AST บทที่ 49 – ความน่าพิศวงของเฟิงอู๋ซี
บทที่ 49 – ความน่าพิศวงของเฟิงอู๋ซี
ย้อนกลับมาในช่วงการแข่งขันประจำปี เหล่าผู้ชมต่างรับรู้ถึงเสน่ห์ที่ทั้งเฟิงเยี่ยหยูและชิงจือมีให้แก่กัน โดยเฉพาะผู้นำของทั้งสองตระกูล
หลังจากการแข่งขันประจำปีจบลง เฟิงเยี่ยหยูนั้นได้ขอตัวชิงจือออกไปด้วยกันภายใต้คำขอ การแลกเปลี่ยนกระบวนท่า และดูเหมือนพวกเขาจะไปด้วยกันได้ดี ปฎิสัมพันธ์ของทั้งสองคนเริ่มดีขึ้นและเจอกันบ่อยขึ้น ทั้งคู่ต่างจ้องมองกันทุกครั้งราวกับไฟสุมทรวง และแล้วทั้งคู่ก็ตกลงสู่ทะเลแห่งความรัก
โดยเฉพาะตระกูลเฟิงที่หลังจากมองเห็นประสิทธิภาพของชิงสุ่ยที่ได้แสดงไว้ท่ามกลางงานแข่งขันประจำปี พวกเขาตัดสินใจที่จะเพิ่มความสัมพันธ์กับตระกูลชิงผ่านการแต่งงาน
ดังนั้นเฟิงอู๋ซีจึงเดินทางมาเองเพื่อสานต่อพิธีการแต่งงานให้เร็วที่สุด
“ดีจริงๆ ดีจริงๆ เรื่องนี้ข้าตัดสินใจแล้วว่า ข้าจะส่งชิงเจียงเดินทางไปยังตระกูลเฟิงเพื่อมอบของขวัญสำหรับหมั้นหมาย และหลังจากนั้นพวกเราจะมาหารือกันเพื่อหาฤกษ์มงคลสำหรับงานแต่งครั้งนี้”ชิงหลัวหัวเราะอย่างหนัก ดูเหมือนว่าเขาจะมีอารมณ์ที่ดีมาก
“ฮ่าๆๆ ท่านผู้อาวุโสชิงหลัว ท่านช่างเป็นคนตรงไปตรงมา ข้าเองคิดว่าคู่รักหนุ่มสาวหากมาได้ยิน คงจะยินดียิ่งนัก”เฟิงอู๋ซียิ้ม ตอนนี้ดูเหมือนเธอจะปล่อยมือชิงสุ่ยแล้ว
“ท่านตา พี่ชิงจือกำลังจะแต่งงานจริงๆอย่างนั้นหรือ?”ชิงสุ่ยเริ่มทำท่าตกใจ
“แน่นอน! เมื่อชายหญิงเติบโต ทั้งคู่ย่อมต้องแต่งงาน พี่ชายของเจ้าชิงจือก็อายุ 26 ปีแล้ว และพี่ชายของเจ้าเองก็มีการบ่มเพาะที่สูงที่สุดก็มากกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อยเท่านั้น มันคงถึงเวลาที่เขาจะต้องมีครอบครัวของตัวเองและมาช่วยเหลือการค้าของตระกูล”ชิงหลัวยิ้ม ทุกคำพูดปราศจากความเศร้าหรือเสียใจใดๆทั้งสิ้น
“น้องชายชิงสุ่ย เจ้าดูจะอิจฉาพี่ชายชิงจือของเจ้าที่กำลังจะได้แต่งงานนะ? เจ้าอย่างให้น้าซีแนะนำหญิงน่ารักๆให้เจ้ารู้จักบ้างหรือไหม แต่น้าคงไม่อาจหาผู้หญิงที่โชคดีขนาดนั้นมาแต่งงานกับเจ้าได้”เฟิงอู๋ซีพูดแกล้งชิงสุ่ย
มีหรือที่ชิงหลัวจะมองไม่ออกถึงสิ่งที่เฟิงอู๋ซีตั้งใจจะทำ มันเป็นเรื่องปกติมากที่เหล่ามนุษย์จะต้องหพรรคหาพวกที่แข็งแกร่ง แต่เฟิงอู๋ซีนั้นมีความคิดและมองการณ์ไกลกว่านั้นมาก เขามั่นใจอย่างยิ่งว่าเธอจะไม่อาจใช้ประโยชน์ใดๆจากชิงสุ่ยได้
หลังจากที่ชิงสุ่ยได้ยินเฟิงอู๋ซีพูดเกี่ยวกับการแต่งงาน ชิงสุ่ยได้แต่ส่ายหน้า เขาจะไม่คิดที่จะแต่งงาน ตราบใดที่ยังไม่ได้ตัดสินกับตระกูลเยียน ชิงสุ่ยมุ่งมั่นเพียงอย่างเดียวคือการบ่มเพาะพลัง ตราบใดที่เขาแข็งแกร่งเหล่าหญิงสาวก็จะเข้าหาเขาเอง
“ท่านน้าซี ข้าเองยังเด็กนัก ข้าคงไม่อาจคิดถึงขั้นนั้นได้”ชิงสุ่ยตอบพร้อมหัวเราะอย่างคิกคัก ในใจของเขานั้นเบื่อหน่ายในสิ่งที่เขากำลังกระทำอยู่ “ฮ่าๆๆ ถ้าข้ายังอยู่ในโลกใบก่อนข้าคงได้รางวัลนักแสดงดีเด่นเป็นแน่”
“น้องชาย ไม่ต้องรีบร้อนหรอกนะ”เฟิงอู๋ซียิ้ม
เฟิงอู๋ซีกลับทันทีหลังจากที่พูดคุยเกี่ยวกับพิธีแต่งงานเสร็จสิ้น อย่างไรก็ตามก่อนที่เธอจะกลับไปนั้น เธอก็ได้ชวนเชิญให้ชิงสุ่ยนั้นไปเยี่ยมเยียนที่ตระกูลเฟิง เพื่อให้ทั้งสองตระกูลมีความสัมพัธ์ที่ดีต่อกัน
“ชิงสุ่ย เจ้าต้องระวังผู้หญิงคนนี้เอาไว้นะ เธอนั้นสามารถครอบงับคนอื่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ แม้ว่าตอนนี้เธอจะไม่อาจทำอะไรได้เมื่อเธออยู่ที่นี้”ชิงหลัวกล่าวเตือนชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยเข้าใจในสิ่งที่ตาของเขาพยายามจะเตือน ดังนั้นชิงหลัวจึงไม่จำเป็นต้องขยายความเพิ่มเติม
ในอีกไม่กี่วันถัดมา ชิงสุ่ยเข้าร่วมการฝึกฝนของเหล่าเยาวชนรุ่นที่ 3 ของตระกูล เหล่าเยาวชนพยายามเข้าหาชิงสุ่ยเพื่อหวังว่าพวกเขาจะได้รับคำแนะนำบางส่วน
หลังจากปีใหม่ ชิงสุ่ยตัดสินใจตามชิงอี้ไปที่เมืองร้อยไมล์เพื่อช่วยทางด้านการค้า ตอนแรกเหล่าผู้อาวุโสในตระกูลชิงต่างตกใจในคำขอของชิงสุ่ย อย่างไรก็ตาม ชิงสุ่ยนั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั้นพร้อมคำโกหกมากมายที่ชิงสุ่ยอธิบาย ในที่สุดพวกเขาก็หมดข้อโต้แย่งและต้องยอมรับคำขอของชิงสุ่ย
เหล่าผู้ใหญ่และภรรยาของพวกเขาที่อาศัยอยู่แล้วในเมืองร้อยไมล์ ชิงอี้จึงถูกเลือกเป็นผู้รับผิดชอบในการคุ้มกัน ชิงจือ ชิงฉาน ชิงสือ และชิงสุ่ย เพื่อเดินทางไปยังเมืองร้อยไมล์
ทั้งชิงหยูและชิงฮูอยากจะไปด้วยเช่นกันแต่คำขอของพวกเขาก็ถูกชิงหลัวปฎิเสธ และบอกให้พวกเขาหยุดพูดเรื่องไร้สาระนี้อีก ชิงหลัวเงียบและถอนหายใจกับตัวเอง “ชิงสุ่ยเจ้าคงไม่อาจเติบโตได้เพราะกฎของตระกูลเรา ปัญหาเหล้านี้คงเป็นสาเหตุในความแข็งแกร่งของเจ้า” หลังจากนั้นชิงหลัวก็หัวเราะออกมา
การเดินทางครั้งนี้ใช้พาหนะเป็นอาชาขนาดใหญ่ 2 ตัว เมื่อเห็นอาชายักษ์ ทำให้ชิงสุ่ยนึกถึงอาชาเพลิงโลหิตของสือฉิงจวง อย่างไรก็ตามมันก็ทำให้เขานึกถึงชายผู้ซึ่งหยิ่งยโส ซือตูปู้ฝาน อย่างไม่ตั้งใจ
มีเพียงเส้นทางเดียวที่ใช้เดินทางไปยังเมืองร้อยไมล์ มันกว้างพอให้ม้ายักษ์ 2 ตัวเดินพอดี ภูมิประเทศทั้งหมดนั้นเป็นภูเขา การเดินทางจึงติดขัดบ้าง การเดินทางครั้งนี้จึงใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะถึงที่หมายปลายทาง
ทัศนียภาพแม้จะไม่เต็มไปด้วยป่าเขียมชอุ่มและภาพทิวทัศน์ทะเล แต่มันก็ยังคงสวยงามมาก มีหินรูปร่างหลากหลายเต็มเส้นทาง มันสามารถดึงดูดความสนใจชิงสุ่ยได้ “หากในอนาคตข้าแข็งแกร่งขึ้น ข้าจะประทับรอยเท้าของข้าไปทั่วทุกมหาทวีปในโลกใบนี้”
บนท้องถนนนั้นค่อนข้างจะน่าเบื่อ และแล้วทุกคนก็เริ่มการสนทนาเพื่อให้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วและมันก็ทำให้ทุกๆคนคุ้นเคยกันยิ่งขึ้น
ไม่เพียงแต่พวกเขานั้นจะมาจากตระกูลเดียวกัน พวกเขานั้นถือได้ว่าเป็นญาติกันโดยตรง ดังนั้นความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ถูกปรับปรุงอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะชิงสือ เขานั้นเป็นบุตรของชิงเหอ และเขาค่อนข้างเหมือนกับชิงสุ่ย เขานั้นเขากับชิงสุ่ยได้อย่างดี ชิงสือนั้นหลงใหลในการบ่มเพาะพลังแต่ความสามารถของเขานั้นกลับก้าวถึงจุดจำกัด นั้นคือเขาก้าวข้ามได้เพียงเคล็ดวิชาดอกบัวปราณฟ้า ขั้น 4 ไม่ต้องพูดถึงคนวัยเดียวกันกับเขา ชิงสุ่ยที่อายุมากกว่าเขาเพียงเดือนเดียว เขานั้นสามารถทำลายขีดจำกัดของตัวเองจนก้าวเข้าสู่ความแข็งแกร่งระดับนี้ ชิงสือจึงทำความคุ้นเคยกับชิงสุ่ยอย่างดีโดยหวังว่าเขาจะได้รับเคล็ดลับและคำแนะนำจากชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยนั้นชื่นชมบุคลิกของชิงสือเป็นอย่างมาก เพราะมันสะท้อนภาพของเขาเองราวกับร่วมชะตากรรมเดียวกัน ชิงสุ่ยอดคิดไม่ได้เลยว่านี้คือชะตากรรมแบบเดียวกับเขา หากเขาไม่ได้เผชิญมันด้วยตัวเอง
แม้จะใช้จ่ายอย่างมากในความพยายาม แต่เพราะเขาเองนั้นขาดความสามารถ ชิงสือจึงไม่อาจก้าวหน้าต่อไปได้บนหนทางแห่งการบ่มเพาะพลัง แต่เขาก็ไม่เคยยอมแพ้ มันไม่อาจกล่าวเป็นคำพูดใดๆได้ แต่เขาก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ
“เราจะถึงเมืองร้อยไมล์ในอีกไม่ช้า และหลังจากนั้นเราจะได้พบกับ”ยูฮี“ในโรงเตี้ยม เราจะเพลิดเพลินกับอาหารชั้นยอดที่นั้น”