ตอนที่แล้วตอนที่ 10 ต้นกำเนิด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 12 สงสาร

ตอนที่ 11 โชค


เมื่อเห็นงูเพลิงศิลาจ้องมองมาที่คนกำลังแบกห่อผ้าอยู่ข้างหลัง อีกสองคนที่เหลือเห็นก็คิด “หรือว่า ไอ้งูนี่มันต้องการสมบัติของมันคืนแน่” เห็นเช่นนี้ลูกน้องของฟูเหลี่ยงที่ยืนอยู่ทางซ้ายได้พุ่งตัวออกไปด้วยความเร็วและตะโกนออดมาเสียงดังลั่น

“ข้าจะไปรอพวกเจ้าที่นัดหมายก็แล้วกัน”

ลูกน้องฟูเหลียงอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ทางด้านขวา พุ่งตัวหนีออกไปพร้อมกับด้วยความเร่งรีบ “โชคดีสหาย แล้วพบกันที่นัดหมาย”

เมื่อเห็นทั้งสองคนหลบหนีงูเพลิงศิลาพร้อมกันและพุ่งไปคนละทิศ ทำให้คนที่อยู่ตรงกลางตื่นตระหนก พร้อมกล่าวก่นด่าสหายทั้งสองทันที

“บัดซบ นี่มันทั้งสองโยนขี้มาให้ข้า”

ขณะที่คิดได้เช่นนี้ลูกน้องฟูเหลี่ยงที่กำลังแบกถุงผ้าที่มัดไว้อย่างดี ก็รีบวิ่งไปอีกทิศหนึ่ง ทิศทางนี้เป็นทิศที่ฉางหยางกำลังหลบอยู่ซึ่งมีหมอกหนาเป็นพิเศษ

หลังจากที่เห็นลูกน้องของฟูเหลียงวิ่งมาทางทิศที่เขากำลังหลบซ่อนอยู่

ฉางหยางที่กำลังหลบอยู่หลังก้อนหินขนาดใหญ่กถึงกับร้องขึ้นมาในใจอย่างหมดหนทาง

“บ้าเอ้ย ทางมีตั้งเยอะ ทำไมต้องวิ่งมาทางที่ข้าหลบอยู่ด้วย”

ลูกน้องของฟูเหลียงที่กำลังวิ่งมาเรื่อยๆ  ได้หันกลับไปดูพบว่างูเพลิงศิลาได้เลื้อยไล่ตามตนมาอย่างไม่ลดละ ทำให้เม็ดเหงื่อเริ่มปรากฏออกมาจากใบหน้า อย่างไรก็ตามหลังจากวิ่งมาพอสมควรก็พบกับก้อนหินขนาดใหญ่อยู่ข้างหน้า ใบหน้าของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มที่มุมปากพร้อมกับกล่าวออกมา

“ฮึ ฮึ ฮึ ฮึ ข้ารอดแน่”

จากนั้นเขาก็วิ่งเหยียบก้อนหินขนาดใหญ่ แล้วใช้แรงขาที่เหยียบบนก้อนหิน ดีดตัวออกไป ทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นในชั่วขณะ และลอยข้ามหัวของฉางหยางออกไป

ณ เวลานั้น งูเพลิงศิลาเห็น ลูกน้องฟูเหลียงที่กำลังลอยตัวอยู่อากาศยากที่จะหลบได้ จึงใช้จังหวะนี้ ตวัดหางของตนเองกวาดเอาต้นไม้ และก้อนหินลอยไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว หนึ่งในต้นไม้ที่ถูกขว้างมากระแทกเข้ากับหลังของลูกน้องฟูเหลียงจนลำตัวเริ่มโค้งงอเป็นรูปจันทร์เสี้ยว พร้อมกับห่อผ้าที่หล่นออกจากมือ เสียงดัง

“ตุบ”

ตอนนี้ร่างของลูกน้องฟูเหลียงได้ปลิวไปตามแรงกระแทกของต้นไม้ เขาได้แต่ขบฟันแล้วกล่าวอย่างไม่เต็มใจ

“ซวยๆ อะไรจะซวยขนาดนั้น ห่อผ้าสมบัติก็ตกลงบนพื้นไปแล้ว ข้าจะกลับไปเอามาได้อย่างไร”

หลังจากนั้นเขาก็ตีลังกาม้วนตัวกลางอากาศ อาศัยแรกกระแทกจากต้นไม้ พุ่งไปเหยียบต้นไม้ข้างหน้า แล้วดีดตัวออกไปเพื่อเพิ่มความเร็ว หายเข้าไปในหมอกอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตามงูเพลิงศิลา ได้เห็นมีทักษะที่ยอมเยี่ยมของศัตรู แต่ก็ไม่ได้เห็นห่อผ้าที่หล่นลงพื้น เพราะว่าบริเวณนี้มีหมอกหนาเป็นพิเศษ ทำให้ระยะการมองยิ่งสั้นเข้าไปอีก งูเพลิงศิลาก็ยังไล่ตามต่อไปและยังเข้าใจว่าศัตรูได้เก็บซ่อนห่อผ้าไว้

“ตูม ตูม ตูม ตูม ตูม” เสียงของต้นไม้และก้อนหินที่ร่วงหล่นลงบนพื้น

ในขณะที่ฉางหยางอยู่หลังก้อนหินได้เห็นห่อผ้าที่ตกลงมาก็เข้าใจได้ทันทีว่าห่อผ้านี้ก็คือ ห่อที่อยู่กับหนึ่งในสามคนนั้น ที่เข้าไปในถ้ำเพื่อหาสมบัติ ฉางหยางก็ดีใจเป็นอย่างมาก เหมือนกับบุญหล่นทับ

ในช่วงที่ฉางหยางกำลังดีใจก็มีเสียงดัง “ครืนๆ” ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใช่แล้วมันก็คือเสียงงูเพลิงศิลาที่เลื้อยตามศัตรูที่กำลังหอบเอาสมบัติของตนหนีไปนั้นเอง

งูเพลิงศิลาได้เลื้อยผ่านก้อนหินที่ฉางหยางหลบอยู่ไปอย่างเร็ว พองูเพลิงศิลาหายเข้าไปในหมอกประมาณห้านาที ร่างที่กำลังหลบอยู่ก้อนหิน ก็รีบพุ่งตัวไปหยิบเอาห่อผ้าและวิ่งไปคนละทิศกับงูเพลิงศิลาไป

ณ ทางเข้าป่าหมอก

กลุ่มผู้ฝึกวรยุทธประมาณ เจ็ดคน  ทั้งหกเป็นเป็นชายวัยกลาง และมีหนึ่งคนที่เป็นผู้เยาว์ ใช่แล้ว กลุ่มผู้ฝึกวรยุทธนี้ก็คือตระกูลหลงนั้นเอง

ระดับการบ่มเพาะของชายทั้งหกนั้นอยู่ในชั้นปราณบรรจบทั้งหมด โดยเฉพาะชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่หน้าสุด ข้างผู้เยาว์ ระดับการบ่มเพาะของเขาอยู่ในชั้นปราณบรรจบขั้นที่ห้า ซึ่งก็เขาไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นหัวหน้าตระกูลหลง หลงฟูจี้นั้นเอง และข้างเขาก็คือนายน้อยตระกูลหลง หลงเทียน

ในขณะที่ผู้ฝึกวรยุทธตระกูลหลง กำลังจะเข้าไปในป่าหมอก บนท้องฟ้าปรากฏสัตว์อสูรบิน ขนาดใหญ่ห้าเมตรมีหัวและลำตัวเหมือนหมาจิ้งจอก ลิ้นเหมือนงู ขาทั้งสี่ข้างเหมือนขาของนก หางที่ยาวเหมือนยาวหนู มีปีกใหญ่สีน้ำตาล พร้อมกับผู้ฝึกวรยุทธที่อยู่บนหลัง เจ็ดคนร่อนลงยังพื้น สายลมกระแทกเข้ากับคนตระกูลหลงทำให้ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

“นั้นมัน จิ้งจอกเวหานิ” หนึ่งในชายวัยกลางคนกล่าวอย่างตกใจ

“ใครกันที่สามารถมีมันได้ ระดับการบ่มเพาะของมันก็มิได้อ่อนด้อยเลย ถึงกับอยู่ชั้นปราณนิมิตร ขั้นที่หก” หลงฟูจี้กล่าวด้วยความสนใจ

กลุ่มผู้ฝึกวรยุทธ ทยอยลงมาจากหลังจิ้งจอกเวหา แล้วเดินมาทางกลุ่มคนของตระกูลหลง หลงฟูจี้เห็นอย่างแล้วก็ปรากฏสีหน้าเคร่งเครียดทันที

แต่ผิดกับนายน้อยตระกูลหลงที่ยืนตะลึงอยู่ตอนนี้ เพราะได้เห็นหญิงสาวที่โฉมสะคราญตาเป็นอย่างยิ่ง ริมฝีปากเล็กสีชมพูน่าลิ้มลอง คิ้วโค้งยาวเหมือนดั่งคันศร ใบหน้าเรียวเหมือนรูปไข่ ผิวที่ขาวเรียบเนียน ปทุมถันทั้งสองสวยได้รูป เดินมาด้วยท่าทางขี้เล่นเล็กน้อย ใช่แล้วหญิงสาวผู้นี้ คือหลางหลู่เออร์ ที่เดินมาพร้อมกับบิดาและบ่าวรับใช้นั้นเอง

“ไม่ทราบว่า พวกท่านผู้ทรงเกียรติมาทำอะไรในสถานที่แห่งนี้กัน” หลงฟูจี้กล่าวด้วยความนอบน้อม

“พวกข้า ตระกูลหลาง ข้าหลางชิงเหอเป็นผู้นำตระกูล ข้าได้ยินข่าวว่าที่ป่าหมอกนั้นมีงูเพลิงศิลาอยู่ ข้าต้องการตัวของมัน” หลางชิงเหอกล่าวออกไป

“ตระกูลหลาง รึ! นั้นใช่ตระกูลหลางที่อยู่เมืองอู่หลงใช่หรือไม่” หลงฟูจี้ถามออกไป

“ใช่แล้วนั้นตระกูลของข้าเอง” หลางชิงเหอตอบด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง

“’งั้นท่านก็เป็นหัวหน้าตระกูล อืมๆ ส่วนข้า หลงฟูจี้ หัวหน้าตระกูลหลง ข้ายินดีมากที่ได้รู้จักกับพวกท่าน” หลงฟูจี้กล่าวพร้อมประเมินระดับการบ่มเพาะของหลางชิงเหอ และพบว่าระดับการบ่มเพาะของหลางชิงเหอนั้นสูงกว่าตนเองถึง สามขั้น

ใช่แล้วหลางชิงเหอนั้นอยู่ในชั้นปราณบรรจบขั้นที่แปด แต่ก็ตื่นตระหนกยังไม่พอ เมื่อมองไปยังหญิงสาวข้างหลางชิงเหอ ที่มีอายุเพียงสิบสี่ปี แต่กลายเป็นว่าระดับการบ่มเพาะของนางนั้นอยู่ในชั้นปราณนิมิตรขั้นที่หกเลยทีเดียว

“โอ้ เจ้าคือหลงฟูจี้อย่างนั้นหรือ” หลางชิงเหอกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

ขณะนั้นเองที่ข้าง หลงฟูจี้ ได้มีเสียงดังเกิดขึ้น “โอ้ แม่นางไม่ทราบว่าท่านมีนามว่ากระไร ท่านช่างเหมือนเทพธิดาลงโปรดข้าน้อยผู้ต้อยต่ำเหลือเกิน เหมือนข้าน้อยได้เห็นแสงสว่างในเส้นทางที่มืดมน ท่านงดงามเกินที่ข้าบรรยายจริงๆ ได้โปรดรับความรักจากข้าน้อยผู้นี้ด้วยเทิด” หลงเทียนกล่าวเสียงดังต่อหน้าคนตระกูลหลงและตระกูลหลาง พร้อมกับกระโดดหมุนตัวขึ้นกลางอากาศ ตีลังกาคุกเข่าข้างหนึ่งลงพื้นและยื่นมือไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

“@#3%”  ผู้นำตระกูลหลงถึง เซถอยหลังหน้ามืดลงทันที เขาไม่เคยคิดเลยว่าลูกชายของเขาจะมีบุคลิกเช่นนี้

ผู้นำตระกูลหลางถึงกับยืนนิ่งและอ้าปากค้า แต่ก็ถูกปลุกให้ตื่นโดยเสียงของลูกสาวของตัวเอง

“ฮึ ใครสนใจคนเช่นเจ้ากัน” หลางหลู่เออร์พร้อมกับหันหน้าหนี

“โอ้ ไม่นะท่านเทพธิดาท่านจะทอดทิ้งข้าอย่างนั้นรึ” หลงเทียนยืนขึ้นทันทีพร้อมกับโบกมือขึ้นท้องฟ้าพูดขึ้น

“ยังมีคนบ้าขนาดนี้อยู่ในโลกอีกยังนั้นหรือ” หลางชิงเหอคิดอยู่ภายใน

หลงฟูจี้ถึงกับระเบิดพลังลมปราณ พุ่งเข้ามาคว้าตัวของหลงเทียนทันที พร้อมกับหัวเราะแห้งๆ และกล่าวขอโทษ “แหะๆ ข้าต้องขอโทษท่านหลางชิงเหอ ด้วยที่ลูกของข้าได้กระทำหยาบคายกับคุณหนู”

“แหะๆ ไม่เป็นไรเรื่องแค่นี้เอง” หลางชิงเหอหัวเราะ แห้งๆ พร้อมกล่าว

ณ ป่าหมอกมี คนสองคนพุ่งออกมาจากป่าหมอกอย่างรวดเร็ว และพบเข้ากับคนตระกูลหลงและตระกูลหลาง ถึงหยุดชะงักทันที

หลงฟูจี้มองไปที่สองคน นั้นคิ้วขมวดเข้าหากัน พร้อมกับกล่าวออกไป “พวกเจ้า เป็นใคร มาทำอะไรที่นี่”

ทั้งสองคนเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวด้วยกลัว “พวกข้าแค่ไปเดินเล่นเท่านั้น”

กลุ่มคนตระกูลหลงได้ยินเช่นนั้นถึงกับยืนนิ่งทันที พร้อมกับคิดในใจ “โกหก ก็ให้มันเนียน กว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง พูดมาได้ว่าไปเดินเล่น”

“งั้นพวก ข้าขอตัวก่อน” พอพุดเสร็จก็เตรียมที่จะจากไป แต่ก็มีอีกร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากป่าเช่นเดียวกัน และกำลังมาทางนี้ด้วยความเร็วสูง แถมยังมีเสียงดัง “ครืนๆ” ที่ไล่ตามหลังมา พร้อมต้นไม้เริ่มล้มระเนระนาด

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด