ตอนที่แล้วตอนที่ 41 เคล็ดวิชาท่องนภา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 43 เบิกฟ้า

ตอนที่ 42 รับผิดชอบ


“ผุ....ผู้อาวุโสทำไมราคาของเคล็ดวิชาระดับสวรรค์มันถึงแพงเช่นนี้ เคล็ดวิชาระดับปฐพีขายเพียงแค่ห้าถึงเจ็ดพันหินจิตมารเท่านั้นไม่ใช่รึ” ฉางหยางถามออกไปด้วยความตกใจ

เห็นท่าทางที่ฉางหยางแสดงออกมาชายชราก็แปลกใจ เขาไม่รู้รึว่าเคล็ดวิชาระดับสวรรค์นั้นมีน้อยมากในอาณาจักรชิน แต่ชายชราก็ยิ้มกล่าวอธิบายออกไป “คุณชาย เคล็ดวิชาระดับสวรรค์ในอาณาจักรชินนั้นมีน้อยยิ่งนัก ยิ่งระดับเทวะนั้นก็แทบจะไม่มีแล้วคุณชาย นั้นจึงทำให้ราคาของมันนั้นสูงขนาดนี้”

ฉางหยางยิ้มออกมาอย่างขมขื่น เขานั้นรู้ซึ้งแล้ว ว่าทำไมมันต้องมีผู้ฝึกวรยุทธเข้าสำนักกัน เพราะเคล็ดวิชาที่สูงสามารถแลกได้ด้วยแต้มภารกิจ และอีกอย่างสำนักที่เขาอยู่ตอนนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่หาเคล็ดวิชาสำหรับบุรุษ

อย่างไรก็ตาม เขาก็มีเคล็ดวิชาที่เทียบระดับสวรรค์ หากเข้าต้องหาหินจิตมารมาแสนก้อนก็ไม่รู้จะใช้เวลาเท่าใดถึงจะได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาเคลื่อนไหว

“งั้นข้าตกลง ข้าจะซื้อ” ฉางหยางกล่าวตัดสินใจออกไป

ชายชราได้ยินที่เขากล่าว ก็เผยรอยยิ้มทันทีพร้อมรับถุงเงินจากเขา “ขอบคุณ คุณชายที่มาอุดหนุนร้านของข้าน้อย”

ฉางหยางหลังจากรับศิลาทักษะก็ได้แต่เดินคอตกออกจากร้านอู่หลัน เขานั้นตอนนี้ไม่มีหินจิตมารติดตัวแม้แต่ก้อนเดียว คงไม่สามารถมาเหยียบโรงเตี๊ยมได้อีกแล้ว สุดท้ายเขาก็ต้องกลับไปที่เดิมนั้นก็คือป่า บ้านที่ฟรีสำหรับเขา

ตอนนี้เขาได้เดินไปตามถนนอย่างหดหู่ โดยไม่สนใจเสียงรอบข้าง ผ่านไปสักพักเขาก็เดินมาถึงโรงเตี๊ยม เขาจ้องมองโรงเตี๊ยมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินไปที่ห้องพัก

ภายในห้องพักตอนนี้หลางหลู่เออร์ และหลิ่งซูได้สติขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองได้นั่งอยู่ที่เตียงนอนด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ สายตาค่อยๆกวาดไปรอบๆห้องเพื่อหาฉางหยาง แต่ก็ไม่พบ สุดท้ายก็ได้แต่สำรวจเสื้อผ้าของตนเองว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่

“ฮึ เขาหายไปไหนกัน บังอาจให้ข้าเห็นสิ่งนั้น คอยดูข้าจะให้เขารับผิดชอบ” หลางหลู่เออร์กล่าวออกมาอย่างเขินอาย นางยังจำภาพเมื่อตอนนั้นได้ติดตา

“ข....ข้าก็เช่นกัน” หลิ่งซูก็กล่าวเสริมออกมา จริงๆแล้วนางนั้นก็รู้สึกดีใจอยู่บ้าง เพราะนี้เป็นบุรุษที่นางนั้นได้มอบหัวใจของนางให้ไปแล้วตั้งแต่ที่อยู่ป่าก่อนจะมาที่เมืองนี้

สักพักเสียงประตูห้องพักก็เปิดออกพร้อมกับร่างชายหนุ่มรูปร่างหล่อเหลา ดวงตาสีทองประกายแวววาว เดินเข้ามา ใช่แล้วเขาคือฉางหยางผู้เร่าร้อนนั้นเอง เขาก็ได้มองไปที่เตียงนอนเห็น หลางหลู่เออร์และหลิ่งซู ส่งสายตาเขียวปั๊ดมาทางตน

“พวกเจ้าทั้งสองตื่นแล้วรึ”

ฉางหยางได้กล่าวออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน นี้ทำให้หลางหลู่เออร์ทนไม่ได้กล่าวออกมา “ตื่นงั้นรึ เจ้าพูดอย่างกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เจ้าทำให้พวกข้าต้องอับอาย เจ้าต้องรับผิดชอบ”

“รับผิดชอบ? จะให้ข้ารับผิดชอบอะไร ดูข้าตอนนี้สิ ข้าไม่มีกระทั้งครอบครัว ของมีค่าสักชิ้นก็ไม่มีแล้วจะให้ข้าชดใช้เจ้าได้อย่างไร” ฉางหยางได้ยินนางกล่าวออกมาแบบไร้เหตุผล เขาอธิบายออกไป

“แค่พวกเจ้าเห็นของบุรุษเท่านั้น แล้วข้าก็ไม่ได้ทำอะไรพวกเจ้าด้วย แค่นี้ยังจะให้รับผิดชอบอะไรอีก” ฉางหยางกล่าวต่อ

“จะ...เจ้าพูดอย่างนี้ได้อย่างไร เป็นเพราะเจ้าที่พุ่งเข้ามาหาพวกข้าสองคนเอง เพราะฉะนั้นเจ้าเป็นคนที่ทำให้พวกข้าเสียหาย เจ้าต้องขดใช้ให้ข้า ไม่งั้นข้าจะบอกท่านพ่อของข้า” หลางหลู่เออร์กล่าวออกมาอย่างขุ่นเคือง

เขาไม่นึกเลยว่านางจะโหดร้ายขนาดนี้ ถึงกับเอาบิดามาขู่เลยรึ นี้ทำให้เขาหมดหนทาง เพราะว่าตระกูลของนางนั้นมีผู้ฝึกวรยุทธระดับสูงอยู่มาก หากจะตามล่าเขาคงง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ

ขณะที่ฉางหยางกำลังครุ่นคิดตัดสินใจอยู่นั้น เสียงของหลิ่งซูก็ดังขึ้น “ข้าด้วย หากเจ้าไม่รับผิดชอบข้าจะบอกตระกูลข้า”

ตอนนี้ฉางหยางนั้นหัวหมุนไปมา เหมือนจะเป็นลม เขานั้นไม่อยากเชื่อหูและสายตาตนเอง ว่าหลิ่งซู หญิงสาวที่ไม่ค่อยพูดจะโหดร้ายกว่าหลางหลู่เออร์ยิ่งนัก

คนหนึ่งเอาบิดามาขู่ อีกคนเล่นเอาตระกูลมาขู่ ขาขางฉางหยางอ่อนลงอย่างช่วยไม่ได้ เขาค่อยๆตั้งสติและกล่าวออกไป “ก็ได้ๆ ข้ายอมแล้ว ข้าจะชดใช้เป็นหินจิตมารคนละหนึ่งแสนก้อนเป็นไร”

หินจิตมารสองแสนก้อนไม่ใช่น้อยๆสำหรับเขาเลย เพราะกว่าจะครบสองแสนก้อนก็ไม่รู้เขาต้องใช้เวลาในการหาเท่าไร เขาจำเป็นต้องเสนอราคานี้ออกไปเท่านั้น ซึ่งราคานี้เป็นราคาที่สูงสุดที่เขายอมจ่ายได้

หลางหลู่เออร์นางรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากที่เขาถึงขนาดเอานางไปเปรียบเทียบกับหินจิตมารเช่นนั้น แถมนางก็ไม่รู้จะเอาหินจิตมารไปทำอะไรเพราะที่ตระกูลของนางก็ร่ำรวยมหาศาลอยู่แล้ว

“ฮึ! ใครต้องการหินจิตมารของเจ้ากัน”

“ใช่เจ้า คิดว่าพวกข้ามีค่าเพียงคิดจิตมารแสนก้อนเท่านั้นรึ” หลิ่งซูนางก็รู้สึกไม่พอใจเช่นกัน ทำไมเขาถึงทำกับนางเช่นนี้ได้ นางไม่ได้อยากได้หินจิตมาร แต่นางนั้นต้องการอยู่เคียงข้างเขา

“โอ้โห แค่เห็นของบุรุษแค่นี้ แถมข้าก็ไม่ได้แตะต้องพวกเจ้าสักนิด ข้าให้ตั้งหนึ่งแสนหินจิตมารแล้วยังไม่พอ นี่ก็หมดตัวข้าแล้วที่จะสามารถหามาให้พวกเจ้าได้” ฉางหยางคิดว่าพวกนางต้องการราคาที่สูงขึ้นทำให้เขากล่าวออกมาอย่างหมดหนทาง

“พวกเจ้าทั้งสองไม่ต้องกล่าวอะไรออกมาแล้ว ข้าให้ได้เพียงเท่านี้” ฉางหยางรีบกล่าวตัดบทออกไป

“เจ้า!” หญิงสาวทั้งสองกล่าวออกมาพร้อมกัน และกำปั้นน้อยๆ ของพวกนางทุบไปที่เตียงนอน สายตาที่ขุ่นเคืองจ้องมองมาที่เขาอย่างไม่วางตา ทำให้เขาเดินกลับไปที่เขตแดนของตนอย่างช่วยไม่ได้

ตอนนี้ฉางหยางรู้สึกเหมือนฝันร้าย หินจิตมารตั้งสองแสนก้อน เขาจะหามาได้อย่างไร ป่านิรันดร์ก็เข้าไปไม่ได้แล้ว เพราะมีผู้ฝึกวรยุทธระดับสูงตามหาตัวเขาแทบพลิกแผ่นดิน หากโดนจับได้เขานั้นไม่รู้ชะตากรรมของตนจะเป็นเช่นไรต่อไป คืนนี้ทั้งคืนทำให้เขานอนไม่หลับเพราะก้อนหนี้ก้อนโตคอยหลอกหลอนอยู่ตลอดเวลา

รุ่งเช้าได้มาเยือน แสงตะวันเริ่มส่องแสงผ่านช่องว่างของห้องพักเข้ามา ฉางหยางได้ลุกขึ้นตัวของเขาทรงตัวไม่ค่อยอยู่ เพราะตอนนี้เขาแทบจะไม่มีแรง เนื่องจากไม่ได้พักผ่อนตั้งแต่อยู่ป่านิรันดร์แล้ว เขาได้หันไปมองหญิงสาวทั้งสองที่นอนอยู่ที่เตียงนอนและกล่าวออกมา

“พวกเจ้าทั้งสอง ตื่นได้แล้ว วันนี้เราจะเดินทางกลับสำนัก”

หลางหลูเออร์และหลิ่งซูได้ยินเสียงปลุกแต่เช้า ก็ลุกขึ้นจากเตียงนอน สายตาทั้งสองมองมาที่ฉางหยาง ทำให้เขาตอนนี้สัมผัสได้ถึงจิตคุกคาม แต่ก็คาดว่าต้องเป็นหลางหลู่เออร์และหลิ่งซูแน่ จึงไม่ได้สนใจอะไรมาก

ฉางหยางหยิบหญ้าแห่งชีวิตห้าต้นออกจากออกเสื้อของเขา เดินไปให้หลางหลู่เออร์และหลิ่งชู “เอานี่ ส่วนของพวกเจ้า มันมีห้าต้น พวกเจ้าเอาไปแบ่งกันเอาละกัน อีกสองต้นข้าเอามาแล้ว”

หลางหลู่เออร์หยิบหญ้าแห่งชีวิตจากมือฉางหยางอย่างรวดเร็ว และแบ่งให้หลิ่งซูสองต้น อีกสามต้นเก็บไว้ในแหวนมิติของนาง “อีกต้นหนึ่งพวกเราค่อยแบ่งกันทีหลังแล้วกัน”

“ไม่เป็นไร ในเมื่อเจ้าเป็นคนพบมัน เจ้าก็ควรจะได้ส่วนแบ่งที่เยอะกว่าพวกข้าอยู่แล้ว อีกต้นเจ้าเก็บเอาไว้เป็นของเจ้าเลยไม่ต้องมาแบ่งข้า” หลิ่งซูบอกปัดออกไป

“อืม งั้นก็ได้”

หลังจากนั้นทั้งสามคนได้เดินออกจากโรงเตี๊ยม และเดินไปที่ประตูหน้าเมือง ทหารรักษาการเห็นทั้งสามคนเดินมาก็จำได้ทันทีแล้วเผยรอยยิ้มเล็กน้อยและกล่าวออกมา “อ้าว พวกเจ้าทั้งสามจะกลับแล้วรึ”

“ใช่แล้ว พวกข้าพักผ่อนพอแล้ว” ฉางหยางกล่าวอย่างเฉยเมย

ทหารรักษาการสังเกตเห็นท่าทางของฉางหยางที่ค่อนข้างเหนื่อยไม่มีแรง เหมือนไม่ได้นอนมาหลายคืนก็กล่าวหยอกล้อออกไป “โอ้ ดูท่าแล้วเจ้าคงไม่ได้นอนมาหลายคืนเลยสิ”

“ใช่แล้ว เมื่อคืนข้าไม่ได้นอนแม้แต่น้อยเลย ข้านั้นตอนนี้แทบจะยืนไม่ไหวแล้ว” ฉางหยางตอบออกไปตามความจริง เมื่อคืนเขาก็ไม่ได้จริงๆเพราะหนี้ก้อนโตตามหลอกหลอนเขาทั้งคืน

“ฮ่าๆ ไอ้หนุ่มเจ้านี้ไม่เบาจริงๆ ขนาดนี้แล้วยังกล้ามาเดินเอ้อระเหยอีก ระวังจะเป็นลมเอาละ แล้วอย่าหาว่าไม่เตือน” ทหารรักษาการหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมมือตบไปที่ไหล่ของฉางหยาง

“ข้าขอบคุณ ท่านที่แนะนำข้า พวกข้าคงต้องไปแล้ว” กล่าวจบทั้งสามก็เดินออกประตูเมืองไป แต่หญิงสาวทั้งสองนั้นได้เข้าใจในสิ่งทหารรักษาการสื่อออกมา ตอนนี้ก็ก้มหน้าเดินเพื่อปกปิดความเขินอายของพวกนาง

ผ่านไปสักพักทั้งสามคนได้เดินห่างออกมาสิบกิโลเมตรแล้ว ที่ป่าข้างทางฉางหยางได้เรียกเฉินตี้ออกมา จากนั้นเฉินตี้ขยายขนาดกลับเป็นเท่าเดิม ทั้งสามคนก็ได้โดดขึ้นที่หัวของเฉินตี้แล้วฉางหยางก็ออกคำสั่งออกไป

“ไปได้แล้วเฉินตี้ กลับสำนักดาราพิชิต”

เฉินตี้ก็พุ่งตัวออกจากป่าขึ้นสู่ท้องฟ้า และหายเข้าไปในกลีบเมฆทันที

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด