ตอนที่แล้วAST บทที่ 49 – ความน่าพิศวงของเฟิงอู๋ซี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปAST บทที่ 51- หญิงสาวที่ชื่อ อวี้เหอ

AST บทที่ 50 - มหานครแห่งความรุ่งโรจน์ เมืองร้อยไมล์


บทที่ 50 - มหานครแห่งความรุ่งโรจน์ เมืองร้อยไมล์

“ในที่สุดเราก็ใกล้มาถึงเมืองร้อยไมล์ เดี๋ยวข้าจะพาทุกคนไปยัง”โรงเตี๊ยมอวี้เหอ“พวกเจ้าทุกคนจะได้ลิ้มรสและเพลิดเพลินกับอาหารชั้นเลิศที่นั่น”

เมื่อมองดูชิงอี้ ที่กำลังมีความสุข ชิงสุ่ยก็คาดว่าโรงเตี๊ยมอวี้เหอ นั้นจะต้องเป็นโรงเตี๊ยมชั้นนำระดับเลิศของเมืองร้อยไมล์อย่างแน่นอน

เมื่อเร็วๆนี้พวกเขาได้เห็นกำแพงอันขนาดมหึมาของเมืองร้อยไมล์ปรากฏให้เห็นในสายตาพวกเขา เมื่อรถม้ามาหยุดที่ทางเข้าเมือง ชิงสุ่ยไม่อาจเปรียบเทียบภาพที่เห็นจากสายตาของเขาที่มองเห็นก่อนหน้านี้ได้เลยแม้แต่น้อย

กำแพงเมืองขนาดยักษ์สูง 15 เมตร หนากว่า 30 เมตร ทำให้ชิงสุ่ยถึงกับต้องตะโกนออกมาอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นความหนาของกำแพง กำแพงทั้งหมดถูกสลักจากหินแร่ขนาดใหญ่ ลาซูไรท์ (Lazurite) ทุกๆก้อนหนักอย่างน้อย 2,000 ถึง 3,000 จิน อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าประหลาดใจมากที่สุดผ่านสายตาของชิงสุ่ยคือการที่เขาไม่สามารถหารอยแตกได้เลยเมื่อเขาพยายามตรวจสอบผนังเหล่านี้

“ต้องใช่แน่ๆ นี่มันต้องสร้างจากทักษะการเรียนรู้ปรมาจารย์สถาปนิกและปรมาจารย์ด้านการออกแบบ” แม้มันจะซ่อนอยู่ในส่วนลึกภาย แต่มันกับอัดแน่นไปด้วยข้อมูลเคล็ดวิชาและศิลปะต่างๆจากสถาปนิกและเหล่าผู้สร้าง

ไม่เพียงแต่กำแพงที่มั่นคงและสูงตระหง่า มันยังมีประตูโลหะสีดำทมิฬขนาดมหึมาและหนามากมันปลดปล่อยกลิ่นอายความกดขี่ออกมาเล็กน้อย

“ประตูเหล็กแห่งนี้จะต้องใช้พละกำลังจากคนอย่างน้อย 20 คนถึงจะสามารถเปิดมันได้” ชิงอี้อธิบายเพิ่มเติมขณะที่มองดูชิงสุ่ยจดจ่ออยู่กับประตู

ทั้งสองข้างทางเท่านั้นเต็มไปด้วยทหารยามกว่า 30 นาย พวกเขานั้นสวมเครื่องแบบทหารองครักษ์สีเหลือง พร้อมทั้งกระบี่อันแหลมคมอยู่ภายในกำเมืองพวกเขา

ทหารยาม 2 นายมีหน้าที่ตรวจสอบสิ่งของของผู้ที่เข้าและออกจากเมือง โดยการตรวจสอบแต่ละครั้งนั้นผู้เข้าทุกคนจะต้องจ่ายเหรียญทองแดง 1 เหรียญ สำหรับผู้ขี่ม้าพวกเขาจะต้องจ่ายถึง 2 เท่าในขณะที่พ่อค้าที่มีคาราวานติดตามอาจจะต้องจ่ายเงินถึง 4-5 เท่าของราคา

เมื่อถึงตาที่คาราวานของตระกูลชิงจะต้องจ่ายค่าผ่านทาง ชิงสุ่ยกับต้องประหลาดใจเมื่อทหารยาม 2 นายบอกให้พวกเขาสามารถเข้าไปได้เลยเพราะรถมาที่ของพวกเขานั่งมานั้นได้รับการอนุญาตให้เข้าฟรี “ท่านแม่ ทำไมพวกเราถึงไม่ต้องจ่ายเงินค่าผ่านทางล่ะ?”

ชิงอวี่ยิ้มเล็กน้อย “แม้พวกเราจะไม่ใช่ตระกูลที่ทรงพลังมาก แต่พวกเราก็มีศักดิ์ศรีและชื่อเสียงอยู่ไม่น้อยภายในเมืองร้อยไมล์ ไม่ว่าจะเป็นท่านปู่ของลูกที่อยู่ในจุดสูงสุดของอาณาจักรพลังโฮ่วเทียนยังมีอีกครั้งลุงสองของลูกด้วย ที่พึ่งทะลวงผ่านขั้นที่ 10 ของระดับอาณาจักรพลังปราญบัญชาสวรรค์”

หลังจากที่เข้าสู่ภายในมหานคร ดวงตาของชิงสุ่ยนั้นส่องแสงประกายเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ถนนขนาดใหญ่กว้างประมาณ 50 เมตรทั้งหมดปูด้วยหินอ่อนมันกว้างใหญ่มากจนชิงสุ่ยไม่อาจมองเห็นจุดสิ้นสุดของถนนได้

ทั้งหมดนั้นไม่อาจคาดคิดและคาดประเมินได้เพียงแค่กำแพงเมือง ถนนหินอ่อน ก็ไม่อาจคำนวณได้ถึงจำนวนเงินและพละกำลังคนที่ต้องใช้สร้าง ร้านค้าและโรงเตี๊ยมขนาดเล็กมากมายแต่ดูไม่ธรรมดา มันเป็นตัวแสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่ง

ร้านค้าเต็มสองข้างทางของถนน ส่งผลให้เกิดบรรยากาศที่ค่อนข้างจะคึกคักถนนที่กว้างมากนอกเหนือจากรถมาก็ยังมี สัตว์ดุร้ายที่กำลังดึงหรือลากรถเข็นของพ่อค้า

สถานที่ทั้งหมดนั้น น่าพิศวงในทุกทิศทางทำให้ชิงสุ่ยเกิดความหลงใหล เขานั้นสนใจในทุกๆที่แต่ในตอนนี้เขานั้นมุ่งความสนใจไปสัตว์ดุร้ายแปลกประหลาดที่กำลังดึงรถเข็นของพ่อค้า

“ว้าว ว้าว นี่มันเจ้าเพื่อนตัวยักษ์นิ เขาเป็นตัวอะไร? ทำไมเขาถึงได้ตัวใหญ่ถึงขนาดนี้ได้?” ชิ่งสุ่ยชี้ไปทางสัตว์สีแดงลักษณะของมันดูแล้วน้ำหนักน่าจะประมาณเท่ากับวัว 5 ตัว

“นี่ก็คือวัวเพลิง ลูกอย่าได้ดูถูกขนาดของมันไปเด็ดขาด ลักษณะของมันจะดูอ่อนโยนแต่ความเร็วของวันนั้นช่างน่าประหลาดใจอย่างยิ่งความแข็งแกร่งและความอดทนของมันนั้นถือได้ว่าเป็นสิ่งที่วิเศษ ดังนั้นแล้วงูเพลิงตัวนี้มักจะเป็นทางเลือกของคนส่วนใหญ่ในการเลือกมาใช้เป็นสัตว์แบกสัมภาระ” ชิงอี้ยิ้มขณะเธอให้ความรู้และอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับสัตว์ตัวนี้ให้กับชิงสุ่ย

รถม้าตระกูลชิงยังคงเดินหน้าต่อไป ยิ่งเดินต่อไปเรื่อยๆบนถนนหนทาง ยิ่งหรูหรามากยิ่งขึ้น ชิงสุ่ยรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้นั้นเรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางของเมืองร้อยไมล์ และแน่นอนที่สุดบริเวณริมฝั่งข้างถนนนั้นยังคงเต็มไปด้วยผู้คนร้านค้าที่อยู่อาศัยมากมาย พวกเขายังคงทำวัฏจักรเดิมๆในทุกๆวันคนเดินเท้าจะต้องเดินอยู่ข้างฝั่งถนน เส้นทางตรงกลางนั้นใช้สำหรับรถม้าหรือผู้ขี่สัตว์พาหนะต่างๆ

และแล้วรถม้าที่เขานั่งมาก็ได้หยุดลงหน้าตึกขนาดมหึมา หรือความอยากรู้อยากเห็นชิงสุ่ยมองไปรอบๆเพื่อตรวจสอบและพบเห็นป้ายคำใหญ่ 4 คำเขียนอยู่บนแผ่นโลหะซึ่งแขวนอยู่เนื้อทางเข้าประตู “ศูนย์การค้าโอสถตระกูลชิง” ดังนั้นนี่จึงหมายความว่าสถานที่แห่งนี้นั้นเป็นที่ตั้งในการดำเนินการค้าของครอบครัวตระกูลชิงของเขา

อาคารสูง 5 ชั้นแต่กลับไม่พบความงดงามใดๆทั้งสิ้นเมื่อมองไปที่มันกลับทำให้เกิดความรู้สึกน่าเบื่อและกดดันอย่างยิ่ง

“พวกเราเข้าไปกันเถอะที่แห่งนี้จะเป็นที่พักของเราในตอนนี้”

ชิงสุ่ย ชิงฉาน และชิงสือ ตามชิงอี้เข้าไปที่อาคารที่อยู่ใกล้ๆพวกเขา เมื่อพวกเขาเข้าไปข้างในดวงตาของชิงสุ่ยเป็นประกายเพราะสิ่งที่เขาเห็นนั้นคือลานกว้างขนาด 100 เมตรขึ้นไปอย่างแน่นอน ใครจะคาดคิดว่าตระกูลสิ่งของเขานั้นจะร่ำรวยอย่างมากถึงขนาดเป็นเจ้าของที่ดินใน เมืองร้อยไมล์แห่งนี้ นี่ก็บ่งบอกได้ว่าตระกูลของเขานั้นยังคงมีสถานะที่ยิ่งใหญ่อยู่บ้าง

ส่วนฝั่งตรงข้ามนั้นเป็นสวนที่มีขนาดใหญ่กว่าขนาด 200 เมตรทั้งกว้างทั้งใหญ่ล้อมรอบไปด้วยกำแพงหินไม่สูงมาก

ชิงสุ่ยเดินเข้าไปในสวนทันทีและพบว่าสถานที่แห่งนี้นั้นถูกใช้ในการปลุกเหล่าพืชพันธุ์สมุนไพร เมื่อเขาค้นหาเหล่าพืชพรรณสมุนไพรที่มีมากมายนั้น รอยยิ้มก็พลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

สิ่งที่ทำให้ชิงสุ่ยตื่นเต้นนั้นหาใช่จำนวนสมุนไพรมากมายที่ขึ้นณที่แห่งนี้ แต่มันคือสายพันธุ์ที่แตกต่างกันจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น หญ้าแปดอมตะ ดอกไม้แปดอมตะ ราตรีหอมรัญจวน รากเทวโลกา โสมเขาแพะ และดอกชบาม่วง

สวนแห่งนี้ถูกครอบครองโดยตระกูลชิง ทุกคนต่างเรียกมันว่า สวน 100 โอสถ ซึ่งชิงสุ่ยก็ได้สังเกตเห็นตอนก่อนที่เขาจะเข้ามาในสวนแห่งนี้

ในตอนแรกนั้นสิ่งสวยวางแผนเพื่อซื้อเหล่าต้นกล้าสมุนไพร แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาไม่จำเป็นต้องทุกข์ร้อนใดๆทั้งสิ้นแล้ว หากพิจารณาจากสมุนไพรในเบื้องหน้าเขาแล้ว รอยยิ้มออกเขาก็ปรากฏและกว้างขึ้นในทันที ดูเหมือนว่าดินแดนยุพราชอมตะคงไม่ว่างเปล่าอีกต่อไปแล้ว

ในสวนแห่งนี้นั้นมีวัยรุ่นสองคนกำลังยุ่งอยู่กับการทำสวนพวกเขาทั้งขุดทั้งปลูกทั้งกำจัดวัชพืชที่ไม่ดีออกไป แต่ตอนนี้ชิงสุ่ยจะต้องตามหาคนในตระกูลชิง ซึ่งหาใช่คนธรรมดาใช้เช่นคนเหล่านี้ ซึ่งตอนนี้เขารู้ว่าเหล่าสมาชิกตระกูลชิงนั้นมีจำนวนน้อยมากที่ทำงานร่วมกับแม่ของเขา ที่แห่งนี้ก็มีห้องสำหรับเก็บเหล่าสมุนไพรโอสถต่างๆ แต่ดูเหมือนว่าในช่วงนี้ตะกูลสิงห์นั้นกำลังมุ่งเป้าไปกับตลาดสมุนไพรระดับทั่วไป

“ชิงสุ่ยย!”

เมื่อได้ยินเสียงคนเรียก ชิงสุ่ยหันของเขาทันทีและตระหนักได้ว่าคนที่เรียกเขานั้นคือ ท่านลุงสาม ชิงอู้

“ท่านลุงสาม ที่แห่งนี้มันยอดเยี่ยมจริงๆเลย มันดูมั่งคั่งมากเมื่อเทียบกับหมู่บ้านของเรา” ชิงสุ่ยหัวเราะขณะที่กำลังเดินตรงไปหาท่านลุงสามของเขา

********ชิงอู้(ในนิยายใช้ชื่อเดียวกับชิงฮู แต่ตัวอักษรจีนต่างกันเลยขอแปลอ้อมๆเป็นชื่อนี้นะครับ)*****

0 0 โหวต
Article Rating
9 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด