AST บทที่ 67 – ปราณเทวะเซียนเทียน เหวินเหรินอูซวง
บทที่ 67 – ปราณเทวะเซียนเทียน เหวินเหรินอูซวง
หลังจากที่ชิงสุ่ยกล่าวอย่างโมโห เขาก็ต้องไปยังหญิงสาวแสนสวยทั้ง 2 อย่างช้าๆ “เวรเอ๊ย ข้าหยาบคายเกินไปหรือเปล่า แม้ว่ามันจะทำให้ข้าดูโง่ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้าไม่ควรจะมาสูญเสียความบริสุทธิ์ในสถานที่แห่งนี้”
“เอออออออ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
“เข้าใจแล้วล่ะ ในความเป็นจริง ข้าเองก็เข้าหาท่านด้วยเหตุผลประการอื่น ท่านคือชิงสุ่ยผู้ที่เอาชนะเหล่านายน้อยจากตระกูลทั้ง 4 ใช่หรือไม่?”
ชิงสุ่ย ยกคิ้วอย่างไม่พอใจ ไม่มีใครเต็มใจที่ถูกติดตามและสอบสวน แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ที่เอาชนะเราคนที่ไม่มีอะไรดี แต่ชื่อของเขานั้นก็ไม่ควรจะเป็นที่รู้จักของชาวบ้านทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 4 ตระกูลเขายิ่งควรเก็บความลับนี้ไว้ เว้นแต่ว่าพวกเขานั้นใช้วิธีการพิเศษในการตรวจสอบ มันไม่มีทางเลยที่ชื่อเขาจะปรากฏขึ้น
“ท่านอย่าเพิ่งเข้าใจผิด พวกเราไม่ได้ตรวจสอบใดใดท่านเลย ในวันนั้น เมื่อท่านเอาชนะนายน้อยเรานั้น ข้าเองก็อยู่ใกล้ๆและได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง และในวันนี้เมื่อข้าเห็นท่านอยู่ที่ถนน ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของน้องสาวข้า แผนแบบนี้จึงถูกกำหนดขึ้น” เสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากใบหน้าที่น่ารักน่าเอ็นดูของน้องสาวคนนั้นพยายามที่จะระงับความโกรธของชิงสุ่ย
“ความงามที่ปรากฎนี้สามารถสั่นคลอนได้ทั้งจักรวรรดิ”เมื่อเขาเห็นรอยยิ้มของเธอ ชิงสุ่ยก็ไม่อาจทำอะไรได้อีก
“เจ้าสองคนเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกันเช่นนั้นหรือ? แล้วกิจการหอนางโลมแห่งนี้คงจะเป็นของพวกเจ้าทั้งสอง?”ชิงสุ่ยถามหลังจากที่เขาสงบสติอารมณ์ลงแล้ว
“แน่นอน เธอเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด พี่สาวข้า มีนามว่า เหวินเหรินอูกั่ว และตัวข้านั้นเหวินเหรินอูซวง!!” บางทีคำพูดบางคำอาจจะแสดงถึงความจริงใจ เช่นเดียวกับที่ เหวินเหรินอูซวง บอกชื่อของเธอโดยไม่ต้องถามใดๆทั้งสิ้น
“หอนางโลม เป็นกิจการของพี่สาว 5 ส่วนข้านั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยทำเพียงแค่เดินไปเดินมา” เหวินเหรินอูซวง เอ็นหัวเล็กน้อยและยิ้มไปที่ชิงสุ่ย
“ยังมีคำถามอื่นอีกไหมที่ท่านต้องการจะถามข้า”เหวินเหรินอูกั่ว ถามออกมา
เมื่อเทียบระหว่างเหวินเหรินอูซวง เหวินเหรินอูกั่วนั้นเรียกได้ว่ามีพื้นฐานที่เกิดมาจากความมีเสน่ห์ ทุกอย่างเกี่ยวกับเธอไม่ว่าจะเป็น คุณสมบัติ ร่างกายและท่าทาง ทั้งหมดต่างบ่งบอกว่าเธอนั้นน่าหลงใหล หากชิงสุ่ยต้องเลือกระหว่างพบเธอทั้งสอง เขาคงเลือกร่วมเตียงกับเหวินเหรินอูกั่ว ชายชาตรีทุกคนนั้นหลงใหลที่จะได้ร่วมเตียงกับสตรีที่เขาชอบ แม้ว่าจะจะถูกไฟเผาอย่างร้อนรุ่มแต่มันก็ดีกว่าเป็นปลาที่ตายแล้ว
“อย่างไรก็ตาม หากข้าสามารถล้างสมองและใช้งานน้องสาวของเธอเพื่อให้มีประโยชน์ของข้าได้ล่ะก็ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าคงตายตาหลับแน่ๆ!!!”ชิงสุ่ยเริ่มเพ้อฝันอีกครั้ง
“หากข้าเป็นนักบุญหรือคณะสงฆ์ ข้าคงหลีกเลี่ยงความตระกะตระกามและความปรารถนานี้ได้ แต่อย่างไรซะข้าเองก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดา ข้าจึงไม่ผิดใดๆทั้งสิ้น”ชิงสุ่ย เริ่มพูดพึมพำ ทำให้ 2 สาวเต็มไปด้วยความอยากรู้
“แต่ข้าเองยังไม่เข้าใจ การที่จะสามารถทำธุรกิจแบบนี้ได้จะต้องได้รับความสนับสนุนจากผู้ที่มีพลังอันแข็งแกร่งในระดับหนึ่ง”ชิงสุ่ยถามเหวินเหรินอูกั่ว แม่คำถามดูเหมือนจะรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวของเธอ แต่ชิงสุ่ยก็ยังคงถามต่อ
“ใครกันที่บอกเจ้าว่าข้านั้นไม่มีความแข็งแกร่ง? เจ้าเองก็ไม่สามารถบอกระดับพลังของเหวินเหรินอูซวงน้องสาวข้าได้สอนะ” เหวินเหรินอูกั่วกระพริบตา อย่างช้าช้าๆในขณะที่เธอถามชิงสุ่ย
เมื่อได้ยินดังนั้นชิงสุ่ยก็หันศีรษะเพื่อไปตรวจสอบ เหวินเหรินอูซวง ใบหน้าอันน่าหลงใหลประกอบกับสายตาที่ดูสดใส ผิวพรรณที่ดูคล้ายกับหยก จมูกสูงเล็กน้อยริมฝีปากเล็กแต่งแต้มไปด้วยสีแดง มันอธิบายได้เยี่ยมย่อมเลยว่ามันคือดอกบัวหิมะท่ามกลางก้อนหินภูเขาไฟ
แม่รูปร่างของเธอนั้นไม่อาจเทียบกับพี่สาวของเธอได้ แต่มันช่างดูคล้ายกับแม่นางอวี้เหอมาก แต่เรื่องสติปัญญาความชาญฉลาด ยังคงไม่อาจเทียบได้ เนินอกโค้งเว้าอวบอิม แม้จะถูกปกปิดด้วยชุดคลุมแต่เคยเห็นถึงรูปทรงของก้นอันน่าพิสมัย ภายใต้ขาอันยาวเรียวสะท้อนให้เห็นถึงผิวพรรณบริสุทธิ์ราวหยก ปลุกอารมณ์ความปรารถนาให้กับชายที่ได้พบเห็น
ผู้หญิงคนนี้หากเปรียบเทียบเป็นคำพูด เกือบสมบูรณ์แบบ ร่างกายของเธอนั้นปลดปล่อยกลิ่นอายราวกับอยู่บนหวงสวรรค์
“กลิ่นอายนี้มันช่างลึกลับ!” ดวงตาของชิงสุยจับจ้องไปยังเหวินเหรินอูซวง ในขณะที่เขาพยายามจะค้นหาความลึกลับนั้น
หากพิจารณาจากคำพูดของ เหวินเหรินอูกั่ว ที่ว่า “ข้าเองก็ไม่อาจรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของพี่สาวข้า เหวินเหรินอูซวง
แม้ว่าชิงสุ่ยจะไม่เข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ภายใต้ประโยคนี้
“ในเมืองร้อยไมล์ แห่งนี้ ผู้คนยังพอสามารถนับตัวเลขของผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุดของระดับอาณาจักรปราณโฮ่วเทียน แต่สำหรับ ผู้ที่บรรลุระดับพลังปราณเทวะเซียนเทียน กลับไม่มีผู้ใดล่วงรู้ หอนางโลมแห่งนี้เป็นสถานที่ที่นิยมมากสำหรับเหล่าชายชาตรี แต่จะมั่นใจได้อย่างไรว่าพวกเขาจะไม่ก่อความวุ่นวายที่นี่
นั่นก็หมายความว่า หอนางโลมแห่งนี้จะต้องมีความแข็งแกร่งมากกว่าพวกเขาหลายเท่า นั่นก็หมายความว่า เบื้องหลังของ 2 พี่น้องคนนี้ จะต้องมีคนที่แข็งแกร่งและมีสถานะที่ยิ่งใหญ่สนับสนุนพวกเขา
“เจ้าหยุดเดาได้แล้ว ทั้งข้าและน้องสาวข้านั้นต่างเป็นเด็กกำพร้าและถูกเลี้ยงดูโดยอาจารย์ผู้ฝึกสอนข้า อย่างไรก็ตาม เขานั้นประสบโชคร้าย และเสียชีวิตลงเมื่อไม่กี่ปีก่อน หากในอดีต ท่านอาจารย์ของพวกเรายังมีชีวิตอยู่ จะไม่มีผู้ใดกล้าสร้างปัญหาให้กับหอนางโลมแห่งนี้ได้เลย แต่หลังจากที่เขาเสียชีวิตลง เราก็ไม่กล้าเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป ดังนั้นพวกเราจึงยังคงอยู่ภายใต้การปกป้องจากชื่อของท่านอาจารย์ของเรา แต่มันก็ยังโชคดีสำหรับเรา เมื่อต้นปีที่ผ่านมา อูซวงนั้นก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ข้าจึงค่อนข้างจะหมดห่วง”เหวินเหรินอูกั่ว อธิบาย
ชิงสุ่ยขยับคิ้วเล็กน้อย ในขณะที่ฟังคำอธิบายจาก เหวินเหรินอูกั่ว แม้ว่าอูซวงจะบรรลุถึงระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์ เธอก็คงไม่อาจแข็งแกร่งพอที่จะหยุดชายหนุ่มจากตระกูลต่างๆที่มาสร้างปัญหาณ ที่แห่งนี้เว้นเสียแต่……..
“มันอาจจะเป็น….. ระดับพลังปราณเทวะเซียนเทียน?” ชิงสุ่ยตกใจและเดินถอยหลังด้วยความกลัว ขณะมองไปยังเหวินเหรินอูซวง
เหวินเหรินอูซวงพยักหน้าอย่างสวย “ในช่วงเวลานั้นค่าประสบเคราะห์กรรมจำนวนมากกว่าที่คาดจะสามารถบรรลุมาถึงขั้นนี้ได้ มันยังคงรู้สึกราวกับเหมือนฝัน” ท่ายกแขนเสื้อขึ้นเฉยเห็นมือหยกสีขาว เหวินเหรินอูซวงยื่นแขนข้างหนึ่งออกไปช้าช้าปลดปล่อยคลื่นพลังงานออกมา กลิ่นอายที่เธอปลดปล่อยออกมานั้นเทียบได้กับ กระบี่นับหมื่นเล่ม ที่กำลังข่มขู่ชิงสุ่ย ก่อนที่เธอจะถอนพลังกลับ
ชิงสุ่ยยืนแข็งทือ เขารู้ตัวดีว่าเขานั้นพึ่งได้สัมผัสกับกลิ่นอายของพลังปราณเทวะเซียนเทียน โดยเฉพาะคลื่นพลังอันน่ากลัวอัดแน่นไปด้วยแรงกดขี่ข่มเหง เขารู้สึกว่าผู้ที่บรรลุเทวะเซียนเทียนสามารถปลิดชีพเขาได้อย่างง่ายดายราวกับพลิกฝามือ นี่หรือคือพลังปราณเซียนเทียนที่สามารถควบคุมได้แม้กระทั่งกำปั้น ฝ่ามือ และศาสตราวุธรอบข้าง
หญิงสาวเบื้องหน้าที่ดูอ่อนเยาว์ หากคิดดีๆแล้วอายุไขของเธอนั้นคงมากกว่า 500 ปี เธอได้รู้เส้นทางทั่วไปและก้าวเข้าสู่ประตูที่ผู้คนอีกหลายคนไม่อาจไปถึงได้
เมื่อมองไปที่เหวินเหรินอูซวง ชิงสุ่ย สามารถบอกได้ทันทีว่าเธอนั้นเปรียบดังสิ่งที่สวรรค์ต้องการ เธอจะก้าวหน้าได้ไกลขนาดไหน ด้วยพรแห่งฟากฟ้า เธอเปรียบดังเสือโคร่งที่ออกมาจากภูเขา หรือมังกรที่ผุดออกมาจากท้องทะเล
“ข้าน้อยขอแสดงความยินดี! ท่านคือผู้ที่สามารถทะลวงผ่านปราณเทวะเซียนเทียน คนแรกที่ข้าเคยพบ ในตอนแรกข้าเองคิดว่าผู้ที่สามารถทะลวงผ่านขั้นปราณเทวเซียนเทียนได้นั้นจะต้องเป็นชายชราที่มีผมหงอก หรืออย่างน้อยที่สุด พวกเขาจะต้องเป็นวัยกลางคน” ชิงสุ่ยยิ้มขณะข่าวเรื่องโง่เขลาออกมา
“ขอบคุณเจ้ามาก จริงๆเหตุผลที่ข้าเชิญเจ้ามาที่นี่ เพราะข้าต้องการเรียนรู้อย่างมากในเคล็ดวิชาแห่งกระบี่ เหตุใดเจ้าถึงสามารถบรรลุถึงขั้นนั้นได้? หากไม่เป็นการรบกวน ท่านช่วยบอกข้าได้หรือไม่?”สายตาของเหวินเหรินอูซวง นั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอาจปฏิเสธได้
“ข้าเองนั้นหาใช่คนฉลาดไม่ ก็อย่างที่ท่านเห็น เคล็ดกระบี่ที่ข้าใช้นั้นถือได้ว่าเป็นเคล็ดกระบี่ที่พื้นฐานที่สุด เพียงแค่ข้าฝึกฝนพวกมันอย่างไม่หยุดหย่อนกว่า 10 ปี คอยทุ่มเทฟาดฟันจำนวนนับไม่ถ้วน มันทำให้ข้ามีวันนี้ได้”ชิงสุ่ย ถูจมูกเล็กน้อยขณะที่อธิบาย
ทั้งอูกั่วและอูซวงมองไปที่ชิงสุ่ยด้วยความตกตะลึง
เพียงครู่หนึ่ง เหวินเหรินอูซวงก็หัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน “ข้าสงสัยจริงๆ…. เจ้าจะต้องเป็นคนที่มีสติปัญญาหาตัวจับได้ยาก หรือไม่เจ้าก็คงจะเป็นคนที่โง่งม”
ชิงสุ่ยเหลือบมองพวกเธออย่างสงสัย
“ท่านอาจารย์ของข้าเคยบอกว่าสิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือ <<เคล็ดกระบี่พื้นฐาน>>นั้นหาใช่เรื่องง่ายแม้ว่ามันจะดูผิวเผินก็ตาม ในตอนนั้นข้าไม่เข้าใจคำพูดของเขา แต่เมื่อข้าได้เห็นเจ้าในวันนั้นข้าก็รู้ได้เลยว่าเจ้านั้นเข้าสู่ดินแดนกระบี่แห่งสัจธรรม และเจ้าจะต้องเข้าใจความหมายของคำว่าสัจจะธรรมแห่งกระบี่นี้