AST บทที่ 56 - พบสือฉิงจวงอีกครั้ง
บทที่ 56 - เจอกับ สือฉิงจวง อีกครั้ง
เมื่อมองไปยัง ซือตูปู้ฝาน ชิงสุ่ย โบกมือเล็กน้อยปัดฝุ่นที่กระจายอยู่รอบๆ บนพื้นมีร่างที่ไร้สติของเหล่าสหาย ซือตูปู้ฝาน
ความขมขื่นบังเกิดในหัวใจของ ซือตูปู้ฝาน กลุ่มเพื่อนๆโดยเฉพาะ สือจงเหยา จากตระกูล สือ ที่เป็นถึง ระดับปราณปราบฟ้าขั้นที่ 5 ยังพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ
คิดย้อนไปเมื่อเขาแพ้ ชิงสุ่ย ที่หมู่บ้านตระกูลชิง หลังจากที่เขากลับมาเมืองร้อยไมล์ สือจงเหยา เป็นคนที่ตำหนิเขามากที่สุด และเป็นคนเรียกเขาว่าหัวหมูและตั้งชื่อที่น่ารักเกียจให้อีกสารพัด ทำให้ชื่อเสียงในเมืองร้อยไมล์ของเขาป่นปี้มากขึ้น และตอนนี้ เจ้าคนบ้านนอก เอาชนะ สือจงเหยา ได้ ไม่ใช่ว่ามันน่าอับอายมากกว่ามากกว่าที่เขาเป็นอยู่หรอกหรือ
นี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อมีเพียงคนเดียวที่พ่ายแพ้ย่อยทำให้รู้สึกว่าเขานั้นไร้ประโยชน์ อย่าไรก็ตามท่ามกลางกลุ่มคนที่มีระดับการบ่มเพาะมากกว่ากลับพ่ายแพ้เขานั้นก็ไม่มีความอับอายอีกต่อไป มันเป็นความจริงที่ว่าคนที่อยู่ตรงหน้านั้นเขานั้นแข็งแกร่งมาก
ในขณะที่เกิดความวุ่นวายหลายอย่างขึ้นบนถนน ด้วยความที่ไม่อยากเป็นจุดสนใจมากเหมือนผู้คนที่กำลังเที่ยวชมสัตว์ที่ถูกขังในสวนสัตว์ ชิงสุ่ย จึงชี้ทางให้ ชิงสือ กับ ชิงฉาน เพื่อเตรียมที่จะออกจากพื้นที่ อย่างไรก็ตามในขณะที่เขาหันหัวกลับในใจเขาก็เกิดความมึนงง เขากำลังอาการประสาทหลอนรึป่าว ใบหน้าที่เย็นชาของคนที่เขาเคยฝันถึงได้อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้
สือชิงจวง!!!
สือฉิงจวงเธอสวมกระโปรงสีแดงสดใจแววตาเต็มไปด้วยความสับสน เธอยืนอยู่ที่นั่นโดยไม่พูดอะไรซักคำและจ้องมาทางเขาอย่างเงียบๆ
ตอนนี้ ชิงสุ่ย รู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้น คนที่เขาโหยหามาตลอดยืนจ้องหน้าเขาอยู่ในขณะนี้ แม้ว่าจะมีประสบการณ์สองชีวิตแต่เขาก็ยังคงบริสุทธิ์และยังไม่เคยมีประสบการณ์ลึกซึ้งกับเพศตรงข้าม แม้ว่าจะได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีการออกเดทมาจำนวนมากแต่มันจะเอามาเปรียบกับประสบการณ์จริงได้อย่างไร เขากัดริมผีปากบอกตัวเองว่าไม่ต้องกังวลขณะทักทาย สือชิงจวง
“ง...........ไง เป็นไงบ้าง จำข้าได้มั้ย ข้าคือคนที่เคยขี่อาชาคชสีห์เหมันต์ในวันที่เจ้าไปเยี่ยมเยียมหมู่บ้าน ตระกูลชิงไง” ชิงสุ่ย เกาหัวเล็กน้อยขณะฝืนยิ้มเพื่อปดปิดช่วงเวลาที่น่าอึดอันใจที่เขาได้พูดติดอ่าง
ใบหน้าของ สือฉิงจวงให้ความรู้สึกหนาวเย็นเล็กน้อยในขณะที่ริมฝีปากสีแดงเซ็กซี่ของเธอค่อยขยับลงไปเป็นรอยยิ้มที่บางเบา อ่า รอยยิ้มนั้นมันช่างคล้ายกับความสดใสของดวงอาทิตย์ที่ช่วงฤดูหนาวที่หนาวเย็นและลมแห่งความสุขที่พัดผ่านมาระหว่างความร้อนที่แผดเผาในฤดูร้อน ชิงสุ่ย พบว่าเขาลืมคำพูดที่เขากำลังเตรียมที่จะพูดในขณะที่เขาสูญเสียความเป็นตัวเองไปกับรอยยิ้มของเธอ
“ตามมา” เสียงที่เยือกเย็นและน่ารักของ สือฉิงจวงลอยขึ้นก่อนที่เธอจะหันและออกไป
ความรู้สึกซับซ้อนผสมกับความขมขื่นและหดหู่เกิดขึ้นในหัวใจของ ซือตูปู้ฝาน สือฉิงจวงเป็นผู้หญิงที่ได้หมั้นไว้กับเขามาตั้งแต่กำเนิดและเธอไม่เคยแม้แต่ที่จะมองเขาเลยซักนิด
ชิงสุ่ย กระตือรือล้น ยิ้มกว้างบนใบหน้าของเขา เขาโบกมือลา ชิงสือ และ ชิงฉาน รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาเป็นสิ่งที่ผู้ชายทุกคนรู้เกี่ยวกับมัน เป็นรอยยิ้มที่เกิดจากหญิงสาว หลังจากทั้งคู่เดินจากไป ชิงสุ่ย ก็ไล่ตามเงาของ สือฉิงจวงอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ ชิงสุ่ย ได้ยินคำพูด สือฉิงจวงมันทำให้เขาสนใจ แม้ว่าเขาจะไม่ชอบผู้หญิงขี้เก๊กและหยิ่ง แต่กับเขา นี่คือบุคลิกของ สือฉิงจวงนอกจากนี้เธอยังไม่ได้เหลือบมองที่คู่หมั้นของเธอเลย แต่กับคุยกับเขาแทน เขาชื่นชมตัวเองอย่างเงียบๆ “ฮ่าๆ ดูเหมือนข้าจะได้รับความนิยมโดยแท้” โดยไม่ต้องพูดถึงปัจจุบัน สือฉิงจวงเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดที่เคยพบมา
เบื้องหลังเขา ซือตูปู้ฝาน กัดฟันด้วยความหงุดหงิดเนื่องจากรูปลักษณ์ที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ทิ้งไว้ด้านหลังของ สือฉิงจวงและ ชิงสุ่ย เขาขบฟันขณะสาบานว่า “ไอ่ลูกสำส่อน สักวันหนึ่งข้าจะลูบไล้นางต่อหน้าต่อตาเจ้า”
ขณะที่พวกเขาเดินไปด้วยกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือการกระทำที่วางแผนล่วงหน้าไหล่ของ ชิงสุ่ย ก็ถูกับ สือฉิงจวงอย่างต่อเนื่อง
สือฉิงจวงยักคิ้วเล็กน้อยขณะที่เธอจ้องมองไม่ที่ ชิงสุ่ย ที่อยู่ข้างเธอ เธอประหลาดใจที่เธอค้นพบว่าเพื่อนตัวน้อยของเธอมีรูปลักษณ์ที่ปราณีตและมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสง่างามและมีความเป็นชายเล็กน้อย ดวงตามีความชัดเจน นี่เป็นผู้ชายที่รู้ว่าอนาคตเขาต้องการอะไร โดยไม่ได้ตั้งใจเธอไม่สามารถช่วยเปรียบเทียบกับคนที่เคยได้รับการ "ขัดเกลา" ที่อยู่รอบๆตัวเธอ ผู้ซึ่งปรากฏความอ่อนโยนและใจดี แต่ในความจริงคนเหล่านั้นได้ตรวจเธออย่างไม่หยุดหย่อนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความต้องการทางเพศ ความแตกต่างระหว่างพวกเขาคล้ายกับสวรรค์และโลก
ดวงตาของเขามีเสน่ห์มาก เป็นเสน่ห์ที่ทำให้คนอื่นอยากจะจ้องมองไปที่เขา หว่างคิ้วของเขาเป็นเหมือนวิญญาณผู้กล้าที่สามารถทำให้ผู้หญิงต้องการเข้าหา นอกจากนี้รอยยิ้มยังเต็มไปด้วยความร่าเริง แต่ สือฉิงจวงสามารถบอกได้ว่ามันคือการแกล้งทำ เธอมองเห็นบางอย่างที่ซ่อนอยู่รอยยิ้มของ ชิงสุ่ย มันเป็นร่องรอยของลักษณะที่คล้ายคลึงกับเธอคือความโดดเดี่ยวและความภาคภูมิใจ โดยรวมแล้ว สือฉิงจวงสรุปได้ว่าเพื่อนตัวน้อยคนนี้ช่างดูดี
ทันใดนั้นตัวของ สือฉิงจวงแข็งทื่อนี่เธอกำลังวิจารณ์รูปร่างของเด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเธองั้นเหรอ
“พี่สาว ฉิงจวง จ้องมองข้าทำไมเหรอ” ชิงสุ่ย พูดแทรกอย่างฉับพลันและคำเรียกหาก็ค่อนข้างเหมาะสม เนื่องจาก สือฉิงจวงมีอายุมากกว่าเขา 5 ปี
หลังจากที่ได้ยินคำที่ใช้เรียกเธอ สือฉิงจวงแทบจะกระโดดด้วยความตื่นตกใจ แต่ก็ระงับมันอย่างรวดเร็ว มันดูค่อนข้างถูกต้องสำหรับ ชิงสุ่ย ในการเรียกเธอเช่นนี้
“เจ้าไม่ทราบหรือไงว่าเจ้าได้สร้างปัญหาไว้มากมาย” สือฉิงจวงกล่าวอย่างสงบ
“ปัญหา ? ท่านหมายถึงอะไร ใช่ไอ้ขยะตัวนั่นไหม” ชิงสุ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม ชิงสุ่ย รู้สึกว่าคำถามก่อนหน้านี้โดย สือฉิงจวงมันเป็นนัยๆว่าเธอมีความกังวนแทนเขาซึ่งทำให้เขาอุ่นใจเล็กน้อย
“ขยะ เจ้ารู้ไหมว่าขยะพวกนั้นเป็นใคร” ริมฝีปาก สือฉิงจวงขลิบเบาๆราวกำว่าเธอกำลังพยายามระงับเสียงหัวเราะเพราะ ชิงสุ่ย คิดว่ามันเป็นเรื่องตลก
ชิงสุ่ย ส่ายหน้าจ้องไปที่ สือฉิงจวงรอคำตอบจากเธอ
“เจ้าควรรู้ว่า ซือตูปู้ฝาน มาจากตระกูลมหาอำนาจ ซือตู หนึ่งในขยะพวกนั้นมีพี่ชายคนที่ 2 ของข้าคือ สือจงเหยา นอกจากนี้ยังมีผู้เยาว์ตระกูล ติง เจ้ารู้มั้ยตระกูล ติง นั้นมีขนาดใหญ่กว่าตระกูล ซือตู จริงๆแล้วเจ้าเป็นคนแรกในเมืองร้อยไมล์ที่สร้างปัญหากับ3มหาอำนาจของที่นี่”
“แย่สุดๆเลย” ชิงสุ่ย คิด ไม่คาดว่าพี่ชายของ สือฉิงจวงจะอยู่ท่ามกลางคนกลุ่มนั้น อย่างไรก็ตามแม้จะอธิบายทุกสิ่งทุกอย่าง สือฉิงจวงก็ไม่รู้สึกไม่ดีหรือตำหนิใดๆ ที่เขาเอาชนะพี่ชายของเธอ
“แม้ว่าเจ้าจะเอาชนะคนเหล่านี้ได้ แต่เจ้าควรรู้ไว้ด้วยความสามารถของพวกเขาไม่มีทางที่ตระกูลของพวกเขาจะอยู่เฉย พี่ชายคนที่สองของข้าก็เช่นเดียวกันภายใต้การดูแลจากครอบครัวข้าด้วยความช่วยเหลือจากยาจิตวิญญาณนับไม่ถ้วนทำให้เขาไปถึง ระดับพลังปราณปราบฟ้าขั้นที่ 5 แต่แล้วยังไงล่ะ มันทำให้เขาขาดประสบการณ์การต่อสู้จริง แม้แต่ระดับ 1 ที่ได้ฝึกฝนวิชาต่อสู้ที่แท้จริงยังเอาชนะเขาอย่างง่ายดาย” สือฉิงจวงอธิบาย เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับว่าพยายามเตือน ชิงสุ่ย ว่ามีบางอย่างที่พูดไม่ได้
“ฮิฮิ หรือว่าเจ้าเป็นห่วงข้า” ชิงสุ่ย ยิ้มราวกับว่าขำไม่กลุ้มใจอะไรเลย