AST บทที่ 48 – ความหลงไหลราวกับมนต์สะกด
บทที่ 48 – ความหลงไหลราวกับมนต์สะกด
ชิงสุ่ยเพียงต้องการให้ชิงอี้นั้นปลดปล่อยความทุกข์ความเศร้าโศกรวมทั้งความผิดหวังทั้งหมด ระบายออกมา หลายปีมานี้ชิงอี้ต้องทนรับแบกรับความเจ็บ แต่ตอนนี้เธอไม่ต้องแบกรับภาระที่ต้องเจอเพียงคนเดียวอีกต่อไป ชิงสุ่ยพยายามจะแบกมันมา เขาสัญญากับชิงอี้ไว้แล้ว ว่าอีก 5 ปีเท่านั้น เขาจะพาเธอไปพบกับตระกูลเยียนเอง
หลังจากจบการสนทนา ชิงสุ่ยเริ่มจดเคล็ดหมัดอสูรสันโดษลงในกระดาษ ไม่ว่าจะเป็นจุดชีพจรหรือตำแหน่งลมปราณบนร่างกายต่างๆก็ร่างลงบนกระดาษด้วย การที่คนในตระกูลชิงจะก้าวไปสู่ระดับสูงของหมัดอสูรสันโดษนั้นมีเพียงหนทางเดียวคือขึ้นอยู่กับระดับความเข้าใจของตัวของพวกเขาเอง
หลังจากเหลียนเย่เออหายดี เธอต้องการที่จะลบล้างความอัปยศที่เธอได้รับจากการแข่งขันกับชิงเป่ย อย่างไรก็ตาม แต่เพราะความหยิ่งทะนงของเธอ เธอจึงไม่ได้ไปแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง แต่เธอเลือกที่จะส่งคนรับใช้ของเธอไป
สำหรับชิงสุ่ย ชิงเป่ยเปรียบดั่งปีศาจน้อยที่ภายนอกนั้นดูซุกซนแต่ภายในนั้นคิดชั่วร้าย แต่สุดท้ายเหลียนเย่เออก็ไม่มีทางเลือกจำต้องมาด้วยตัวเอง เพราะไม่ว่าเธอจะยั่วยุท้าทายชิงเป่ยอย่างไรเธอก็ไม่สนใจมัน แต่เธอกลับตอบกลับมาสั้นๆ “ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ได้พ่ายแพ้ต่อหน้าทุกคน เจ้าจะพูดอะไรก็พูดไป ถ้ายังมีคนเชื่อนะ” เหลียนเย่เออโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเมื่อได้อ่านข้อความเหล่านั้น เธอเลยตอบกลับไป “ดี ดีมาก เจ้าจะได้เจอข้าในครั้งหน้า”
“ครั้งหน้า อะไรคือครั้งต่อไป? ข้าก็ยังขยี้เจ้าจนติดดินได้ทุกครั้งที่ต้องต่อสู้กับเจ้า”ชิงเป่ยตอบโต้อย่างโหดเหี้ยม โดยไม่รักษาหน้าของเหลียนเย่เออ ชิงสุ่ยที่มองดูการโอ้อวดของชิงเป่ยนั้น ทำให้เขาอดยิ้มไม่ได้
แม้เคล็ดวิชาหมัดอสูรสันโดษจะถูกส่งผ่านจากชิงสุ่ยไปสู่เหล่าเยาวชนรุ่นที่ 3 จนทำให้พวกเขาต่างมีความสุขที่ได้รับมัน พวกเขาจะใช้เคล็ดหมัดรับมือกันเองเพื่อให้เข้าใจในสถานการณ์ต่างๆ ทุกคนรู้ว่าเคล็ดวิชาหมัดอสูรสันโดษนั้นหากความเข้าใจของพวกเขาสูงขึ้น สถานการณ์ที่เคยเจอจะเปลี่ยนไปจากจุดเดิม ดังนั้นทุกคนจึงยุ่งอยู่แต่กับการฝึกเพื่อสร้างความคล่องตัวและความยืดหยุ่นและพยายามจดจำตำแหน่งจุดชีพจรที่สำคัญในร่างกายอีกด้วย
ตอนนี้การแข่งขันกันของเหล่าสมาชิกรุ่นที่ 3 นั้นมีแต่ความกดดัน นับตั้งแต่เหลียนเย่เออพบว่าเคล็ดวิชาที่ชิงเป่ยเอาชนะเธอได้นั้นมาจากชิงสุ่ย เธอก็เริ่มเกลียดชิงสุ่ยด้วย ทุกครั้งที่เจอหน้าชิงสุ่ย เธอจะมองอย่างเกลียดชังมาที่เขา
ชิงสุ่ยยังคงฝึกฝนเพิ่มขึ้น และยังเขาไปฝึกฝนในดินแดนหยกยุพราชอมตะทุกๆวัน แต่ยังไรก็ตามเขาก็ยังไม่อาจทะลุผ่านการโคจรปราณรอบที่ 49 ไปได้ ความล้มเหลวเกิดซ้ำแล้วซ้ำเหล่าทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกว่าถึงความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อนนั้นคือความรู้สึกพ่ายแพ้ย่อยยับ
ชิงสุ่ยวางแผนว่าจะไปยังเมืองร้อยไมล์ในอีกไม่กี่วันหลัง เขาวางแผนที่จะซื้อสมุนไพรระดับทั่วไป และเอาพวกมันไปปลูกในดินแดนห้วงมิติ “ระดับทั่วไปอย่างนั้นรึ เมื่อพวกมันอายุสัก 100 ปี ข้าคงขายและซื้อเมล็ดพันธ์ชั้นสูงเพื่อฝึกฝนแก่ตัวเองได้”
ชิงสุ่ยคาดหวังอย่างมากในเรื่องของสมุนไพรมาก เขาต้องการที่จะบรรลุถึงระดับสูงสุดของนักปรุงโอสถและหวังว่าความรู้ที่เขามีในการปลุกโอสถที่อยู่ในทะเลแห่งปัญญาของเขานั้นจะเพิ่มโอกาสให้เขาก้าวเข้าใกล้ระดับพลังปราณเซียนเทียน เพราะในปีนั้นที่ผู้อาวุโสตระกูลเยียนบังคับให้ชิงอี้กับเยียนจงเยว่แยกจากกัน ชิงอี้เคยกล่าวว่า ผู้อาวุโสจากตระกูลเยียนที่มีความแข็งแกร่งในระดับพลังปราณเซียนเทียนนั้นสามารถแยกแผ่นดินหมู่บ้านตระกูลชิงออกจากกันได้เพียงแค่สะบัดนิ้วเท่านั้น
“พลังปราณเซียนเทียน เป็นขอบเขตพลังที่แบ่งแยกระหว่างมนุษย์กับสวรรค์แม้ว่าจะเป็นขั้นแรกของการก้าวเข้าสู่สวรรค์ แต่อย่างไรก็ตามผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนต่างไม่อาจก้าวไปถึงจุดนั้นได้
เมื่อคิดถึงโอสถทลายอำนาจสวรรค์ มันพยายามยั่วยวนให้ชิงสุ่ยกินมันเข้าไปเพื่อทำลายกำแพงกั้นขั้นที่ 4 แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่คิดจะเสี่ยง เขาเชื่อว่าหากทำเช่นนั้น การที่จะก้าวข้ามระดับพลังปราณเซียนเทียนนั้นจะเท่ากับศูนย์จะทำให้เขาไม่อาจแก้แค้นให้กับแม่ของเขาได้อีกเลย
แต่ยังไงก็ไม่มีหนทางให้การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ชิงสุ่ยกัดฟันและยังคงกลับไปฝึกฝนในดินแดนหยกยุพราชอมตะเช่นเดิม เขาจะรู้สึกมีความสุขมากหากการโคจรปราณของเขาก้าวไปถึง 49 รอบได้ เขาจะได้ก้าวเข้าสู่เคล็ดวิชากายาบรรพกาลขั้นที่ 4
วันนี้เป็นวันที่ผู้คนมากมายมาที่ตระกูลชิง ชิงสุ่ยเต็มไปด้วยความตื่นเต้น แต่นั้นก็รวมถึงกรรมการตัดสินจากตระกูลเฟิงอีกด้วย เธอเป็นคนที่มีเสน่ห์และทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกร้อนรุ่ม ชิงสุ่ยสูดหายใจเหือกใหญ่ นั้นคือหญิงสาวที่โตเป็นผู้ใหญ่ที่กำลังสุกงอม รูปร่างส่วนโค้งและการเคลื่อนไหวที่ดูยั่วยวน โดยเฉพาะเนินอกเรียบเนียนที่เผยออกมา ทั้งเสื้อผ้าที่รวบรัดบีบคั้นให้เนินออกแฝดแถบระเบิดออกมา เพียงแค่คิดชิงสุ่ยถึงกับกลืนน้ำลาย
ร่างเรียวเอวอรชร น่าอกกลมมน ผิวเรียบนุ่มขาว พร้อมดวงตาที่ทรงเสน่ห์ ปัจจัยเหล่านี้เมื่อรวมกันทำให้ชิงสุ่ยไม่อาจคาดคะเนอายุของเหล่าหญิงสาวจากตระกูลเฟิงได้เลย
เพียงเธอเหลือบตามองชิงสุ่ย ในทันทีที่ชิงสุ่ยสบตากับดวงตาของเธอนั้น ชิงสุ่ย รู้สึกได้เลยว่าสายตาเหล่านั้นทำให้จิตใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ
“ฮืมม ผู้หญิงที่มีความเป็นผู้ใหญ่นี้สิ เป็นหญิงที่ข้าชื่นชอบที่สุด”ชิงสุ่ยจิตนาการอย่างตื่นเต้น
“เจ้าคือชิงสุ่ยใช่หรือไม่? เป็นอย่างที่ข้าคาดไว้จริงๆ เป็นเรื่องยากยิ่งจริงๆที่ข้าจะสามารถมองเห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเจ้า”เสียงทรงเสน่หฺเพียงแค่ได้ยินก็ทำให้หัวใจของเขาพองโต
“ใช่แล้ว ข้าคือชิงสุ่ย ว่าแต่พี่สาวคือ?”ชิงสุ่ยตัดสินใจถามโดยตรง
“ชื่อของเธอก็คือเฟิงอู๋ซีจากตระกูลเฟิง แต่หลานสามารถเรียนเธอว่า น้าซี” เสียงของชิงหลัวดังออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ
“น้าซี ยินดีที่ได้รู้จักครับ”ชิงสุ่ยตอบกลับอย่างเชื่อฟัง
“อ้า ท่านผู้อาวุโสชิงหลัวท่านโชคดียิ่งนัก ที่ได้มีวีรบุรุษหนุ่มปรากฏตัวท่ามกลางเหล่าเยาวชนรุ่นที่ 3 มันช่างน่าอิจฉาจริงๆ” เฟิงอู๋ซีหัวเราะ
ชิงหลัวเชิญให้เฟิงอู๋ซีไปที่ห้องรับแขกของเขา เฟิงอู๋ซีได้ผายมือไปคว้าแขนของชิงสุ่ยและดึงเขาไปพร้อมกัน ด้วยความตกใจเขาจึงเดินไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้สมองของชิงสุ่ยนั้นชาไปหมด เพียงแค่เฟิงอู๋ซีดึงเขา เขาก็พร้อมที่จะไป เขาตอนนี้รับรู้ได้แต่ความน่าหลงใหลของเฟิงอู๋ซีเท่านั้น ใบหน้าของเขานั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงและเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
มือของเฟิงอู๋ซีที่สัมผัสเขานั้นเรียบเนียนและอ่อนนุ่มมาก เลือดของชิงสุ่ยสูบฉีดอย่างรุนแรง เธอนั้นไม่ได้สนใจผู้นำทางเลย
“อร๊ากกก เธอปฎิบัติกับข้า ราวกับข้าเป็นเพียงเด็กน้อย!!”
ชิงสุ่ยกัดฟัดเล็กน้อย กลิ่นหอมที่ปล่อยมาจากเฟิงอู๋ซีทำให้หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้น เธอเป็นผู้หญิงที่หายากมากจนเขาอดสงสัยไม่ได้ว่าเธอมีคู่ครองแล้วหรือยัง
ชิงสุ่ยรู้สึกว่าเขานั้นเป็นคนที่ชั่วช้ามาก จิตใจของเขาเต็มไปด้วยภาพ “ภาพที่วิจิตรงดงาม” เพียงแค่เมื่อเขามองย้อนกลับไปในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา เขาได้เพียงแต่จินตนาการในสิ่งที่เขาจะทำกับเฟิงอู๋ซี ดังดาราภาพยนตร์
แต่หลังจากพวกเขามาถึงห้องรับแขกของตระกูล ชิงสุ่ยก็ต้องตื่นจากความฝัน
“นั้นมันบาปนะ”ชิงสุ่ยด่าถอตัวเองอย่างเงียบๆสำหรับสิ่งที่เขาได้คิดก่อนหน้านี้
“ข้ามาที่นี้เพื่อจะคุยเรื่องสำคัญระหว่างคนตระกูลของข้า เยี่ยหยู(เฟิงเย่เฟ่ย) กับ คนของตระกูลท่านชิงจือ พวกเขาทั้งสองนั้นค่อนข้างเข้ากันได้ดี ดังนั้นข้าจึงคิดว่าพวกเราน่าจะจัดงานแต่งงานให้กับพวกเขา ท่านคิดเช่นไร?”
ชิงสุ่ยรู้ว่า เยี่ยหยู(เฟิงเย่เฟ่ย) เป็นคนหนึ่งที่ได้ต่อสู้กับชิงจือ ในการแข่งขันประจำปี เขาลูบจมูกตัวเองและคิดว่า “ข้าคิดว่าพวกเขาจะแต่งงานกันเร็วๆนี้แน่นอน”