ตอนที่ 36 เเย่งชิง
“เจ้า! มีแต่พูดจากับข้าแต่แบบนี้ ลองหันหลังกลับมามองดูเองสิ” หลางหลู่เออร์กล่าวออกไปอย่างขุ่นเคือง
ทั้งสองได้ยินนางกล่าวออกมา ก็ค่อยๆหันหลังกลับมา แล้วมองไปที่พุ่มไม้ที่ตอนนี้ได้เปิดโล่ง ปรากฏหญ้าแห่งชีวิตมีเจ็ดต้นเลยทีเดียว
ตอนนี้ใบหน้าของทั้งสองคนตกตะลึงอย่างมาก สายตาสี่คู่จ้องมองไปที่หลางหลู่เออร์ กับหญ้าแห่งชีวิตสลับกันไปมา เพราะไม่อยากเชื่อว่านางจะโชคดีขนาดนี้ ทั้งที่พวกเขาทั้งสามคนหามันมาตั้งนานแต่นางกับพบมันง่ายดายเหมือนปอกกล้วย
เมื่อนางได้เห็นใบหน้าทั้งสองแล้วตอนนี้ ยิ่งทำให้นางรู้สึกพึ่งพอใจมาก รอยยิ้มที่สดใสก็เผยออกมา แล้วใบหน้าน้อยๆก็เชิดขึ้นกล่าวอย่างภูมิใจออกมา
“เป็นไง เห็นในความสามารถของข้าแล้วใช่ไหม”
“เจ้าพบมันได้อย่างไร” ฉางหยางมองไปที่นางแล้วถามออกไป
“ก็ข้าพบมันตอนที่กำลังหาก้อนหินนั้นน่ะสิ ตอนนี้เจ้าก็ติดนี้บุญคุณข้าแล้ว หากไม่มีข้า เจ้าคงไม่วันได้พบกับหญ้าแห่งชีวิตมากมายขนาดนี้” หลางหลู่เออร์กล่าวออกไปอย่างโหดร้ายกับฉางหยางอย่างมาก
“เฮ้อ! ก็ได้ครั้งนี้ข้าติดหนีเจ้าหนึ่งหน เอาล่ะพวกเราเก็บหญ้ากันก่อนเดียวมีคนมาพบจะยุ่งเอา” ฉางหยางได้กล่าวยอมรับออกไป และเดินไปที่พุ่มไม้ถอนหญ้าขึ้นมาทั้งเจ็ดต้น แล้วก็จะเก็บไว้ในที่อกเสื้อของตน
ขณะนั้นเองกลุ่มผู้ฝึกวรยุทธได้พุ่งมาด้วยความเร็ว พวกเขากำลังจะผ่านกลุ่มฉางหยางไปแล้ว แต่ทว่าสายคู่หนึ่งก็เหลือบไปเห็นหญ้าแห่งชีวิตจำมากที่อยู่ในมือของฉางหยาง
“เฮ! พวกเราหยุดก่อน”
หัวหน้ากลุ่มที่กำลังพุ่งตัวไปไกลแล้ว ได้ยินเสียงลูกน้องตะโกนบอกให้หยุด ร่างของเขาชะงักลงทันทีแล้วค่อยๆหันหลังกลับมาพร้อมกับกล่าวถามด้วยเสียงที่แข็งกร้าว
“มีอะไรพวกเรากำลังรีบอยู่นะ ข้าไม่อยากเสียเวลากับเรื่องเล็กน้อย”
“หัวหน้าพวกเราเจอลาบลอยแล้ว ดูสิหัวหน้ากลุ่มไอ้เด็กนั้นมีหญ้าแห่งชีวิตเยอะขนาดนั้น ข้าว่าพวกเราไม่ต้องไปเสียเวลาหามันให้ยุ่งยากเลยหัวหน้า” ลูกน้องในกลุ่มชี้ที่ฉางหยางแล้วกล่าวออกมาอย่างชั่วร้าย
“หือ” หัวหน้ากลุ่มมองไปที่กลุ่มฉางหยาง แล้วเพ่งพินิจตรวจอยู่นาน ก็พบว่าระดับการบ่มเพาะทั้งสามคนนั้นอยู่ในระดับปราณนิมิตรกันทั้งนั้น ยิ่งทำให้เขาเกิดความคิดชั่วร้ายออกมา แถมหญิงสาวทั้งที่อยู่กลุ่มก็ช่างน่ารักและงดงามยิ่งนัก เหมาะสำหรับเป็นของหวานล้างปากหลังจากที่ทำงานมาอย่างเหนื่อยๆเสียจริง
“ฮ่าๆ พวกเราไป” หลังจากกล่าวจบ หัวหน้ากลุ่มก็พุ่งทะยานร่างไปทางกลุ่มของฉางหยางทันที ตามด้วยลูกน้องอีกประมาณสามคน
“ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ”เสียงเท้ากระแทกกับพื้น
ฉางหยางที่กำลังจะเก็บหญ้าแห่งชีวิต เห็นว่ามีผู้มาเยือน สายตาของเขามองไปที่กลุ่มชายวัยกลางคนทั้งสี่คน แล้วพบว่าสามคนที่อยู่ข้างหลังมีระดับการบ่มเพาะอยู่ปราณนิมิตรขั้นที่หก เจ็ด และแปด แต่คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าทั้งสามคนนั้นเปล่งรังสีฆ่าฟันออกมา ถึงกับอยู่ปราณบรรจบขั้นที่หนึ่งเลยทีเดียว
ฉางหยางตอนนี้ก็สัมผัสได้อันตราย ใบหน้าของเขาเริ่มจริงจังและถามออกไปด้วยความเย็นชา “พวกเจ้ามีอะไร”
หัวหน้ากลุ่มได้ยินที่ฉางหยางถามออกมาอย่างไร้เดียงสา ก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ฮ่าๆ มีอะไรอย่างนั้นรึ ช่างถามออกมาได้ ส่งหญ้าแห่งชีวิตทั้งหมดที่พวกเจ้ามีมา ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้านั้นโหดร้าย”
ลูกน้องทั้งสามคนได้ยินหัวหน้าตัวเองหัวเราะออกมา ต่างก็ระเบิดหัวเราะอย่างบ้าคลั่งตามกันออกมาทำให้บริเวณนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ดูแล้วช่างน่าสนุกสนานเสียจริงๆ
“อะไรกัน? หญ้านี้พวกเราเป็นคนพบ พวกเจ้าจะแย่งเอาจากเราไปได้อย่างไร” หลิ่งซูกล่าวออกมา
“ฮ่าๆ พวกเจ้าช่างเด็กน้อยยิ่งนัก ในโลกใบนี้ผู้แข็งแกร่งคือพระเจ้า ส่วนผู้อ่อนแอเป็นได้แค่ทาสเท่านั้น วาจาที่พวกเจ้ากล่าวออกมานั้นมันช่างตลกยิ่งนัก หากจะโทษก็โทษตัวเองที่อ่อนแอเช่นนี้ ส่งหญ้าแห่งชีวิตมา ไม่อย่างนั้นข้าจะสังหารพวกเจ้าทั้งหมด” หัวหน้ากลุ่มกล่าวออกไปด้วยความเย้ยหยัน ตามด้วยปล่อยจิตสังหารที่ทะลักออกมา
ฉางหยางเก็บหญ้าเข้าไปในอกเสื้อ แล้วยิ้มออกมาที่มุมปาก และระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่น “ฮ่า ฮ่า ฮ่า อยากได้นักก็เข้ามาเอาเอง ข้าก็อยากจะรู้นักว่าเจ้าจะมีปัญญาเอามันจากมือข้าได้หรือไม่”
หัวหน้ากลุ่มได้ยินที่ฉางหยางกล่าวออกมาอย่างเหยียดหยามตนเอง ทำให้ตอนนี้อารมณ์เริ่มพุ่งพลาดออกมาด้วยความเกรี้ยวกราด
“ประเสริฐมาก! กล้าพูดจาโอหังกับข้า อิ้งเจิ้นผู้นี้ ทั้งที่ระดับการบ่มเพาะอยู่ชั้นปราณนิมิตรขั้นที่สองแท้ๆ ข้าอยากจะรู้นักว่าไอ้หนูอย่างแกจะเก่งได้สักกี่น้ำ พวกเจ้าทั้งหมดไม่ต้องเข้ามายุ่ง ข้าจะหักแขนขาไอ้หนูนี้ให้มันพิการไปตลอดเอง”
ระหว่างที่อิ้งเจิ้นกำลังพูดฉางหยางกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ “ฮึ! ข้าก็อยากจะรู้นัก ว่าตัวข้านั้นแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่ จะสามารถต่อกรกับผู้ฝึกวรยุทะปราณบรรจบได้หรือไม่”
หลางหลู่เออร์และหลิ่งซูทั้งสองนั้นเป็นห่วงเขามาก เพราะหากพวกนางขยับ ลูกน้องทั้งสามคนก็ต้องขยับตามแน่ อีกอย่างลูกน้องทั้งสามก็มีระดับพลังใกล้เคียงกับหลางหลู่เออร์
หากเกิดการต่อสู้ขึ้นมา หลิ่งซูที่มีระดับการบ่มเพาะเพียงปราณนิมิตรขั้นที่สองต้องได้รับอันตรายแน่ ทำให้ทั้งสองตอนนี้ได้แต่หวังพึ่งเฉินตี้เท่านั้น
หลังจากที่ทั้งสองกล่าวจบต่างก็พุ่งเข้าหากันด้วยความเร็วสูง
“ตูม”
หมัดทั้งสองกระแทกเข้าหากันอย่างรุนแรง ฉางหยางกระเด็นออกไปถึงเจ็ดเมตรเลยทีเดียว แต่ทว่าอิ้งเจิ้นกระเด็นออกไปเพียงสามเมตรเท่านั้น
ตอนนี้มือของฉางหยางนั้นรู้สึกชาไปหมด สถานการณ์ตอนนี้ทำให้เขาในตอนนี้รู้สึกเคร่งเครียดขึ้นทันที แต่ผิดกับอิ้งเจิ้นที่มีสีหน้าตกตะลึง เพราะตนไม่อยากเชื่อเลยจะถูกแรงกระแทกจากหมัดของไอ้หนูนั้นกระเด็นออกมาถึงสามเมตร
ลูกน้องทั้งสามที่กำลังดูอยู่อ้าปาก พร้อมกับเอามือขยี้ตาไม่อยากจะเชื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ “นี่มันอะไรกัน ทำไมไอ้หนูนั้นถึงสามารถต่อกรกับหัวหน้าของเราได้ ทั้งที่ระดับการบ่มเพาะห่างกันถึงหนึ่งชั้นปราณแท้ๆ”
หญิงสาวทั้งสองมองดูฉางหยางอย่างชื่นชม ทั้งสองรู้อยู่แล้วว่าเขานั้นบ่มเพาะเคล็ดวิชาที่ไม่ธรรมดา ตอนนี้ทั้งสองรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลยทีเดียว แล้วดูเหมือนว่าเขาจะสามารถต่อกรกับอิ้งเจิ้นได้
“บัดซบ! ไอ้หนู แกทำให้ข้าขายหน้า แกต้องตาย”
อิ้งเจิ้นระเบิดพลังลมปราณออกมา แล้วพุ่งตัวออกไป ฉางหยางเห็นอิ้งเจิ้นเริ่มเอาจริง เขาก็จะรอช้าอยู่ไม่ได้เสียแล้ว ว่าแล้วเขาก็ระเบิดพลังลมปราณออกมาเช่นกัน
“ตูม”
หมัดทั้งสองกระแทกใส่กัน สายลมโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง พื้นดินเริ่มแตกกระจาก ร่างทั้งสองปลิวออกมาจากแรงกระแทก พุ่งไปที่ต้นไม้ แล้วทั้งสองก็พลิกตัวกลางอากาศ เหยียบต้นไม้ดีดตัวออกมาพุ่งเข้าหากัน
“ตูม ตูม ตูม ตูม” เสียงหมัด และขากระแทกใส่กัน ดังกึกก้อง แรงลมที่เกิดจากการปะทะอัดกระแทกเข้าที่ใบหน้าของคนที่กำลังยืนดูจนปวดแสบปวดร้อน
อิ้งเจิ้นตอนนี้ บนใบหน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความอัปยศ หากใครรู้ว่าตนที่มีพลังการบ่มเพาะสูงกว่า แต่ไม่สามารถเอาชนะผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะต่ำกว่า เขาต้องกระอักเลือดตายแน่นอน
“แก! หากข้าไม่ฆ่าแกวันนี้ ก็ไม่ต้องเรียกข้าว่าอิ้งเจิ้นอีกต่อไป”
อิ้งเจิ้นโคจรพลังลมปราณอย่างบ้าคลั่ง เตรียมใช้เคล็ดวิชาระดับปฐพีของตนออกไป ขาเริ่มกางออกมา พลังลมปราณพวยพุ่งออกมาจากร่าง กดดันให้ฉางหยางถึงกับถอยหลังไปสองก้าว บนใบหน้าของเขาตอนนี้ได้มีเม็ดเหงื่อไหลออกมา
ที่หมัดของอิ้งเจิ้นออร่าสีแดงเริ่มหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ พื้นดินรอบเท้าเริ่มแตกออกมา ฉางหยางเห็นว่านี้คงเป็นการทุ่มพลังทั้งหมด เพื่อเข้าปะทะครั้งสุดท้าย เขาก็ไม่รีรออีกต่อไป
“มาแล้วเคล็ดวิชาระดับปฐพีของหัวหน้า ไอ้หนูนั้นไม่รอดแน่” ลูกน้องที่เห็นท่าทางของหัวหน้าของตนก็กล่าวออกมาด้วยตื่นเต้น
ฉางหยางก็เริ่มตั้งท่า และโคจรผสาน ลมปราณที่อยู่ในประตูสวรรค์บานที่หนึ่งทะลักออกมาเข้าสู้เส้นชีพจรและตันเถียน ผมของเขาเริ่มโบกสะบัดตามสายลม ดวงตาสีทองเปล่งประกายออกมา เปลวเพลิงสีทองที่ใช้ได้เพียงสี่ส่วนก็เริ่มทะลักออกมาจากร่างกาย ลุกไหม้อย่างโชติช่วง สูงถึงเจ็ดสิบเซนติเมตร
ลูกน้องของอิ้งเจิ้นเห็นเคล็ดวิชาของฉางหยางก็พูดออกอย่างเย้ยหยัน “ฮ่าๆ ดูนั้นสิทักษะดูแล้วช่างกระจอกยิ่งนัก ข้าไม่เห็นสัมผัสได้ถึงความร้อนได้เลย แล้วเปลวเพลิงสีทองนั้นอีก ข้าว่าคงเป็นเปลวเพลิงกระจอกๆ แน่ ฮ่าๆ แกเสร็จแน่ไอ้หนู”
ทางด้วนของอิ้งเจิ้น เห็นเช่นนี้ก็ยิ้มออกมาที่มุมปาก ที่หมัดของเขาตอนนี้ พลังลมปราณควบแน่นจนกลายหัวพยัคฆ์ คลุมอยู่ที่มันดวงตาสีแดงสองแสง “วิ๊ง” ออกมา จากนั้นอิ้งเจิ้นพุ่งตัวพร้อมกับคำรามอย่างสุดเสียง
“หมัดพยัคฆ์สังหาร”
ฉางหยางก็กระโดดตัวพุ่งออกไปเหมือนกันพลังลมปราณไหลออกจากหมัดพร้อมกับตะโกนลั่น
“หมื่นทลาย”
“ตูม”