ตอนที่ 3 : การเดินทางของเด็กหนุ่ม
เมื่ออายุได้ 15 ปี รูเดิลได้กลายเป็นผู้ใหญ่ ร่างกายของเขาเติบโตและการฝึกอบรมของเขาทำให้เขาแข็งแรงขึ้นมาก ณ จุดนี้เขาได้ใช้เวทย์มนต์เบื้องต้นได้แล้ว พร้อมกันเขาได้เรียนรู้การใช้หอก ดาบ และธนู . . . ลีน่าที่อาสาเป็นผู้ติดตามเขาไปตลอดก็ได้รับทักษะต่างๆไปด้วย จนตอนนี้ลีน่าอายุได้ 8 ปี ร่างกายของเธอเติบโตขึ้นและได้รับการศึกษาที่คล้ายๆกัน
กับรูเดิลปีนี้เป็นปีที่สำคัญกับเขามากอีกปีหนึ่ง เพราะเขาต้องตัดสินใจไปศึกษาในเมืองหลวงของ Courtois
“พี่จะไปเมืองหลวงจริงๆหรอ?”
ลีน่าถามไปพร้อมกับเหวี่ยงหอกพิเศษอันแหลมคมของเธอพุ่งไปหารูเดิลพร้อมกันกับที่รูเดิลเลือกที่จะปัดมันออกด้วยดาบคู่กายของเขา
“ใช่ เธอก็ควรที่จะตั้งเป้าหมายไว้เหมือนกันนะ เพราะถ้าเธอไม่ไปครั้งนี้ เธอก็ไม่มีคุณสมบัติคู่ควรพอที่จะเป็นอัศวิน”
เมื่อเห็นสีหน้าที่เหงาหงอยของลีน่า รูเดิลก็รู้สึกเหมือนโดนทำร้ายในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเขาเป็นแบบนี้ ในที่สุดเมื่อเขาได้กลับมาเข้าใจในสิ่งที่เรียกว่าความเหงา รูเดิลก็รู้สึกได้ว่ามันมีอะไรมากกว่าความยากลำบาก
“ไม่ต้องห่วง อีกไม่นานฉันก็จะกลับมา”
“จริงๆน่ะหรอ? ”
แม้ในขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยถึงบทสนทนาที่แสนจะอบอุ่น เขาก็กำลังควงอาวุธและโจมตีกันไปโดยเหมือนว่ามันเป็นเรื่องง่ายดาย ความสามารถของพวกเขาเติบโตขึ้นราวกับว่าพวกเขากำลังหัวเราะในขณะที่กำลังโจมตีกันอยู่ ฝีเท้าและฝีมือของลูน่าทำเอาผู้ใหญ่หลายคนอับอายและรูเดิลที่สามารถปัดป้องอาวุธทุกอย่างที่ลีน่าโหมใส่เข้ามาได้ บทสนทนาที่ค่อนข้างจะเป็นตัวของตัว “ไม่ต้องห่วงนะ อีกไม่นานฉันก็จะกลับมา”
… บางทีถ้าคนอื่นๆไม่ได้ไปประเมินเขาเช่นนั้น เขาอาจจะมีชื่อเสียงไปทั่ว Courtois ในทางที่ดีๆบ้างก็ได้
รูเดิลมีชื่อเสียงในอีกทางหนึ่ง เขาเป็นลูกชายคนโตของบ้านที่ไม่เอาไหน งี่เง่า โง่ และไม่ค่อยออกไปคุยกับคนในสังคม ทำให้พ่อแม่ของรูเดิลเครียด เพราะใน Courtois ลูกชายคนโตของบ้านจะต้องประสบความสำเร็จ ซึ่งดูเหมือนว่าบ้านนี้ ลูกชายคนเล็กจะได้รางวัลนั้นมากกว่า
เสื้อผ้าแนบกายที่เขาใส่ไว้ในการฝึกเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อก่อนที่รูเดิลจะหยุดการฝึก ลีน่าไปนั่งตรงจุดและหายใจเข้าออกอย่างช้าๆอย่างเป็นลำดับ
“ที่โรงเรียนจะสนุกมั้ย ?”
“ใครจะไปรู้ล่ะ สำหรับฉันมันคือสถานที่ที่จะทำให้ฉันได้เป็นอัศวิน และฉันก็ไม่ได้สนใจจริงๆว่ามันจะสนุกหรือไม่ ฉันไม่ได้ต้องการไปสถานที่ที่มีเพียงความสนุกแต่ไม่ได้ทำให้ฉันได้เป็นอัศวินหรอกนะ”
รูเดิลบรรจงดูแลรักษาดาบของเขาอย่างช้าๆระหว่างที่ตอบคำถามจากลีน่า ลีน่าได้เรียนรูวิธีที่จะดูแลรักษาอาวุธ ละเธอก็เริ่มมองหาหอกคู่ใจของเธอ
“ทำอย่างไรฉันถึงจะกลายเป็นอัศวิน ?”
“พี่จะต้องศึกษาจรจบขั้นพื้นฐานทั้งหมด และต้องได้รับการยอมรับทั้งในการต่อสู้และที่เป็นลายลักษณ์อักษร”
“อ๊ากกกก ฉันไม่เก่งเรื่องการเขียนที่เป็นลายลักษณ์อักษรเลยจริงๆ”
เมื่อการสนทนาได้สิ้นสุดลง เขาก็สังเกตเห็นดวงอาทิตย์ที่เหมือนว่ากำลังจะตก เขาลุกขึ้น ยืนมองดวงอาทิตย์สักพักก่อนที่จะเดินทางกลับสู่ปราสาท นาฬิกาจากท้องของเขาส่งสัญญาณเตือนแล้ว มันบอกถึงว่าเขาซ้อมมามากเกินไปแล้ว และตอนนี้ก็ได้เวลาสำหรับอาหารกลางวัน
ไม่กี่วันต่อมา รูเดิลได้เตรียมรถม้าสำหรับเพื่อที่จะเข้าไปฝึกฝนวิชาในเมืองและได้ไปเป็นลูกศิษย์โดยสมบูรณ์ ด้วยที่เขาเป็นทายาทของหนึ่งในสามขุนนางแห่งอาณาจักรทำให้หลายสายตามองรถม้าที่แสนจะฟุ่มเฟือย เขาจัดการขนของที่ราคาแสนแพงต่างๆติดตัวไปด้วยไม่มาก
ดวงตาของผู้คนต่างดูไปที่รถม้าก่อนที่มันจะเริ่มเคลื่อนตัวและหายไปพร้อมกับความมืด
มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีนักที่จะเห็นบุตรชายต้องจากไปแสนไกล เราไม่รู้เลยว่าเขาจะกลับมาได้ตอนไหน แต่บางคนกลับคิดตรงกันข้าม พวกเขาดีใจที่รูเดิลจากไป
‘ เขาหายไปในที่สุด ‘
รูเดิลมองไปรอบๆทางอย่างคนที่กำลังรู้สึกอ้างว้าง นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเหงา ตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมาเขาได้รับการดูแลอย่างดีมาตลอด มันทำให้เขาคิดถึงการประเมินในการที่จะยอมรับในตัวเขา หากผลของการประเมินจะไม่เปลี่ยนแปลง เขาก็คิดว่ามันคงเป็นความผิดของเขาเอง
รูเดิลคิดว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะให้หลายๆคนยอมรับในตัวเขา ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกสิ้นหวังแต่ถึงอย่างไร รูเดิลก็ยังคงที่จะเป็นดรากูนให้ได้
เมื่อใจและกายเริ่มอ่อนล้า ระหว่างที่ดวงตาของเขาเริ่มปิดลงเขาอ่านข้อความบนฝ่ามือของเขาที่ลีน่าเขียนมาให้เขา
‘ ทำให้ดีที่สุดนะ! ‘
เพียงแค่คำพูดนั้นเพียงคำเดียวทำให้ดวงใจที่อ่อนล้าของรูเดิลส่องสว่างขึ้นมามาก เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างของรถม้า เขาเห็นท้องฟ้าสูงที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา เมฆสีขาวที่อยู่ภายใต้ผืนท้องฟ้ามันยิ่งทำให้สดใสมากขึ้น และในขณะนั้นบนท้องฟ้าที่กำลังสดใสก็ได้ปรากฏร่างของมังกรที่กำลังบินอย่างสง่างาม เขารีบเอาหัวออกมาราวกับจะกระโดดออกจากหน้าต่าง ยังคงจ้องมองมังกรอยู่อย่างนั้น
มังกรเหล่านั้นค่อยๆบินหายไปจากสายตาของเขา หรือนี่อาจไม่ใช่คำอวยพรในการเดินทางของฉัน รูเดิลทำให้ตัวเองเข้าใจผิด ก่อนที่จะใช้มันเป็นเชื้อเพลิงในการผลักดันตัวเองเพื่อที่จะแก้ไขตัวเองและทำให้ดีที่สุดที่โรงเรียน
การที่ได้เห็นมังกร ก่อนที่จะถึงโรงเรียน ทำให้จิตใจของรูเดิลรู้สึกมีหวังและแข็งแกร่งขึ้น เขาหลีกเส้นทางการจราจรที่ติดขัดหน้าประตูไปอีกทางหนึ่ง โดยมีหนังสือสำหรับการฝึกเป็นอัศวินได้เป็นเพื่อนใจที่ใช้ฆ่าเวลา
หนังสือเพื่อการฝึกที่จะเป็นดรากูน เป็นสิ่งที่เขาขาดไม่ได้ที่โรงเรียน เขาใช้มันอ่านเวลาว่างเสมอ
“ฉันว่านี่เป็นหนังสือที่ดี ไม่ว่ากี่ครั้งที่ฉันอ่าน”
มันเป็นเรื่องที่น่าแปลกสำหรับเด็กสิบห้าปีที่จะอ่านหนังสือที่ใกล้เคียงกลับหนังสือภาพ
เด็กสาวเสียงใหญ่คนหนึ่งพูดขึ้นมา
“นายนี่ถ้าจะบ้า คิดว่าการอ่านหนังสือภาพแล้วจะทำให้นายได้เป็นอัศวินแห่งมังกรงั้นหรอ มนุษย์น่ะเป็นพวกป่าเถื่อน ไหนจะขุนนางที่อยู่นอกเหนือความช่วยเหลืออีก”
รูเดิลกระโดดลงจากรถม้าทันที เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก เขามองเด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเขา ผมสีเขียวและหูยาว เขามองไปที่เด็กผู้หญิงคนนั้น ไม่มีใครอื่น ณ ตรงนั้นนอกจากเอลฟ์ครึ่งมนุษย์ที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้า
“ฉันต้องการให้เธอกลับไป…”
รูเดิลไม่เข้าใจตัวเองว่าเขากระโดดลงมาจากรถม้าและอยู่กับเธอใกล้มากขนาดนี้ เขาเพียงแต่ได้บอกกลับตัวเองว่าเขาก็แค่กังวล และแค่ไม่คุ้นเคยกับสถานที่เพียงเท่านั้น
“ฉันขอโทษ ฉันอาจจะพูดเกินไป”
“ห๊ะ! นายพูดเรื่องอะไร ที่สำคัญนะ บนรถม้าของนายที่ตราของ อาร์ชดยุก อาท แสดงว่านายคือบุตรชายคนโตของดินแดนที่เลวร้ายที่สุดใน Courtois ?”
เมื่อรูเดิลได้ยินเรื่องของบ้านของเขาที่พยายามจะปิด คราวนี้เด็กหญิงเดินเข้ามาใกล้เขา เขารู้ดีว่ากฎของบ้านอาร์ซดยุกนั้นน่ากลัว และเขาก็เสียใจแทนคนอื่นเหมือนกัน หลายครั้งที่เขาพยายามจะบอกพ่อกับแม่ แต่พวกท่านก็ไม่เคยฟังเขาด้วยซ้ำ
เด็กสาวทำตามองไปข้างบนก่อนที่จะพูดขึ้น
“เมื่อมีคนเป็นทุกข์ที่เกิดจากนาย แต่นายจะอ่านหนังสือภาพ? นายไม่มีอะไรที่ควรจะทำแล้วหรอ ?”
สาวเอลฟ์พูดตักเตือนเขาด้วยดวงตาที่เอาแต่ใจ แต่คนรับใช้ที่อยู่บนรถม้านั้นพยักหน้ารับโดยปราศจากความคิดที่จะช่วยเหลือรูเดิลใดๆ สิ่งที่เธอพูดเป็นเรื่องจริง มันอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่สมควรไปเสียหน่อยที่จะพูดแบบนี้กับทายาทของหนึ่งในสามขุนนางแห่งอาณาจักร แต่นี่ก็เป็นนิสัยของเอลฟ์ แต่เธอต้องระวังเสียหน่อยเพราะการกระทำของเธอมันจะส่งผลต่อเผ่าพันธุ์ของเธอทั้งหมด
ระหว่างที่สามัญชนกำลังหัวเราะเยาะพวกเขา ยามหน้าประตูโรงเรียนก็รวมตัวกันเพื่อควบคุมสถานการณ์ มันเกิดขึ้นในทุกๆปี และเขาก็พยายามจะทำให้วัฏจักรนี้หมดไป
“ฉันเข้าใจว่าพวกเขากำลังทรมาน นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันมาที่นี่เพื่อที่จะเรียนรู้ ถ้าฉันพูดอะไรให้เธอไม่พอใจ ฉันต้องขอโทษด้วย”
รูเดิลไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องต่อปากต่อคำกับผู้หญิงคนนี้ เขาก็เพียงแค่ไม่สนใจมัน
ทุกคนที่นั้นถึงกับผงะเมื่อได้ยินคำตอบจากรูเดิล มันเป็นเรื่องอยากที่จะเห็นทายาทของขุนนางกล่าวคำขอโทษด้วยความจริงใจเช่นนี้
ในขณะเหตุการณ์กำลังเกิดขึ้น เด็กคนหนึ่งเดินออกมาจากหน้าประตู เขาเป็นนักเรียนทั่วไปเพียงแต่เขาสวมชุดของขุนนางแม้จะไม่ได้แต่งเต็มยศสักเท่าไหร่นัก เมื่อเขาเห็นรูเดิลกับสาวเอลฟ์เขาก็หัวเราะออกมา
“โอย โอย อะไรกัน เด็กหนุ่มไม่รู้อะไร กำลังใกล้เข้าใกล้เอลฟ์สาวโสด และดูเหมือนว่ากำลังสนุกอยู่เลย”
??? ในตอนนี้ไม่มีใครเข้าใจคำพูดของเขา ในตอนนั้นทุกคนกำลังดิ้นรนถึงการตอบสนองต่อคำขอโทษของรูเดิล พอแน่ใจว่าเขากำลังจะเข้ามาที่นี่ และมันอาจจะปรากฏขึ้นถ้าเขาเข้าใกล้เธอ แต่ . . .
ประกายผมสีทองที่ส่องแสงจากดวงตะวัน ดวงตาที่มีสีผสมระหว่างเขียวกับฟ้า หน้าตาก็เขาดูสวยงามมากแล้วมันก็เป็นเรื่องผิดธรรมชาติที่เด็กผู้ชายจะสวยจนแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเขาเป็นผู้ชาย บนเสื้อผ้าของ ‘ฮาร์ดี้’ มีตราสัญลักษณ์ต่างๆที่ล้วนจะปักด้วยด้ายสีทอง
“ไม่ เราคุยกันเสร็จแล้วนี่”
เอลฟ์สาวรีบฟื้นความเงียบสงบของเธอราวกับจะหนีออกจากฮาร์ดี้และรูเดิล
“ฮะ? ฉันว่าเหตุการณ์นี้เธอควรจะปักธงของเธอเอาไว้นะ แต่ฉันจะไม่เข้าไปยุ่งกับเด็กที่มีประวัติเล็กๆน้อยๆมากเกินไป”
คนรอบข้างเขาในบริเวณนั้นกำลังรู้ว่าเหตุการณ์ตอนนี้กำลังน่าขนลุกมาก ‘การต่อสู้กันตัวต่อตัว?’ เด็กผู้ชายคนนั้นมาจากบ้านของหนึ่งในสามขุนนางเช่นกัน มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องรับผิดชอบ ! ด้วยเหตุจูงใจทีซ่อนอยู่ในใจของรูเดิล และเด็กผู้ชายที่ถูกแยกจากกันโดยไม่ได้ตั้งใจ และรถม้าของรูเดิลเหมือนว่าจะได้รับความสำคัญจากสถานศึกษาเป็นอย่างมาก
นั่นคือการพบปะรูเดิลและตัวเอกของเขา . . .