ตอนที่ 2 คัมภีร์
ในขณะเดียวกันที่ทิศตะวันออก ณ อาณาจักรหยวน ที่ซึ่งปกคลุมไปด้วยป่าและธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์มีสัตว์มากมายหลายสายพันธุ์อาศัยอยู่
ที่แห่งนี้ได้ถูกปกครองโดยราชันย์พฤกษา ภายห้องโถงลับมีชายชราแก่ซึ่งมีหูที่แหลมยาว ผิวพรรณขาว ระดับการบ่มเพาะของเขาก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน เพราะมันสามารถเทียบเท่า หลิ่วตง และฟงตี้ได้เลย
อย่างไรก็ตามภายในห้องโถงลับห้องแห่งนี้ ก็ได้มีวัตถุดิบมากมาย ไม่ว่าจะเป็นหยดเลือด ผลึก สมุนไพรล้ำค่า แถมยังมีเตาสำหรับปรุงยาถึงสามเตาด้วยกัน
แต่ว่าชาชราผู้นี้กลับมีหน้าที่เคร่งเครียดอย่างมาก เพราะตอนนี้เขาได้กำลังคิดค้นสูตรยาตัวใหม่ ที่จะสามารถตัดผ่านคอขวดที่เขากำลังเผชิญมันอยู่ หากเขาทำสำเร็จก็จะก้าวข้ามเข้าสู่ขอบเขตใหม่ที่ยากจะหยั่งถึงได้
ระหว่างนั้นเองก็มีแสงกระพริบถี่ๆ จากถุงเสื้อของชายชราผู้นี้ เขามองไปที่ถุงเสื้อของตนพร้อมคิ้วที่ขมวดแน่น แล้วหยิบเอาหยกที่มีแสงกระพริบขึ้นมา อัดพลังปราณเข้าไปปรากฏเป็นภาพของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งขึ้นพร้อมกับกล่าวบางอย่าง
“ท่านหยวนเฟิงตอนนี้ท่านต้องรีบออกมาจากห้องลับนะขอรับ เพราะที่ข้างนอกมันแสงอะไรก็ไม่รู้เกิดขึ้นบนท้องฟ้า แถมตอนนี้เหล่าผู้ฝึกวรยุทธก็พากันมุ่งหน้าไปที่แห่งนั้นแล้ว ขอรับ” ชายวัยกลางคนรายงานอย่างตกใจ
“เฮ้อ! เจ้าจะตกใจอะไรขนาดนั้นก็แค่แสงประหลาด มันอาจจะเป็นปรากฏการบางอย่างก็เป็นได้” หยวนเฟิงครุ่นคิดสักพักแล้วก็กล่าวออกมา
“เอาล่ะไปดูหน่อยก็ไม่เสียหายอะไร ส่วนเจ้าไปเรียกสี่ผู้พิทักษ์พร้อมกับปรมาจารย์ชั้นปราณปฐพีขึ้นไปมาอย่างน้อยสี่ร้อยคนมา” หยวนเฟิงกล่าวพร้อมกับหยิบผลึกขนาดเท่าเม็ดยาขึ้นมาใส่ถุงเสื้อ แล้วมองไปที่เม็ดยารางจำแลงแล้วหยิบมันใส่ถึงเสื้อเช่นกัน
ถูกต้องแล้วผลึกที่หยวนเฟิงหยิบมาก็คือผลึกใช้เปิดประตูมิตินั้นเอง แต่ผลึกอันนี้หยวนเฟิงได้ผ่านการทดลองมาเป็นเวลานาน ซึ่งเขาเองก็ได้เอาผลึกทิพย์ขนาดเท่าฝ่ามือจำนวน สาบสิบก้อนนำมาสกัดรวมกันให้อยู่ในก้อนเดียว ทำให้มีประสิทธิภาพในการเปิดประตูมิติโดยไม่ต้องเสียเวลารวบรวมละอองแสงเลย ซึ่งนี้ก็ไพ่ลับของเขาที่เอาหนี
ผ่านครึ่งชั่วโมง ชายวัยกลางคนก็กลับมาพร้อมกับผลึกทิพย์ขนาดเท่าฝ่าพร้อมกับเหล่า สี่ ผู้พิทักษ์และปรมาจารย์ที่ทรงพลัง
“นี่ขอรับ ผลึกทิพย์ เชิญท่านหยวนเฟิงเปิดประตูมิติได้ขอรับ” ชายวัยกลางคนกล่าวพร้อมกับยื่นผลึกทิพย์ในมือให้
หยวนเฟิงรับเอาผลึกทิพย์จากมือชายวัยกลางคน จากนั้นก็อัดพลังลมปราณเข้าไปผลึกที่อยู่ในมือก็แตกออกเสียงดัง
“เพล้ง”
เขาก็รีบรวบรวมละอองแสงเข้าด้วยกัน จนปรากฏเป็นช่องว่างขนาดห้าเมตรขึ้นกลางอากาศ
หยวนเฟิงเดินนำหน้าเข้าไปที่ประตูมิติทันที พร้อมกับกองกำลังของเขา แล้วประตูมิติก็หดตัวเล็กลงเรื่อยๆจนหายไป
ขณะเดียวกัน ณ ทิศตะวันตก ณ อาณาจักรไป๋
ภายในอาณาจักรแห่งนี้ส่วนมากได้ฝึกปรือเคล็ดวิชาเกี่ยวกับดาบทั้งนั้น ทำให้ผู้ฝึกวรยุทธที่อาศัยอยู่มีแต่จิตสังหารรุนแรงกันทั้งนั้น
แต่ว่าภายในอาณาจักรแห่งนี้ก็สิ่งที่โดดเด่นเช่นกัน แต่มันก็เป็นเพียงรูปปั้นขนาดสองร้อยเมตร ที่ยืนกางขาพร้อมแบกดาบขนาดยักษ์อยู่บนบ่า หากมองดูแล้วก็ยิ่งทำให้รู้สึกยําเกรงเป็นอย่างมาก ส่วนข้างล่างของรูปปั้นเป็นที่พักของ ไป๋หยู่ผู้ซึ่งมีอำนาจสูงสุดในอาณาจักรแห่งนี้
ในสนามฝึกซ้อมเกิดเสียงดัง “ปัง ปัง ตูม” ตลอดเวลา ใช่แล้วมันเป็นเสียงของเหล่าผู้ฝึกวรยุทธที่กำลังฝึกซ้อมกันอยู่ ซึ่งภายในสนามฝึกซ้อมนี้ได้มีการติดตั้งผลึกแสงจันทร์ไว้เพื่อดูดซับแสงจันทร์แล้วรวบพลังงานปล่อยออกมาเป็นแสงสว่าง
ที่ข้างสนามได้มีชายวัยกลางคนกำลังยืนดูอยู่ เขาคือผู้ปกครองอาณาจักรไป๋ ไป๋หยู่นั้นเอง ระหว่างนั้นก็มีบ่าวเดินมาอย่างเร่งรีบพร้อมกับรายงาน
“นายท่าน ข้าน้อยได้รับข่าวมาว่า มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นบนท้องฟ้าขอรับ”
“เหตุการณ์ประหลาด?” ไป๋หยู่ขมวดคิ้วแน่น เขาไม่เข้าใจที่บ่าวได้รายงานมาเสียเลย
“ใช่แล้วขอรับ มันเป็นแสงที่ปรากฏขึ้นเหนือหุบเขา ซึ่งตอนนี้สายของเรารายงานว่า ทั้งสามอาณาจักรกำลังมุ่งหน้าไปที่นั้นเช่นกัน”
ไป๋หยู่ตกใจเล็กน้อย เพราะไม่คาดคิดเลยว่าสวะทั้งสามจะไปด้วย เขามองไปที่บ่าวแล้วกล่าวด้วยเสียงที่นุ่มลึก
“เจ้ารีบไปเตรียมกำลังพลมาให้ข้า แล้วอย่าลืมเรียกผู้อาวุโสหลักกับเหล่าปรมาจารย์ดาบคลั่งมาด้วย”
“ขอรับข้าน้อยจะรีบจัดการอย่างเร่งด่วน” บ่าวรีบกล่าวและจากไปอย่างเร่งรีบ
ณ หุบเขาบริเวณที่ปรากฏแสงประหลาด
ประตูมิติได้ถูกเปิดขึ้นทั้งสี่บานในเวลาเวลาใกล้เคียงกัน แล้วเหล่าผู้ฝึกวรยุทธจำนวนมากก็เดินออกมาจากประตูมิติอย่างพร้อมเพรียง แต่ละคนต่างก็มีระดับการบ่มเพาะที่สูงกันทั้งนั้น โดยเฉพาะผู้ที่เดินนำหน้าของแต่ละกลุ่มยิ่งทำให้ผู้เห็นแล้วต้องรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว
เพราะพวกเขาก็คือเหล่าผู้อาวุโสและผู้นำของแต่ละอาณาจักรนั้นเอง
เหล่าผู้ฝึกวรยุทธที่กำลังมาต้องแสงประหลาดต้องชี้ออกไป พร้อมกับกล่าวด้วยเสียงที่สั่นเครือ
“นะ...นั้นมัน เทพหลิ่วตง นะ..นั้น ราชันย์มาฟงตี้ นั้นก็ราชัยพฤกษาหยวนเฟิง บ้าน่าแม้แต่ผู้ได้ฉายาว่าเทพดาบ ไป๋หยู่ก็มาด้วย น...นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“นี่มันอะไรกันทำไมขุมพลังที่แข็งแกรงถึงได้มาพร้อมกันอย่างนี้” อีกคนก็กล่าวเสริมขึ้นมา
ส่วนทางด้านของหลิ่วตง พอได้มาถึงสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไปทันที เพราะศัตรูทั้งสามของเขาก็ได้มาเช่นกัน แถมยังเตรียมกองกำลังมาเหมือนเขาไม่มีผิดเพี้ยน อีกสามคนที่เหลือก็รู้สึกไม่ต่างกันเท่าไรนัก
หลิ่วตงก้าวเดินออกมาข้างหน้ามองไปที่ทั้งสามด้วยสายตาที่รังเกียจแล้วกล่าวถามออกไปอย่างใคร่รู้
“พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่”
“ฮ่าๆ ไอ้แก่! คิดว่าแกเป็นคนเดียวเท่านั้นที่รู้เรื่องแสงประหลาด สายข่าวของข้าก็ฝีมือดีเหมือนกัน ทำอย่างกับข้าเป็นคนโง่นัก แกก็ยิ่งโง่กว่าข้าเสียอีก” ราชันย์มารกล่าวด้วยความดูถูก
“ฮึ! โอหังยิ่งนัก” หลิ่วตงรู้สึกเสียหน้าอย่าง นี่มันเหมือนกับว่ามาหักหน้ากันชัดๆ
“ฮ่าๆ หรือเจ้าอยากจะลองดีกับข้าสักสองสามกระบวนท่า แก่ใกล้ลงโลงอยู่แล้วยังไม่รู้จักเจียมตัวอีก อย่างนี้คงต้องสงเคราะห์ให้เสียหน่อยแล้ว” ราชันย์มารกล่าวอย่างเยาะเย้ยพร้อมเริ่มโคจรพลังลมปราณเตรียมเข้าปะทะ
ทั้งสองฝ่ายได้โคจรพลังปราณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับปล่อยจิตสังหารออกมาอย่างรุนแรง เตรียมที่จะเข้าต่อสู้กัน
ในด้านของราชันย์พฤกษาหยวนเฟิงและเทพดาบไป๋หยู่ที่มาจากสองอาณาจักร เห็นสถานการณ์เริ่มไม่สีเสียแล้ว ทำให้หยวนเฟิงยืนอยู่ได้แต่ถอนหายใจพร้อมกับเตือนสิตทั้งสอง
“พวกเจ้าทั้งสองหยุดได้แล้ว พวกเจ้าจะมาดูแสงประหลาดหรือว่าพวกเจ้าจะมาต่อสู้กัน”
ได้ยินเช่นนั้นทั้งสองอาณาจักรก็ค่อยๆลดพลังปราณของตัวเองลงพร้อมกัน
ในขณะนั้นเองแสงประหลาดที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า ได้ถูกดูดกลืนหายหายไปภายในเวลาไม่นาน แล้วสักพักมันก็ปล่อยคลื่นพลังลมปราณมหาศาลออกมาแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ
ทั้งสี่อาณาจักรต่างก็มีใบหน้าซีดขาวลง ทั่วร่างสั่นสะท้านอย่างรุนแรง สายตาของพวกเขาทั้งหมดจ้องไปที่จุดที่แสงประหลาดได้หาย
พริบตานั้นเองที่แสงได้หายไปปรากฏอักขระโบราณสีแดงเข้ม กระจายตัวออกมาตามด้วยแรงกดดันที่สามารถบดขยี้ทุกสรรพสิ่งให้อยู่ในแทบเท้าได้ในพริบตา
อักขระโบราณที่ลอยอยู่กลางอากาศถูกดูดกลับไปอย่างรวดเร็ว แล้วเผยให้เห็นศิลาเก่าแก่ส่องแสงกระพริบถี่ๆ
เหล่าผู้ฝึกวรยุทธจ้องมองไปที่ศิลาโบราณอย่างไม่วางตา เพราะนั้นต้องเป็นศิลาทักษะอย่างแน่นอน แต่ทว่ามันจะเป็นเคล็ดวิชาระดับใดกันแน่ ถึงสามารถปล่อยแรงกดดันหนักหน่วงขนาดนี้ออกมาได้
หลิ่วตงมองไปที่ศิลาทักษะด้วยความโลภแล้วพึมพำอออกมาอย่างลืมตัว
“นะ....นั้นมันต้องเป็นศิลาทักษะแน่นอนเป็นไปได้ว่าในนั้นอาจมีเคล็ดวิชาที่ทรงพลังมากเป็นแน่ หากข้าได้มันมาครอบครองละก็ เมื่อนั้นข้าจะกลายเป็นราชันย์อย่างแน่นอน”
ในโลกของผู้ฝึกวรยุทธจะมีเคล็ดวิชาอยู่มากมาย แต่เคล็ดวิชาเหล่านั้นจะไม่มีการบันทึกลงในกระดาษแต่จะบันทึกลงในศิลาทักษะเพื่อป้องเกิดการกระดาษชำรุดหรือเสียหาย
หากกระดาษเสียหายก็จะทำให้ฝึกเคล็ดวิชาไม่สมบูรณ์ นี้จึงทำให้ต้องมีการนำมาบันทึกใส่ศิลาทักษะแทน แต่ศิลาทักษะนั้นสามารถก็มีข้อเสียเหมือกันเพราะสามารถใช้ได้ครั้งเดียวเท่านั้น
ส่วนการใช้ศิลาทักษะก็เพียงแต่หยดเลือดลงไปในศิลาทักษะพร้อมกับอัดพลังปราณเข้าไปเพื่อทำลายศิลาจากนั้นเคล็ดวิชาก็จะเข้าอยู่ในร่างกายของผู้ทำลายทันที ในขณะเดียวกันหากผู้ฝึกวรยุทธต้องการถ่ายทอดเคล็ดวิชา ก็ต้องถ่ายโอนเคล็ดวิชาเข้าไปในศิลาทักษะใหม่อีกครั้ง
“มันอาจจะเป็นเคล็ดวิชาระดับอมตะก็ได้” เทพดาบไป๋หยู่กล่าวด้วยความตื่นเต้น
“ฮ่าๆๆ มันต้องเป็นของข้า พวกเราชิงศิลาทักษะมาให้ข้า” ราชันย์มารฟงตี้กล่าว พร้อมออกคำสั่งทหารเลว
“ฝันไปเถอะ จัดการพวกมันเร็วเข้า” ราชันพฤกษาหยวนเฟิงกล่าว
“พวกเจ้าไปขัดขวางมันไว้ อย่าให้ใครได้ศิลาทักษะไปได้” เทพดาบไป๋หยู่กล่าวพร้อมออกคำสั่ง
หลิ่วตงมองไปยัง ฟงตี้ ไป๋หยู่ และหยวนเฟิง ที่กำลังพุ่งตัวออกไปเพื่อเอาศิลาทักษะ เขาเผยรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อย แล้วโคจรพลังปราณให้ไหลไปรวมอยู่บริเวณเท้าจนเกิดออร่าสีขาวอ่อนๆ
“พรึบบ”
เขารีบใช้เคล็ดวิชา ย่างก้าวแสงจันทร์ ระดับเทวะอย่างรวดเร็วจนทำให้ร่างของหลิ่วตงหายไปทันที ปรากฏตัวอีกครั้งก็อยู่ข้างหน้าห่างจากศิลาทักษะยี่สิบเมตรแล้ว ก่อนจะพุ่งตัวไปข้างหน้าเพื่อที่จะคว้าเอาศิลาทักษะมาให้ได้
ระหว่างนั้นเองราชันย์มารฟงตี้ เห็นท่าไม่ดีก็รีบโคจรพลังปราณไว้ที่แขนทั้งสองข้าง จนแขนทั้งสองข้างปรากฏเป็นออร่าสีฟ้าอ่อนๆ ราชันย์ฟงตี้คำรามลั่น “ตัดทมิฬ” แล้วตวัดข้างซ้ายและขวาออกเป็นรูปจันทร์เสี้ยวพุ่งตรงไปยังหลิ่วตง
เมื่อหลิ่วตงสัมผัสถึงแรงกดดันมหาศาลพุ่งเข้าจากข้างหลัง พอหันหลังกับไปดู ก็เห็นใบมีดสีฟ้าอ่อนๆ เป็นรูปจันทร์เสี้ยวพุ่งมาด้วยความเร็ว แต่หลิ่วตงหาได้ตกใจไม่ แล้วคำรามออกมาดังลั่น
“ผนึกสุริยัน”
ปรากฏเป็นมือเพลิงขนาดยักษ์พุ่งเข้าปะทะกับใบมีดจันทร์เสี้ยว เกิดระเบิดดังสนั่นขึ้น
“ตูม”
ใบมีดจันทร์เสี้ยวถูกกลืนหายเข้าไปในมือเพลิงขนาดยักษ์ทันที