AST บทที่ 42 – เพียงกระบวนท่าเดียว
บทที่ 42 – เพียงกระบวนท่าเดียว
หลังจากชิงเป่ยเอาชนะเหลียนเย่เออ ผู้ชมต่างตกอยู่ในอาการตกตะลึง แม้กระทั่งชิงหลัวเองก็แสดงอาการเขิลอายขณะมองไปยังผู้นำตระกูลเหลียน ใครจะคาดคิดว่าหลานสาวของเขาเองนั้นจะแข็งแกร่งราวกับแรงลมที่พัดเขาสู่ใบไม้ และกำชัยชนะเหนืออัจฉริยะอย่างเหลียนเย่เออที่อายุมากกว่าเธอถึง 2 ปี
เหลียนหยูนั่งอย่างอ้างวางราวกับเสียศูนย์ เขาได้ส่งคนพาเหลียนเย่เออที่หมดสติออกจากลานประลอง ขณะนั้นชิงเป่ยยังคงอยู่บนลานประลอง เธอได้กล่าวประโยคสั้นๆก่อนเธอจะลงจากลานประลองว่า “ที่ข้าขึ้นมาได้ถึงจุดนี้ เพราะข้าเองไม่อาจทนการหยิ่งยโสของเจ้าได้”
หลังจากการต่อสู้จบลง คำพูดของชิงเป่ยยังคงกึกก้องในหูของเหลียนหยู เขาแอบคิดในใจว่า “ไอ้เด็กเหลือขอ การกระทำของเจ้านั้นไร้มารยาทและหยิ่งยโสมากนักที่บังอาจทำร้ายเย่เอ๋อของข้า”
แม้ว่าการแข่งขันจะยังคงดำเนินต่อไปได้ด้วยดี แม้ชิงเป่ยจะยังคงดูเด็กแต่คำพูดของเธอนั้นบาดลึกลงไปในจิตใจของพวกเขา นอกเหนือจากนั้น หญิงสาวเจ้าเลห์กับรูปร่างอัดเรียวงามพร้อมขนตาที่งามงอนจากตระกูลเฟิงก็ได้หัวเราะออกมาเบาๆ ในบัดดลบรรยากาศที่น่าอึดอัดใจก็อันตธารหายไปในทันที เมือเหลือบมองดวงตาคู่มีเสน่ห์นั้น ช่วยไม่ได้ที่ชิงสุ่ยจะรู้สึกหวั่นไหว
“ทำไมข้าถึงร้อนรุ่มใจนัก ข้าเองยังไม่รู้เลยว่านางจะมีชายใดคู่กาย เพียงแค่หน้าอกคู่ใจหากรวมกับความมีเสน่ห์ในแบบผู้ใหญ่ของนาง ไม่ว่าชายชาตรีคนใด ก็ไม่อาจจะต้านทานได้เป็นแน่” ชิงสุ่ยพรึมพรับขณะกำลังหลงเสน่ห์เธอ
หลังจากนั้นบนลานประลองก็ปรากฏเป็นชิงจือที่มีรูปร่างสูงใหญ่กับหญิงสาวเรียบบางอวบอึ้มจากตระกูลเฟิง ซึ่งมาพร้อมกับศาตราวุธของเธอที่อยู่ในมือ นั้นคือมีดกรงจักรคู่สีแสดงชาด
ศาตราวุธที่ชิงจือเลทือกใช้นั้นทำให้ชิงสุ่ยถึงกับประหลาดใจ เพราะมันคืออาวุธขวานเงินชั้นยอดที่มีความสูงเทียบเท่ากับชิงจือ ความกว้างของส่วนหัวขวานนั้นกว้างเท่ากับ หนึงในสามของร่างกายมนุษน์ มันครอบคลุมหน้าอกแล้วหน้าท้องของมนุษย์
ชิงสุ่ยประเมินไว้ว่าน้ำหนักที่ควรจะเป็นของศาตราวุธนี้จะต้องปรมาณ 150 จิน มันปล่อยคลื่นกดดันที่ส่งผลต่อสภาพจิตใจของคู่ต่อสู้ได้โดยตรง เพียงจ้องมองก็ทำให้คู่ต่อสู้ตื่นตระหนกและมองว่าศาตราวุธดังกล่าวจะต้องอันตรายไม่น้อย ไม่กี่อึดใจก่อนการต่อสู้จะเริ่มต้นขึ้น
หลังจากการประกาศชื่อของพวกเขาทั้งสอง เธอคนนั้นมีนามว่า เฟิงเย่เฟ่ย
หลังจากการแลกเปลี่ยนวรยุทธ์กันในครั้งแรก หากไม่มีเหตุการณ์เกินคาดคิด ชัยชนะจะต้องตกไปอยู่ในมือของชิงจืออย่างแน่นอน หากสังเกตชิงจือ มันไม่ง่ายเลยที่จะควบคุมขวานยักษ์นี้ได้ แต่ชิงจือใช้มันได้ราวกับรกนางนวลกำลังโผบิน ทั้งที่มันควรจะเทอะทะ อาจเป็นไปได้ที่เขาจะสามารถเข้าใจเบื้องลึกเกินกว่าที่คนธรรมดาจะหยั่งถึง
หากเปรียบเทียบ เฟิงเย่เฟ่ยนั้นเสียเปรียบมากนัก ในด้านพละกำลังเธอไม่อาจเทียบเท่ากับชิงจือ แต่เป็นเพราะความคล่องแคล่วว่องไวจึงทำให้เธอสามารถยืนหยัดได้จนถึงตอนนี้
ชิงจือต่อสู้ด้วยความใจเย็น เขาไม่ได้รีบที่จะเอาชนะ ทุกกระบวนท่าที่ชิงจือปลดปล่อยออกมา ทั้งด้านความเร็วและความรุนแรงนั้นถือได้ว่าสมบูรณ์แบบยิ่งนัก
“พี่ชายชิงจือ ข้าขอยอมรับความพ่ายแพ้ ขอบคุณที่เมตตา”เฟิงเย่เฟ่ยกล่าวพร้อมทั้งถอยอย่างสง่างาม เธอจองมองชิงจืออย่างชื่นชม
“ขอบคุณสำหรับที่ให้ข้าชนะ” ชิงจือยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ
“ข้าหวังว่าพี่ชายชิงจือจะโชคดีในทุกๆการแข่งขัน ถ้าท่านลงมาเมื่อไหร่ น้องสาวคนนี้ของแลกเปลี่ยนวรยุทธ์กับท่านอีก”เฟิงเย่เฟ่ยกล่าวอย่างเขินอายขณะเดินลงจากลานประลอง
“โห้ โห้ โห้ๆๆๆๆ”เสียงโห่ดังจากเหล่าผู้ชม
“ให้ตายสิ ไอ้เจ้าเปี๊ยกนั้นกล้าสร้างความรักบนสนามประลองแห่งนี้”หญิงโฉมงามผู้นำตระกูลเฟิงเหลือบมองชิงหลัวที่กำลังหัวเราะอย่างมีความสุขในขณะที่เขาก็พยักหน้าให้กับทางผู้นำตระกูลเฟิง
การแข่งขันยังคงดำเนินต่อ ชิงจือต่อต่อสู้กับชายชาตรีอีกหลายคน นอกจากนั้นชิงจือยังคงแสดงความเมตตาให้ได้เห็นเช่กเช่นเดียวกับการต่อสู่ที่แสดงกับเฟิงเย่เฟ่ย
อำนาจของขวานยักษ์ราวกับพายุทอร์นาโดปัดกวาดไปทั่วลานประลอง น้อยคนนักที่อยู่ในอาณาจักรปราณนักรบขั้นที่ 8 จะสามารถต้านทานได้เกิน 10 กระบวนท่า มันเป็นความแข็งแกร่งที่น่าหลงใหล โดยเฉพาะเมื่อเขาระเบิดเจตนาฆ่าฟันออกมา ในสายตาผู้อื่นมันกลับงดงามยิ่งนัก ความแข็งแกร่งของชิงจือที่สามารถเอาชนะเหล่าคนมากมายก็เพียงพอที่จะทำให้เหล่าผู้ชมมองเขาเป็นดังแสงสว่าง
ชิงหลัวยังคงยิ้มอย่างไม่หยุด ทั้งชิงฮู ชิงเป่ยแล้วก็ตอนนี้ชิงจือ พวกเขาได้สาดส่องความฉลาดสูงสุดในหมุ่เยาวชนรุ่นที่ 3 หากเปรียบกับเหลียนหยูจากตระกูลเหลียนและชายวัยกลางคนจากตระกูลตง พวกเขาต่างตกอยู่ในอาการสิ้นหวังโดยเฉพาะเหลียนหยู เพราะอัจฉริยะจากตระกูลเหลียนกลับถูกล้มโดยหญิงที่อายุน้อยกว่าถึง 2 ปี นักสู้ตระกูลเหลียนต่างถูกชิงจือสยบอย่างนับไม่ถ้วน
มันเหมือนกับว่าชิงจือนั้นแข็งแกร่งดั่งเทพ เขาระเบิดทั้งความแข็งแกร่งและดุร้ายเขาจอมทัพที่ไล่เค้นฆ่าศัตรูเพื่อปกป้องฐานที่มั่นบ้านเกิดของเขา
หญิงสาวต่างมีความคิดที่จะช่วงชิงหัวใจของชิงจือหมายให้เขามาเป็นสามีของพวกเธอ เพียงแค่รอยยิ้มของชิงจือ หญิงสาวทั่วบริเวณต่างกรีดร้องอย่างไม่หยุด
“โลกนี้มันบ้ากันไปใหญ่แล้ว”ชิงสุ่ยส่ายหัวขณะมองดูเหล่าผู้ชม
และแล้วทุกอย่างก็เงียบลงอีกครั้ง ตงกว่าน ผู้มีอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้น 9 ก้าวขึ้นสู่ลานประลองด้วยกระบี่เหล็กมรกต ชิงสุ่ยมองดูเขารับรู้ได้ทันทีว่านี้คือกระบี่ที่เป็นที่นิยมของคนในโลก 9 มหาทวีป
การต่อสู้ของความแตกต่างระหว่างระดับขั้นพลังนั้นหาใช่เรื่องตลก ความแตกต่างของความแข็งแกร่งนั้นยิ่งเห็นได้ชัด ความแตกต่างของระดับนั้นเปรียบดั่งช่องกว้างของแม่น้ำขนาดใหญ่เกินกว่าจะก้าวข้ามไป แน่นอนยังคงมีผู้ที่ฝึกตนขั้นต่ำกว่าที่สามารถชนะผู้ที่สูงกว่า แต่อัตราที่เกิดขึ้นนั้นเทียบเท่ากับการจะพบเจอขนวิหคอัคคีนั้นก็หมายถึงว่าแถบจะเป็นไปไม่ได้
กระบี่เหล็กมรกตของตงกว่าน ยามเมื่อกวาดแกว่งคลื่นพลังราวกับคลื่นมหาสมุทร เพียงแค่คลื่นลูกแรกก็สามารถหยุดขวานยักษ์ของชิงจือได้ คลื่นพลังลูกที่สองก็พุ่งเขาหาชิงจือในทันที
สุดท้ายชิงจือก็ไม่อาจทนสู่ความต่างชั้นของพลังได้ไม่นาน พลังของชิงจือก็หมดแล้วพ่ายแพ้ไป แต่อย่างน้อยผู้คนที่มาชมต่างส่งเสียงให้กำลังใจและส่งเสียงปรบมืออย่างอบอุ่นขณะที่ลงจากลานแข่งขัน
การแข่งขันยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เฟิงซือสุ่ยก็เอาชนะตงกว่านไปได้แต่ก็พ่ายแพ้ให้กับเหลียนยี การแข่งขันทั้งหมดส่วนใหญ่จะเป็นผู้ใช้กระบี่ แต่เมื่อชิงสุ่ยได้ชมการต่อสู้ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความดูถูก ไม่ว่าจะเป็นคนใด เขากลับรู้สึกว่าศิลปะการต่อสู้ด้านกระบี่ของตระกูลต่างๆแม้ว่าจะอยู่ในอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 9 มันเป็นเพียงเคล็ดซับซ้อนธรรมดา กระบี่ของพวกเขานั้นช้าและแข็งกระด่างเกินไป
การแข่งขันคู่สุดท้ายคือเหลียนยีและอัจฉริยะจากตระกูลชิง ชิงหยู เมื่อมองดูชิงหยู ชิงสุ่ยถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ร่างกายที่มั่นคงของชิงหยู โดยเฉพาะแผ่นหลังเปรียบได้ดั่งเสือ และเอว เปรียบดั่งหมี กล้ามเนื้อของเขานั้นมีมากกว่าชิงจือถึง 3 ส่วน ศาตราวุธที่เขาใช้นั้นคือค้อนยักษ์คู่ ค้อยยักษ์นั้นดูลึกลับมาก อย่างแรกคือเขาไม่สามารถบอกได้ว่าค้อนคู่นั้นสร้างจากวัสดุใด มันส่องแสงสีดำสลัวๆ
แม้ว่าผู้ชมจะตกตะลึง ว่าอย่างน้อยเขาก็เป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่เหล่าเยาวชนรุ่นที่ 3 ของตระกูลชิง ที่สำคัญค้อนนี้จะมีเพียงบางคนเท่านั้นที่จะสามารถใช้มันได้
ชิงจือและชิงหยูนั้นแท้จริงแล้วเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด และเป็นบุตรของชิงเจียง
ตอนนี้ชิงหยูนั้นบรรลุอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 10 ไปแล้ว เมื่อการต่อสู้เริ่มต้นขึ้นเขาเหวี่ยงค้อนทั้งคู่หมุนวนอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวของค้อนทั้งสองนั้นรวดเร็วจนไม่เปิดช่องโชว่นับได้ว่าเป็นกระบวนท่าที่สมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง การผสานที่ลงตัว การเคลื่อนดั่งสายลม
เพียงชั่วขณะ รอยยิ้มเผยขึ้นที่ใบหน้าของคนตระกูลชิง การโจมในครั้งเดียว แค่ครั้งเดียว ชิงหยูก็สามารถบังคับให้เหลียนยีถึงกับต้องออกจากการแข่งขันไป แม้เหลียนยีจะอยู่ในอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 9 แต่เมื่อถูกทุบจากค้อนยักษ์คู่ เขาถึงกับบาดเจ็บหนัก เพียงสั้นๆ เสียงตะโกนบ้าคลั่งของเหล่าผู้ชมก็กลับมา ชิงหยูยืนอยู่บนลานประลอง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ้าเลห์ราวกับปีศาจที่อาศัยอยู่ในร่างกายยักษ์ ความน่ากลัวราวกับปีศาจของเขาแม้แต่เด็กสาวยังต้องกรีดร้องอย่างหวาดกลัว
ทันใดนั้น ใบหน้าที่ชิงสุ่ยคุ้นเคยนักก็ปรากฏตัวขึ้นบนลานประลองแล้วกล่าวอย่างเย็นช้า
“ข้าต้องการประลองกับเจ้าเช่นกัน” ซือตูปู้ฝานกล่าว
“ปู้ฝาน หยุดการกระทำอันไร้สาระของเจ้าซะ”ซือตูหน่านเทียนกล่าว
“ไม่เป็นไรหรอก เมื่อปู้ฝานอยู่บนการลานประลอง เราก็แค่ปล่อยให้พวกเด็กเล่นกันก็เท่านั้น”เหลียนยู ผู้นำตระกูลเหลียนกล่าวและยิ้ม
“พี่ชายเหลียนกล่าวอย่างนั้น........แล้วที่เหลือล่ะ”ซือตูหน่านเทียบกล่าวถามเหล่าผู้คุมกฎ
เหล่าผู้คุมกฎตกลงกันอย่างรวดเร็วผลคือ อนุญาต
“เพียงกระบวนท่าเดียว ถ้าข้าไม่อาจเอาชนะเจ้าได้ในกระบวนท่าเดียว ถือว่าข้าพ่ายแพ้ในกับเจ้า” ซือตูปู้ฝานยิ้มเยาะเย้ย ในสายตาของชิงสุ่ย ซือตูปู้ฝานนั้นดูเหมือนตัวตลกที่พูดจาไร้สาระ เขาแค่พยายามข่มขวัญผู้ชม