ตอนที่ 1 เเสงประหลาด
ณ ดวงดาวที่แสนไกลออกไปซึ่งเป็นที่ปกครองของเหล่าผู้ทรงอำนาจของหลายเผ่า ในค่ำคืนของวันหนึ่งบนท้องฟ้ายามราตรี ปรากฏแสงประหลาดส่องแสงสว่างไปทั่วบริเวณเปลี่ยนท้องฟ้ายามราตรีให้เป็นยามรุ่งสางภายในพริบตา
ขณะนั้นเองทางด้านทิศเหนือ ณ อาณาจักรหลิ่ว ซึ่งเป็นที่อยู่ของเหล่าเทพ อาณาจักรหลิ่วแห่งนี้ได้ถูกปกครองโดยชายผู้หนึ่งนามว่าหลิ่วตง ภายในอาณาจักรมีสิ่งปลูกสร้างมากมายพร้อมพระราชวังทองคำที่เปล่งประกายสวยงาม
ในห้องโถงขนาดใหญ่ได้มีชายชราที่ยืนอยู่อย่างเคร่ง ทั้งหมดมีด้วยกันสิบคนแต่ทว่าระดับการบ่มเพาะของชายชราทั้งสิบมิอาจดูถูกได้เลย พวกเขาทั้งหมดคือเหล่าผู้อาวุโสสูงสุดของอาณาจักรหลิ่ว
อย่างไรก็ตามโดยเฉพาะชายชราที่นั่งอยู่บนแท่นพระราชา เขากลับสามารถปกครองอาณาจักรแห่งนี้ได้ นั้นย่อมเป็นเพราะระดับการบ่มเพาะที่สูงส่งของเขาแน่นอน ใช่แล้วชายชราผู้นี้มีนามว่า หลิ่วตง ผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุดของอาณาจักรนี้
“ปัง”
ประตูของห้องโถงของพระราชวังได้ถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยร่างชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ แต่ทันที่เขาจะกล่าวอะไรก็มีเสียงชายชราดังขึ้นมาเสียก่อน จนทำให้เขารู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัวเลยทีเดียว
“เจ้ารู้หรือเปล่า ที่แห่งนี้มันที่ไหน มันไม่ใช่ที่คนอย่างเจ้าจะเข้ามาโดยพลการได้”
“ขะ...ข้าน้อยต้องขอประทานอภัยด้วยที่ข้าน้อยเข้ามาโดยไม่บอกกล่าว แต่ทว่าข้าน้อยสิ่งที่สำคัญต้องมารายงานให้ท่านหลิ่วตงได้ทราบ ขอรับ” เทพชั้นปฐพีกล่าวด้วยความระวัง
“กล่าวมา หากไม่ใช่เรื่องสำคัญเจ้าเตรียมตัวรับโทษทัณฑ์ได้เลย” ชายชราคนเดิมกล่าว
“ตอนนี้ที่ท้องฟ้ายามราตรี พวกเราได้รับรายงานว่ามีแสงประหลาดปรากฏขึ้นเหนือหุบเขา ขอรับท่านหลิ่วกูซาง” เทพชั้นปฐพีก้มหน้ากล่าวอย่างระมัดระวัง
“อืม เป็นเช่นนั้นรึ เอาล่ะเจ้าออกไปก่อน” หลิ่วตงโบกมือให้ทหารรักษาการออกไปก่อน จากนั้นเขาก็มองไปที่ชายชราทั้งสิบที่ยืนอยู่แล้วกล่าวถามออกไป
“แล้วพวกเจ้า รู้อะไรหรือไม่ แสงนั้นมันคืออะไร ปกติมันก็ไม่น่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในยามวิกาลแบบนี้ได้”
“ขอประทานอภัย ข้าน้อยไม่ทราบแน่ชัด แต่ว่าหากจะให้ข้าน้อยคาดเดาเสียละก็ แสงอันนั้นมันอาจจะเป็นอะไรที่มิสามารถจินตนาการได้อย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าจะเป็นอาวุธหรือชุดเกราะ หากสามารถส่องแสงเปล่งประกายได้มันก็ต้องเป็นสมบัติระดับสูงอย่างไม่ผิดพลาดเลย ขอรับ” ชายชราอีกคนได้กล่าวอธิบายความคิดของตนขึ้นมา
“เฮ้อ! แสงนั้นเพิ่งเกิดขึ้นมา ยังไม่ได้ไปดูแล้วจะได้อย่างไร” หลิ่วกู่ซางถอนหายอยู่ภายในอย่างเบื่อหน่าย เพราะยังไม่ดูก็คาดเดากันเอาเสียแล้ว
หลิ่วตงครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะมองไปที่ชายชราทั้งสิบแล้วกล่าวออกไปอย่างเสียงดัง “ออกคำสั่งไป ให้เตรียมพร้อมทุกสถานการณ์ที่เกิด เตรียมเทพชั้นปฐพีร้อยนาย เทพชั้นโลกา ห้าสิบนาย และพวกเจ้าทั้งสิบคนมากับข้าด้วย”
ที่ด้านนอกพระราชวังทองคำ ได้มีลานกว้างสำหรับฝึกซ้อมต่อสู้กันอยู่ ซึ่งในค่ำคืนนี้เป็นสถานการณ์เร่งด่วน จึงทำให้เหล่าเทพมากมายมารวมกันอยู่ที่แห่งนี้
ภายในลานกว้างมีเหล่าทหารรักษาการเกือบสองร้อยตนเลยทีเดียว ทุกคนมีระดับบ่มเพาะที่สามารถสั่นคลอนได้แม้กระทั่งขุนและสายน้ำเลยทีเดียว แต่ที่ข้างหน้าของพวกเขาก็มีเหล่าผู้อาวุโสระดับสูงยืนเรียงกันอยู่
หลิ่วตงที่ยืนอยู่มองไปที่หลิ่วกู่ซางแล้วกล่าวบางอย่างพร้อมกับยื่นตราประทับคลังเก็บสมบัติให้
“หลิวกู่ซาง เจ้าไปที่คลังสมบัติแล้วเอาผลึกทิพย์มา”
“ขอรับ”
หลิ่วกู่ซางรับเอาตราประทับรีบเหาะไปยังห้องคลังเก็บสมบัติทันที
สิบห้านาทีผ่านไป หลิวกู่ซางก็กลับมากพร้อม ผลึกใสรูปร่างแปลกตาส่องประกายสะท้อนกับแสงจันทร์อย่างสวยงาม
ในผนึกใสอันนี้มันกลับมีพลังงานอันลึกลับอัดแน่นรวมกันอยู่ แต่ก็มีจำนวนที่น้อยเพราะไม่รู้แหล่งกำเนิดที่แน่นอนของมัน อย่างไรก็ตามมันก็จำเป็นสำหรับใช้เดินในระยะไกลเป็นอย่างมาก
ใช่แล้วผลึกใสอันนี้มันเป็นของสำหรับเปิดประตูมิติเพื่อไปยังสถานที่เป้าหมาย ยิ่งระยะทางไกลเท่าไรก็ต้องให้ผลึกเป็นจำนวนมากในการเดินทาง ในทางกลับกันผู้ใช้ผลึกทิพย์จะต้องมีระดับการบ่มเพาะสูงส่งพอจะทำลายมันได้ แล้วก็สามารถรวบรวมพลังงานในผลึกมาสร้างเป็นประตูมิติ
“นี่ ขอรับท่านหลิ่วตง” หลิ่วกู่ซางกล่าว
หลิ่วตงมองไปที่ผลึกทิพย์แล้วยื่นมือไปหยิบมันขึ้นมา แล้วอัดพลังลมปราณเข้าไปในผลึกอย่างมหาศาล พร้อมกับมือที่กำผลึกแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นมา
“เพล้ง”
ผลึกทิพย์ได้แตกกระจายออกมา ปรากฏเป็นละอองแสงสีทองขนาดเล็ก ภายในพริบตาละอองแสงสีทองอ่อนๆก็ได้ถูกรวบรวมเข้ามาไว้ที่จุดเดียวโดยหลิ่วตง
“วื้งงง”
ที่จุดรวบละอองแสง ปรากฏช่องว่างขนาดห้าเมตรขึ้นมา หลิ่วตงหันหลังกลับไปแล้วกล่าวออกไปด้วยเสียงที่เรียบนิ่ง
“เอาล่ะไปกันแล้ว”
เหล่าเทพได้พากันเดินทางเข้าสู่ประตูมิติทีละตนๆ สักพักประตูมิติค่อยๆหดตัวกลับมาเล็กลงเรื่อยๆจนจางหายไปในอากาศเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
ทางทิศใต้ ณ อาณาจักรฟง
ภายในอาณาจักรแห่งนี้เป็นที่ปกครองของเหล่าเผ่าพันธุ์อสูร เพราะพื้นที่ทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยปราณทมิฬ ซึ่งมันก็เป็นอันตรายต่อเผ่าพันธุ์เช่นกัน
อย่างไรก็ตามอาณาจักรฟง ก็ยังถูกราชันย์ผู้น่าเกรงขามนามาว่า ฟงตี้ปกครองอยู่ ภายในอาณาจักรก็จะมีปราสาทตั่งเด่นสง่าอยู่แถมมันยังถูกสร้างขึ้นจากหินเพลิง ซึ่งมันเป็นหินที่มีคุณสมบัติแข็งทนทานเป็นพิเศษเนื่องจากมันได้ดูดซับเอาปราณทมิฬที่อยู่รอบๆเข้ามาสะสมไว้ในตัวของมัน จึงทำให้แม้แต่ดาบเหล็กกล้าก็ไม่สร้างรอยขีดข่วนให้มันได้
ภายในปราสาท
ที่ห้องพักแห่งหนึ่ง ข้างหน้าประตูมีทหารรักษาการยืนอยู่สองคน ทั้งสองเห็นทหารอีกผู้หนึ่งวิ่งมาด้วยท่าทางที่แตกตื่น พวกเขาทั้งสองคิ้วเริ่มขมวดแน่นก่อนจะมีหนึ่งคนถามออกไป
“อะไรเช่นนั้นรึ ถึงได้วิ่งมาด้วยท่าทางรีบร้อนอย่างนี้”
“ข้ามารายงายเหตุการณ์สำคัญบางอย่าง ขอให้ข้าได้พบท่านฟงตี้ได้หรือไม่”
“ไม่! เดียวข้าจัดการเอง”
หลังจากที่บอกเล่าเรื่องราวกันเสร็จแล้ว หนึ่งในทหารรักษาการที่อยู่ รีบเปิดประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว
“ปัง”
เสียงประตูดังก้องพร้อมร่างทหารรักษาการที่อยู่หน้าประตูเดินเข้ามา แต่รูปร่างของทหารผู้นี้แปลกประหลาดเป็นอย่างมากมีแขนและขาคล้ายกบ รูปล่ำสัน หัวเป็นหัวสิงโตนั้นเองแต่พลังปรานที่ปล่อยออกมานั้นมิอาจดูถูกได้
เขาได้เดินเข้าไปที่เตียงนอนมาด้วยความเร่งรีบและคุกเข่าลงหนึ่งข้างแล้วกล่าวออกไป เขาผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นเข้าคือ ทหารรักษาการคนสนิทของฟงตี้ นาม ตื๋อหวี่ แต่ก่อนที่เขาจะได้กล่าวอะไรก็มีเสียงดังออกมาหลังผ้าม่าน
“มีอะไรรึ ทำไมถึงเข้ามาโดยไม่บอกกล่าวต่อข้าเช่นนี้”
“ข้าน้อยต้องขออภัย แต่นี่มันเป็นเรื่องด่วนมาก เพราะตอนนี้มีแสงประหลาดเกิดขึ้นเหนือหุบเขา เหล่าผู้ฝึกวรยุทธจำนวนมากก็มุ่งไปที่แห่งนั้นแล้ว” ตื๋อหวี่ รีบรายงานอย่างเร่งรีบ
“แสงรึ? แล้วเจ้ารู้หรือไม่มันคืออะไร” ฟงตี้กล่าวพร้อมขมวดคิ้ว
“ไม่ขอรับ แต่ข้าว่าท่านน่าจะไปตรวจสอบมันเสียหน่อยนะขอรับ” ตื๋อหวี่รีบรายงาย
ฟงตี้ครุ่นคิกสักพักก่อนจะกล่าวออกคำสั่งไป“ข้าว่าพวกสวะสี่ตัวนั้นต้องไปดูด้วยแน่นอน แล้วข้าจะพลาดมันได้อย่างไร ส่วนเจ้าเรียกระดมพลอย่างเร่งด่วน เตรียมทหารชั้นปราณปฐพี สองร้อยนาย และทหารปราณชั้นโลกา ร้อยนายให้พร้อม เอ่อ! แล้วก็เอาผลึกทิพย์มาด้วยข้าให้เวลาเจ้า ครึ่งชั่วโมง”