ตอนที่ 4 ยากจน
บนท้องฟ้ายามราตรี หลิ่วตง หยวนเฟิง และ ไป๋หยู่ ได้ยืนจ้องหน้ากันด้วยความเบื่อหน่าย หลิ่วตงรู้สึกใจหดหู่เป็นอย่างมาก อีกแค่นิดเดียวเท่านั้นที่เขาจะได้เคล็ดวิชาระดับอมตะมาครอบครอง หากไม่มีไป๋หยู่มาขัดขวาง เขาก็จะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแห่งนี้
เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน หลิ่วตงก็ได้หยิบเอาผลึกทิพย์ออกมาแล้วอัดพลังปราณเข้าไปจากนั้นละอองแสงค่อยๆรวบรวมจนสามารถเกิดเป็นประตูมิติ ก่อนที่ก้าวเข้าไปประตูมิติ เขาหันกลับมากล่าวด้วยความขุ่นเคือง
“ฮึ ! ข้าจะจดจำเรื่องของวันนี้ไว้”
จากนั้นกองทัพเทพของหลิ่วตงทั้งหมดก็หายไปพร้อมกับประตูมิติ นี่จึงทำให้เหลือแค่กองกำลังของไป๋หยู่ และหยวนเฟิง
“เอาล่ะ งั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว พวกข้าก็ขอตัวกลับบ้าง” หยวนเฟิงรีบกล่าวเพื่อหนีความอับอายของตนทันที เขานั้นแทบจะนำทัพของตนเองให้หายเข้าไปในประตูมิติอย่างรวดเร็ว
ในขณะนี้เหลือเพียงกองกำลังของไป๋หยู่ที่กำลังยืนจ้องมองกันอย่างงุนงงว่ามันเกิดอะไรขึ้น ต่างคนต่างไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิด เพราะพวกเขานั้นกำลังต่อสู้เพื่อขัดขวางไม่กองกำลังของสามขุมพลังอำนาจนั้นเข้าไปเพื่อแย่งชิงศิลาทักษะ
“บ้าเอ้ย อะไรมันจะประจวบเหมาะขนาดนั้น ถึงขนาดไอ้แก่ปัญญานิ่มหยวนเฟิงหยิบเม็ดยาสลับกับผลึกทิพย์” ไป๋หยู่กล่าวออกด้วยโกรธ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นนี้ได้
“พวกเรากลับ” หลังจากที่ไป๋หยู่กล่าวเสร็จกองกำลังของอาณาจักรไป๋ก็หายไปพร้อมกลับประตูมิติเหมือนกับว่าที่นี้ไม่เคยมีการต่อที่รุนแรงและน่าหวาดกลัวเกิดขึ้น
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ศิลาทักษะหายไปได้อย่างไร แล้วทำไหมถึงมีประตูมิติเกิดขึ้นได้” ผู้เยาว์ที่กำลังดูการต่อสู้ของสี่ขุมพลังอำนาจอยู่ เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างนี้ถึงกับถามออกด้วยความงุนงง
“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ปกติประตูมิติจะเปิดได้ก็ต้องมีผลึกทิพย์ มีผลึกทิพย์แล้วยังไม่พอต้องเสียเวลาไปการรวบรวมพลังงานเพื่อให้เกิดช่องว่างของมิติได้ แต่นี่ข้ากับไม่เห็นคนที่อยู่ใน สี่ของขุมพลังอำนาจทำการรวบรวมพลังงานเพื่อเปิดประตูมิติเลย” ชายชราอธิบายอย่างใคร่รู้ เนื่องจากเวลานี้เป็นยามราตรีจึงทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนนัก ประกอบกับขนาดของผลึกทิพย์ที่หยวนเฟิงได้เสียเวลาค้นคว้าทดลองมาหลายปี มีขนาดเล็กเท่าเม็ดยาทำให้เห็นแสงสะท้อนจากแสงจันทร์และแสงจากการต่อสู้เพียงเล็กน้อย
ณ ที่ห่างไกล หลายล้านกิโลเมตร ในดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง ดาวเคราะห์ดวงนี้เป็นดาวเคราะห์ที่อุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก มี สัตว์ หลากหลายชนิดอาศัยอยู่รวมกัน บ้างก็มีการประลองฝีมือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจมาไว้ในมือ ในดาวเคราะห์ดวงนี้ต่างก็มีขุมพลังอำนาจมากมายที่ปกครองของแต่ละพื้นที่
ในขณะนั้น ภายในอาณาจักรชิน เมืองเทียนตี้ที่ภูเขาหลังเมืองได้ปรากฏประตูมิติขนาดไม่ใหญ่มากนักขึ้นที่ด้านข้างของริมแม่น้ำสายหนึ่ง พร้อมกับศิลาที่ดูเก่าแก่ตกลงบนพื้นผสมปนเปเข้ากับก้อนหินข้างริมแม่น้ำทำให้ดูอยากที่จะแยกแยะได้ว่านี่คือศิลาทักษะ
ณ เมืองเทียนตี้
เมืองนี้เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อในเรื่องการค้าขายเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้า แม่ขาย หรือแม้แต่ผู้ฝึกวรยุทธ ทั้งศิษย์จากนิยาย ศิษย์จากสำนัก และกระทั้งมีกลุ่มชุมนุมพเนจร ก็มีการมาตั้งแผงลอยขายของที่ได้จากการเพาะปลูก การล่าสัตว์อสูร หรือสมบัติที่จากเข้าไปสำรวจเขตแดนโบราณต่างๆ
“เชิญทางนี้ เกราะโซ่ทมิฬ ระดับนิมิตร อยู่ทางนี้แล้วมีที่นี่ชิ้นเดียวเท่านั้นหาที่ไหนอีกไม่ได้แล้ว” ชายวัยกลางคนที่ตั้งแผงลอยข้างริมทางตะโกนออกมา ข้างหลังของเขามีสหายยืนอยู่หลายคนด้วยกัน ทุกคนต่างก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการฆ่าฟัน นี่ทำให้ผู้คนที่มาเดินเลือกซื้อสินค้าไม่กล้าคิดที่จะเข้าไปดู
“พี่ชายสนใจ กระบี่หยกเย็นหรือไม่ มันเป็นสมบัติระดับนิมิตร เลยนะพี่ชาย” เด็กหนุ่มอายุ สิบเก้าถึงยี่สิบปีกล่าวกับชายหนุ่มที่กำลังเดินผ่านแผงลอยของเขา
“ศิลาทักษะ ใครต้องการศิลาทักษะเชิญทางนี้ ไม่ว่าจะเป็นศิลาทักษะระดับมนุษย์หรือมีกระทั้งศิลาทักษะระดับปฐพีก็ทั้งนั้น ราคาไม่แพงมาก” ชายชราประกาศขายศิลาทักษะด้วยความองอาจ
ในขณะนั้นเองเด็กหนุ่มวัย สิบเจ็ดถึงสิบแปดปีก็เดินเข้ามาถามชายชราที่ขายศิลาทักษะด้วยความเย่อหยิ่ง
“ตาแก่ เจ้ามีเคล็ดวิชากายา และเคล็ดวิชาเคลื่อนไหวระดับปฐพีหรือไม่”
ชายชราเห็นเด็กหนุ่มที่ใส่ชุดดูสง่างามดูดี เหมือนคนมีฐานะ ชายชรายิ้มพร้อมเลียปากพร้อมกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่
“หวานปากละคราวนี้”
จากนั้นชายชรารีบอธิบายด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนๆ ข้าต้องมีอยู่แล้วทักษะระดับปฐพี ถึงมันจะหายากอยู่ก็ตาม แต่ข้าก็มีขายอยู่เช่นกันไม่ทราบว่านายน้อยต้องเคล็ดวิชาแบบใด”
“เจ้าลองพูดเคล็ดวิชาที่เจ้ามีมาให้ข้าฟังดูซิ” เด็กหนุ่มกล่าวด้วยความไม่แยแส
“นี่เคล็ดวิชาก้าวไร้เงา เคล็ดวิชานี้ดีมาก สามารถเคลื่อนที่ภายในพริบตาได้ถึงสองร้อยเมตรเลยทีเดียว และนี่เคล็ดวิชาฟ้าทลาย มันเป็นเคล็ดวิชาที่หากใช้แล้วเจ้าสามารถเพิ่มความเร็วในการโคจรลมปราณทำให้ออกกระบวนท่าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น”
“เท่าไร” เด็กหนุ่มครุ่นคิดสักพักก่อนจะเอ่ยถามราคาอย่างไม่แยแส
“นายน้อย ราคาทั้งสองเคล็ดวิชานี้ไม่แพงเลยเพียงเจ็ดพันหินจิตมารเองเท่านั้น”
ในโลกแห่งนี้ผู้ฝึกวรยุทธสามารถฝึกทักษะที่แตกต่างกันออกไปได้หลากหลายสาขาและหลายแขนง ซึ่งในโลกแห่งการแลกเปลี่ยนสินค้า อาวุธ ชุดเกราะ เม็ดยา จะใช้หินจิตมารในการแลกเปลี่ยนเป็นส่วนใหญ่
เพราะหินจิตมารเป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่ให้สร้าง ชุดเกราะ อาวุธ หรือแม้กระทั้งการปรุงยา ซึ่งภายในหินจิตมารนั้น จะมีพลังงานชนิดหนึ่งที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของความเข้มข้นของเม็ดยาได้ และยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของอาวุธและชุดเกราะอีกด้วย
“ฮึ! ข้าจะเอาทั้งสอง” เด็กหนุ่มกล่าวพร้อมหยิบหินจิตมารออกมา
ชายชราหยิบศิลาก้อนหนึ่งพร้อมยื่นได้เด็กหนุ่มด้วยเร่งรีบ เด็กหนุ่มรับเอาศิลาแล้วรีบเดินจากไปทันที
ศิลาทักษะ สามารถแบ่งออกเป็นสามระดับ ระดับต่ำ ระดับกลาง และระดับสูง ระดับต่ำสามารถใส่เคล็ดวิชาได้สอง ระดับกลางสามารถใส่เคล็ดวิชาได้สี่ ระดับสูงสามารถใส่เคล็ดวิชาได้ถึงเจ็ด
ณ มุมหนึ่งของเมืองเทียนตี้ มีเด็กหนุ่มธรรมดาผู้หนึ่ง เสื้อผ้าที่เขาใส่เก่าขาดรุ่งริ่งไปหมด ตามร่างกายของเด็กหนุ่มผู้นี้ต่างก็มีคราบของเศษดินโคลนเปื้อนไปหมด ไม่เว้นแม้แต่เส้นผมที่ดูรกรุงรัง แล้วรูปร่างที่ดูซูบผอมราวกับว่าไม่ได้กินอะไรมาเป็นปีเสียอย่างนั้น
เด็กหนุ่มรูปร่างเหมือนขอทานผู้นี้มีนามว่า ฉางหยาง เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปี ไม่มีครอบครัวแม้แต่คนเดียว บิดาและมารดาของเด็กหนุ่มถูกฆ่าตายโดยสัตว์อสูร และบ้านของเขาก็ถูกสัตว์อสูรทำลาย ทำให้เขาไม่มีอยู่ต้องเดินทางร่อนเร่ไปทั่ว
แต่เขาก็ไม่เคยย้อท้อต่อโชคชะตาที่สวรรค์มอบให้ จิตใจของเขาเยือกเย็นและเกร่งดังภูผาเลยทีเดียว หลังจากสองปีที่บิดา มารดาของเขาได้สิ้นชีพลง เขาก็ได้เดินทางมาถึงเมืองเทียนตี้เมื่อสองวันก่อน