ตอนที่แล้วตอนที่ 48 สำรวจหุบเขา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 50 เด็กหญิง

ตอนที่ 49 วิวัฒนาการ


ณ หุบเขาพิษพันธการ

ฉางหยางตอนนี้กำลังยืนอยู่ข้างนอกหมอกพิษแล้ว ในมือของเขาเป็นขวดแก้วใสแล้วมีน้ำสีเขียวอยู่ภายใน เขายกมันขึ้นมาและจ้องมองอยากไม่วางตา พลิกซ้ายขวาไปมา แต่ก็ไม่เห็นว่ามันจะพิเศษตรงไหนเลย อย่างไรก็ตามแค่น้ำสีเขียวมรกตเล็กน้อยเช่นนี้ ทำไมถึงกับปลดปล่อยหมอกพิษที่สามารถฆ่าทุกสรรพสิ่งได้

“ดูท่าแล้วคงต้องตรวจสอบมันภายหลัง” เขาครุ่นคิดสักพักก่อนจะเก็บขวดแก้วไว้ในออกเสื้อของตน แต่ที่เขาแน่ใจก็คือน้ำสีเขียวอันนี้หากมีใครล่วงรู้ว่าเขาเอามันออกมาจากหุบเขาแห่งนี้ เขาอาจจะโดนตามล่าจากผู้ฝึกวรยุทธก็เป็นได้ ตอนนี้เขามีแต่ปริศนาที่ยังแก้ไม่ตก ไหนจะเปลวเพลิงสีทอง ไหนจะขวดแก้วอันนี้อีก เขาได้แต่ปล่อยเวลาให้ผ่านไป เผื่อจะโชคดีค้นพบความลับของมัน

“ข้าก็เคล็ดวิชาท่องนภาขั้นที่หนึ่งสำเร็จแล้ว ต่อไปก็คงเป็นเรื่องระดับการบ่มเพาะและผลึกนภา เฮ้อ! ข้าจะทำอย่างไรดี สงสัยข้าคงต้องเข้าไปที่เมืองก่อนแล้วกัน” ฉางหยางกล่าวออกมาด้วยความท้อใจ เป้าหมายของเขายังห่างไกลยิ่งนัก เขานั้นได้ร่ำรวยอยู่เดือนเดียวก็กลับมายากจนอีกแล้ว แถมตอนนี้ยังมีหนี้ก้อนใหญ่ที่ต้องชดใช้อีก สุดท้ายเขาคงต้องออกเดินทางเพื่อตามล่าหาสมบัติ

หากเขาอยู่แต่ภายในสำนัก ค่อยแต่ทำภารกิจซึ่งจากที่ดูแล้วมันช่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย กว่าจะได้แต้มสะสมเพื่อแลกทรัพยากรการบ่มเพาะคงใช้เวลานาน อีกอย่างเคล็ดวิชาที่สำนักมีก็แต่อิสตรีเท่านั้นที่ฝึกฝนได้ เขาซึ่งเป็นบุรุษของต้องไปตามทางของตนเองแล้ว

หลังจากที่ตัดสินใจได้แล้ว เขาก็อัดพลังลมปราณที่สัญลักษณ์ เพื่อเรียกเฉินตี้ออกมา อย่างไรก็ตามเฉินตี้ที่กำลังบินอยู่กลางอากาศมองไปที่เจ้านายของตน ฉางหยางเห็นเฉินตี้มองมาที่ตนอยู่นานก็ถามออกไป

“มองอะไรของเจ้า วันนี้พวกเราจะเข้าเมืองกัน เจ้ารีบกลับร่างเดิมได้แล้ว เวลาทุกนาทีมีค่ามากนัก”

แต่ระหว่างที่เขากำลังบอกกล่าวออกไปอยู่นั้น  เฉินตี้ก็พุ่งมาที่เขาอย่างรวดเร็วกระแทกจนเขาล้มลงกับพื้น ขวดแก้วใสที่อยู่อกของเขากลิ้งออกมา ฝาที่ปิดอยู่ก็เปิดออกมา น้ำสีเขียวมรกตเริ่มหยดลงตามพื้น

ฉางหยางตอนนี้เขามองไปที่เฉินตี้ โดยไม่รู้เลยว่าขวดแก้วใสได้ถูกเปิดออกมาแล้ว “เฉินตี้ ข้าบอกให้เจ้ากลับร่างเดิม ไม่ใช่บอกให้พุ่งมากระแทกข้าอย่างนี้ เอาละรีบกลับร่างเดิมของเจ้าได้แล้ว ข้าจะไปหาข่าวที่เมืองใกล้ๆ ซะหน่อยเผื่อว่าจะเจอข่าวที่น่าสนใจ”

แต่ตอนนี้เฉินตี้นั้นไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย มันมองไปที่พื้นดินข้างๆเขาโดยไม่วางตา ฉางหยางเห็นเฉินตี้จ้องมองไปที่พื้นดินข้างตนอยู่นานก็แปลกและพึมพำออกมาพร้อมคิ้วที่ขมวดกันแน่น “ทำไมมันถึงจ้องตาเป็นมันเช่นนั้น” แต่พอเขาหันไปมองข้างๆ สิ่งที่เขาเห็นทำให้ถึงกลับหลั่งเหงื่อที่เย็นเยียบออกมา

ฉางหยางตั้งสติได้รีบกระโดดถอยห่างออกมาทันที เพราะฝาขวดที่ปิดอยู่ได้ถูกเปิดออกมาแล้ว พร้อมกับน้ำสีเขียวมรกตที่อยู่ในขวดเริ่มไหลออกมาหยดลงตามพื้นดิน

“อะไรกันมันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร” ฉางหยางได้แต่กล่าวออกมาอย่างตื่นตระหนก แต่ระหว่างที่เขากำลังตกตะลึงกับเหตุการณ์อยู่นั้น เฉินตี้ก็ไม่รอช้าพุ่งเข้าไปที่ขวดแก้วใสด้วยความเร็วสูง แล้วใช้ปากงับไปขวดแก้ว จากนั้นก็ยกหัวขึ้นสูงเพื่อให้น้ำสีเขียวมรกตไหลลงคอไป

ฉางหยางกำลังพุ่งเข้าไปห้ามแต่ไม่ทันเสียแล้ว เพราะสถานการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามเขานั้นไม่รู้เลยทำไมเฉินตี้ถึงทำเช่นนี้ ทั้งทีน้ำสีเขียวมรกตอันนี้มันปลดปล่อยหมอกพิษสังหารออกมา แล้วน้ำสีเขียวที่อยู่ในขวดมันก็น่าจะเป็นอันตรายต่อทุกสรรพสิ่ง

แต่เรื่องนี้กลับผิดคาด เฉินตี้กินน้ำสีเขียวเข้าไปอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว เขาได้แต่ทำใจไว้ว่าเฉินตี้คงไม่ตายจากเขาไป เพราะหากเช่นนั้นการเดินทางไปสถานที่ห่างไกลคงลำบากเป็นแน่ และหลางหลู่เออร์อีก

“เฮ้อ! ข้าจะทำเช่นไรดี ตอนนี้ก็แก้อะไรไม่ได้แล้ว หวังว่าเฉินตี้จะไม่เป็นอะไร” เขาได้กล่าวออกมาอย่างหดหู่

เฉินตี้ตอนนี้ ได้กินน้ำสีเขียวมรกตแล้ว ขวดที่อยู่ในปากก็คายทิ้งออกมา ร่างลอยอยู่กลางอากาศเริ่มส่องแสงประกายสีทองออกมา ดวงตาจากที่เคยเป็นสีทองเปลี่ยนเป็นสีเขียว บนหัวเริ่มปรากฏผลึกสีเขียวมรกตคล้ายรูปข้าวหลามตัด ตามลำตัวและปีกจากที่เคยเป็นแก้วผลึกสีทองทั้งตัวแต่บัดนี้กลับมีลวดลายสีเหลืองเข้มออกมา

เกล็ดแก้วผลึกเริ่ม บริสุทธิ์และแข็งขึ้นเรื่อยๆ จนเกล็ดแก้วผลึกสีทองอันเดิมนั้นแทบจะเทียบชั้นกันไม่ได้เลยที่เดียว

อย่างไรก็ตามตอนนี้ยังมีคนผู้หนึ่งกำลังยืนมองดูด้วยความตกใจ เพราะเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าน้ำสีเขียวมรกตที่มีพลังอำนาจปลดปล่อยหมอกพิษออกมากลับไม่สังหารเฉินตี้ แถมจากที่เขาดูแล้วนี้มันเหมือนกับเพิ่มพลังให้กับเฉินตี้มากกว่า มันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร

“มันเกิดอะไรขึ้น น้ำสีเขียวมรกตนั้นมันคืออะไร ทำไมมันถึงเพิ่มพลังให้เฉินตี้ แถมจากที่ดูแล้วเกล็ดแก้วผลึกก็ดูจะแข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย” ฉางหยางกล่าวออกมาอย่างงุนงง

ผ่านไปสักกระบวนการทั้งหมดก็เสร็จสิ้นแล้ว เฉินตี้ที่บินอยู่ตอนนี้มันรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ พลังต้นกำเนิดจากเคยเป็นเกล็ดศิลา แล้วก็วิวัฒนาการเป็นแก้วผลึกแต่ตอนนี้กลับข้ามไปอีกขั้น นี้ทำให้พลังป้องกันของเฉินตี้นั้นสูงกว่าพลังโจมตีเสียแล้ว ผู้ฝึกวรยุทธระดับสูงก็ยากที่จะสร้างบาดแผลให้กับเฉินตี้ได้

ฉางหยางตอนนี้หลังจากยื่นนิ่งค้างอยู่นาน เขาก็เดินตรงมาที่เฉินตี้แล้วใช้มือจับตามลำตัวก็พบว่าเกล็ดผลึกอันนี้มันน่าจะแข็งกว่าอันเดิมจนเทียบชั้นกันไม่ได้ แต่เขาก็รู้สึกภูมิใจยิ่งนักที่สัตว์อสูรพันธสัญญาของตนแข็งแกร่งขึ้น นี้จะทำให้เขามีโอกาศรอดพ้นจากความตายได้ หากต้องเจอปัญหาที่ไม่สามารถแก้ได้

“ดูเจ้าแล้ว น่าจะแข็งแกร่งขึ้น ดีแล้วที่น้ำสีเขียวมรกตนั้นมันมีประโยชน์ต่อเจ้า ข้าก็ไม่รู้ว่าวันคืออะไร แต่มันมาพร้อมกับอสูรขนาดมหึมา มันก็น่าจะเกี่ยวกับอสูร แหะๆ” ฉางหยางได้แต่หัวเราะอย่างขมขื่น

“เอาละพวกเราจะออกจากหุบเขานี้เสียที”

ได้ยินคำสั่งจากเจ้านายของตนเฉินตี้ก็รีบกลับร่างเดิมทันที ตอนนี้ร่างกายดูน่าแกรงขามอย่างมาก เหมือนกับราชันย์เหล่าอสูรก็มิปาน หากผู้ฝึกวรยุทธเห็นเข้าละก็พวกเขาก็ได้แต่หนาวสั่นไปด้วยความกลัว เพราะแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างเฉินตี้นั้นเทียบเท่าปราณชั้นปราณผันผวนเลยทีเดียว

หลังที่ทั้งสองออกมาจากหุบเขาพาพันธการ ก็บินมาประมาณสามชั่วโมง ฉางหยางก็มองเห็นเมืองขนาดใหญ่ที่ข้างล่าง เขาได้บอกให้เฉินตี้บินไปหาที่หลบก่อน เพื่อจะเก็บเฉินตี้แล้วจากนั้นเขาก็จะเดินไปที่เมืองต่อเอง

“เอาเป็นตรงนั้นแล้วกัน” ฉางหยางมองที่ป่าขนาดเล็กแล้วชี้บอกให้เฉินตี้บินไปที่ป่านั้น

พอมาถึงป่าฉางหยางก็กระโดดลงพื้นแล้วเก็บเรียกเฉินตี้กลับไป เขามองไปที่เมืองซึ่งห่างประมาณห้ากิโลเมตรแล้วกล่าวออกมา “หวังว่าเมืองนี้คงจะมีเส้นทางในการหาหินจิตมารได้”

อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาต้องการหินจิตรมารเป็นอย่างมากเพื่อที่จะซื้อเม็ดยาปราณโลหิต หากเขาได้มาสักเม็ดสองเม็ดละก็นี้จะเป็นเรื่องที่โชคดีสำหรับเขาแล้ว เขาได้แต่หวังว่าราคาที่ต้องจ่ายนั้นจะไม่เพียงจนเกินไป

สักพักเขาก็เดินมาถึงประตูเมืองแล้ว เขาหันไปมองทหารรักษาการเล็กน้อย ก่อนจะเดินจากไปอยากไม่สนใจ

ภายในเมืองนี้มีผู้คนมากกว่าเมืองที่เขาผ่านมาอีก แถวตามข้างถนนก็มีกลุ่มชุมนุมพเนจร มาวางขายวัตถุดิบปรุงยา ศิลาทักษะ หรือแม้แต่หินและผลึกสีประหลาดมากมาย เขาค่อนข้างตื่นเต้นไม่น้อย เพราะดูจากที่ผู้ฝึกวรยุทธมาสมบัติกันแปลว่าแถวนี้ต้องมีสถานที่ซ่อนสมบัติอยู่แน่นอน

ฉางหยางได้แต่เดินตามถนนไปเรื่อยๆเพื่อฟังเหล่าผู้ฝึกวรยุทธพูดคุยกัน แต่ระหว่างนั้นเขาก็ได้ยินเรื่องที่น่าสนใจเข้าเสียแล้ว เขาค่อยๆเดินเข้าไปใกล้กับกุล่มผู้ฝึกวรยุทธที่กำลังคุยกันอยู่สามคน หนึ่งคนสะพายดาบยักษ์ หนึ่งคนใส่ชุดจอมยุทธสีดำ และอีกคนสวมหน้ากากอยู่

“นี้พวกเจ้าได้ยินข่าวเรื่องสัตว์อสูรคลั่ง เผาทำลายป่านิรันดร์รึไม่” ผู้ฝึกวรยุทธสะพายดาบยักษ์กล่าวออกมา

“เรื่องนั้นข้าก็ได้ยื่นมาเหมือน เห็นว่าหาสัตว์อสูรไม่เจอ เลยทำให้ตอนนี้ผู้ฝึกวรยุทธชั้นปราณนิมิตรและบรรจบไม่กล้าเข้าไปหาหญ้าแห่งชีวิต เพราะกลัวว่าสัตว์อสูรตัวนั้นจะมาอีก จึงทำให้ตอนนี้หญ้าแห่งชีวิตนั้นราคาพุ่งสูงขึ้น” ผู้ฝึกวรยุทธคนสวมหน้ากากกล่าวขึ้นมา

“เรื่องนั้นพวกเจ้าลืมไปได้เลย ยังไงพวกเราก็ไม่สามารถเข้าไปในป่านิรันดร์ได้แล้ว ตอนนี้ข้ามีข่าวใหม่ที่จะบอกพวกเจ้า หากพวกเจ้าทั้งสองร่วมมือกับข้าละมันต้องสำเร็จแน่ๆ” ผู้ฝึกวรยุทธใส่ชุดจอมยุทธสีเทากล่าว

“เรื่องอะไร? นี้ถึงขนาดต้องร่วมมือกันสามคนเชียวรึ” ผู้ฝึกวรยุทธสะพายดาบยักษ์ถามออกมาพร้อมขมวดคิ้วแน่น

ผู้ฝึกวรยุทธใส่ชุดจอมยุทธสีเทาเห็นสหายทั้งสองจ้องมองมาที่ตนอย่างไม่วางก็เผยรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมาอย่างภาคภูมิ “อะไรกันนี้พวกเจ้าไม่รู้หรอกรึ ข้าได้ยินข่าวมาว่าผนึกของถ้ำมารเยือกแข็งได้อ่อนกำลังลงแล้วใกล้จะพังทลายลงแล้ว”

“หา! เจ้าพูดจริงรึ หากเป็นเช่นที่เจ้าได้กล่าวมาละก็ พวกเราต้องรีบไปกันแล้ว” ผู้ฝึกวรยุทธสะพายดาบยักษ์กล่าวออกอย่างตกใจ

“แต่ข้าได้ยินมาว่า ตอนนี้มีหลายตระกูลชั้นสูง และศิษย์จากนิกาย สำนัก ไปรวมตัวกันอยู่ที่ถ้ำมารเยือกแข็งเพื่อที่จะเข้าไปสำรวจถ้ำ” ผู้ฝึกวรยุทธใส่ชุดจอมยุทธสีเทากล่าวอย่างเคร่งเครียด

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด