนึ่งก็พบว่าเฉินตี้ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว นี้ทำให้เขาเร่งรีบออกจากเมืองทันที เพื่อเดินทางไปฝึกวรยุทธ แต่เขาหารู้เลยไม่ว่ามีคนกำลังตามดูเขาอยู่
ผ่านไปสักพักเขาก็เดินออกมาถึงป่าที่อยู่ห่างจากเมืองประมาณแปดกิโลเมตร จากนั้นเขาก็อัดพลังลมปราณเข้าไปที่สัญลักษณ์รูปมังกรทอง จากนั้นก็ปรากฏร่างของเฉินตี้กำลังบินอยู่ เขาเอาเม็ดยาปราณธาราออกมาสองเม็ด เม็ดหนึ่งเขากินเข้าไป อีกเม็ดเขายื่นให้เฉินตี้
“เอานี่ไปกินซะ มันจะช่วยให้เจ้าไม่หิวอีกสิบห้าวัน แล้วก็รีบกลับร่างเดิมของเจ้าพวกเราจะเดินทางกันต่อแล้ว”
หลังจากนั้นเฉินตี้ก็กลับร่างเดิม ฉางหยางที่ยืนอยู่ก็กระโดดขึ้นไปนั่งบนหัวแล้วออกคำสั่งไป “ไปได้”
ทั้งสองบินหายเข้ากลีบเมฆภายในพริบตา ที่ป่าข้างล่างมีชายชรายืนอยู่เขาคือชายชราที่อยู่ในโรงประมูลก่อนหน้านี้
“ฮ่าๆ ไม่เลวๆ ข้าไม่นึกเลยว่าจะเป็นเด็กหนุ่มอัจฉริยะผู้โด่งดังไปทั่วอาณาจักรชินตอนนี้” ชายชราพยักอย่างพอใจและพุ่งออกจากป่ามุ่งหน้ากลับเมืองด้วยความเร็ว
ฉางหยางและเฉินตี้ตอนนี้ได้บินมาไกลพอสมควร ทั้งสองก็ได้มาถึงหุบเขาธรรมดาแห่งหนึ่ง ฉางหยางมองไปรอบๆหุบเขาสักพักก็พบว่าไม่มีผู้คนมาอาศัยอยู่แถวนี้ จากนั้นเขาก็บอกให้เฉินตี้บินไปที่นั้น
หลังจากที่ทั้งสองบินลงมาที่หุบเขา ฉางหยางก็หาสถานที่เหมาะๆ สำหรับฝึกเคล็ดวิชาวายุเทพสังหาร เขาเดินหาอยู่นานก็พบเข้ากับถ้ำที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก รอบๆถ้ำมีพุ่มไม้ปกคลุมไปทั่ว ทำให้ยากต่อการมองเห็น เขาเดินเข้าไปภายถ้ำก่อนจะพยักหน้าและกล่าวออกมาอย่างพึงพอใจ
“เอาที่นี่ละกัน”
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ฉางหยางก็เดินไปที่ต้นไม้ขนาดสามเมตร แล้วโคจรพลังลมปราณไปที่แขนของเขาจนเกิดเป็นออร่าสีทองขึ้นมา แขนที่มีพลังลมปราณอัดแน่นอยู่ก็ตวัดไปที่ต้นไม้ใหญ่อย่างรวดเร็ว
ต้นไม้ขนาดสามเมตรกลายเป็นท่อนไม้ภายในพริบตา ฉางหยางพยักเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปที่ท่อนไม้แล้วอัดพลังลมปราณเข้าไปเพื่อทำให้มันแข็งแกรงขึ้น จากนั้นเขาก็บอกให้เฉินตี้กลับร่างเดิมแล้วเอาท่อนไม้ทั้งหมดไปว่างไว้ในสถานที่กว้างๆ เพื่อเขาจะได้ฝึกเคล็ดวิชาต่อไป
อย่างไรก็ตามการจะฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ให้สำเร็จได้เขาต้องสิ้นเปลืองพลังลมปราณมหาศาลอย่างแน่นอน แถมเคล็ดวิชานี้ก็ค่อนข้างแปลกประหลาดยิ่งนัก เพราะมันต้องดึงศักยภาพของร่างกายที่ข้ามขีดจำกัดไปแล้วมาใช้อย่างเต็มที่
แต่ว่าเคล็ดวิชานี้ก็ยังยากต่อการฝึกฝนอยู่เหมือนกัน เขาไม่รู้จะใช้เวลาเท่าไรในการฝึกเคล็ดวิชานี้ หากเขาสามารถฝึกมันสำเร็จ มันจะเป็นเคล็ดวิชาที่น่ากลัวไม่แพ้ เคล็ดวิชาแฝงหมื่นทลายของเขาเลย
“เอาละมาเริ่มกันเลย”
เมื่อกล่าวจบแล้วเขาก็ส่งสัมผัสเข้าไปที่แหวนเหล็กทมิฬ
“วูบบ”
ปรากฏแท่งเหล็กสีดำออกมา ฉางหยางคว้าจับมันกลางอากาศ เขามองไปที่มันสักพักก่อนจะกล่าวออกไปด้วยรอยยิ้ม
“ข้าก็ไม่รู้หรอกว่านี้มันคืออะไร แต่ข้าก็จะเรียกเจ้าว่า กระบองวายุก็แล้วกัน”
ว่าแล้วฉางหยางก็ตั้งท่าเตรียมพร้อมใช้เคล็ดวิชาออกไป ขาทั้งสองข้างกางออก ดวงตาเริ่มปิดสนิทนึกถึงคำอธิบายของเคล็ดวิชา แขนข้างขวายกงอขึ้นจับไปที่ปลายกระบองวายุที่กำลังพาดอยู่ที่คอ แขนซ้ายเหยียดตรงจับไปที่ปลายกระบอกวายุอีกด้าน ลำตัวเริ่มบิดเล็กน้อย เพื่อให้เข้าสู่สมดุล
พลังลมปราณภายในร่างเริ่มโคจรแบบกวนและหนักหน่วง จุดชีพจรทั่วร่างเปิดโล่งออกมา ร่างกายทลายขีดจำกัดภายในพริบตา ออร่าสีทองเริ่มปรากฏออกมา สายลมเริ่มพัดโหมกระหน่ำ จากนั้นพลังลมปราณเริ่มสะสมไปที่จุดชีพจรที่เท้า แล้วระเบิดออกมา
ร่างของฉางหยางหายไปทันที ระหว่างนั้นพลังลมปราณเริ่มไหลไปที่อาวุธและสะสมที่จุดชีพบริเวณแขนขวา แล้วระเบิดออกมากระแทกเข้ากับอากาศส่งแรงผลักให้แขนขวาพุ่งข้างหน้าอย่างรวดเร็ว กระบองวายุถูกแทงออกไปปานสายฟ้าฟาดปะทะเข้ากับท่อนไม้ที่วางอยู่
“ตูม”
ท่อนไม้กระเด็กออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นพลังลมปราณในร่างของฉางหยางเริ่มโคจรไปสะสมที่เท้าอีกครั้ง แล้วระเบิดออกมา ร่างของเขาพุ่งตามท่อนไม้ไปทันที แล้วพลังลมปราณก็โคจรไปสะสมอยู่ที่แขนเช่นเดิม แล้วระเบิดออกมากระแทกเข้ากับอากาศ กระบอกวายุพุ่งงัดท่อนไม้
“ตูม”
ท่อนไม้ลอยขึ้นท้องฟ้าทันที พร้อมกับเริ่มโคจรพลังลมปราณเหมือนก่อนหน้านี้ ร่างของเขาหายตัวพุ่งตามไปตีท่อนไม้ที่ลอยอยู่กลางอากาศ
“ตูม ตูม ตูม วืดดดด”
“ตุบ”
ใช้แล้วเขาได้พลาดในกระบวนท่าที่หก เพราะเขาระเบิดพลังลมปราณที่แขนของตนเร็วเกินไป ทำให้ตีท่อนไม้พลาดแล้วล่วงลงมาบนพื้นพร้อมกับร่างของเขา แม้ว่าเขาจะพลาดในกระบวนท่าที่หกแต่เขาก็พอจับเคล็ดมันได้แล้ว แต่กลายเป็นว่าพลังลมปราณของเขาหายไปเกือบสองส่วนทั้งที่ใช้เคล็ดวิชาไม่สำเร็จ
“ทำไมมันถึงเป็นเคล็ดวิชาที่ยุ่งยากแบบนี้นะ ข้ารู้สึกปวดไปทั่วร่างกายเลยตอนนี้”
อย่างไรก็ตามเฉินตี้ที่กำลังมองดูเจ้านายของตนตอนใช้เคล็ดวิชาออกไป ก็เห็นเพียงท่อนไม้กระเด็นไปมาเท่านั้นเอง
ฉางหยางหยิบเม็ดยาฟื้นฟูพลังลมปราณมากิน แล้วเริ่มฝึกฝนต่อไป
“ตูม ตูม ตูม ตูม วืดดด”
“ตูม ตูม ตูม วืดดด”
เวลาได้ล่วงเลยไปแล้วสองเดือน เขาได้ฝึนฝนเคล็ดวิชาวายุเทพสังหารอยู่ทุกวัน จนตอนนี้เขาก็ใกล้จะสำเร็จแล้ว
ตอนนี้ที่หุบเขาต้นไม้ถูกตัดไปหลายต้น แล้วท่อนไม้ก็มีรูปร่างบิดเบี้ยวผิดรูปทั้งที่ได้รับพลังลมปราณเสริมความแข็งแกร่งขึ้น
ฉางหยางตอนนี้เขาเริ่มโคจรผสาน พลังลมปราณเริ่มสะสมที่จุดชีพจรบริเวณเท้า แล้วระเบิดออกมา ร่างของเขาหายไปทันที ระหว่างพลังลมปราณเริ่มไหลรวมที่กระบองวายุและสะสมที่จุดชีพจรบริเวณแขน ระเบิดออกมากระแทกเข้ากับอากาศ ทำให้แทงกระบองออกไปปะทะเข้ากับท่อนไม้
“ตูม”
ท่อนไม้กระเด็นออกไป ตามด้วยร่างของฉางหยางพุ่งตามไปงัดท่อนไม้ขึ้น
“ตูม”
ท่อนไม้ลอยขึ้นท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ร่างของฉางหยางก็หายไปทันที แล้วออกกระบวนท่าโจมตีท่อนไม้
“ตูม ตูม ตูม ตูม”
พริบตานั้นเองพลังลมปราณเริ่มไหลไปรวมที่กระบองวายุอย่างมหาศาล จนกระบองสั่นสะท้านและเปล่งแสงสีทองออกมา พลังลมปราณที่จุดชีพจรบริเวณแขนระเบิดออกมากระแทกเขากับอากาศ กระบองวายุตวัดแทงออกไปอย่างรวดเร็ว พลังลมปราณจำนวนมหาศาลควบแน่นกลายเป็นกระบองวายุสีทองขนาดยักษ์ แทงใส่ท่อนไม้ แตกสลายหายไปทันที กระบองทองยักษ์พุ่งลงมาจากฟากฟ้ากระแทกใส่พื้นดินเกิดเสียงดังลั่น
“ตูม”