AST บทที่ 38 – การประลองประจำปีของเหล่าเยาวชนรุ่นที่ 3 (1)
บทที่ 38 – การประลองประจำปีของเหล่าเยาวชนรุ่นที่ 3 (1)
“ไม่ต้องห่วงหรอกท่านแม่ ลูกจะยืนอยู่ข้างท่านแม่เสมอ ไม่ว่าฟ้าจะถล่มหรือผืนแผ่นดินจะถูกทำลาย ลูกจะช่วยเหลือท่านแม่เองตลอดไป!!!”
เมื่อมองดูชิงสุ่ย เขานั้นเป็นคนที่มีจิตวิญญาณที่สูงส่ง ชิงอี้รับรู้ได้ว่าคำพูดของชิงสุ่ยนั้นน่าเชื่อถือมากขนาดไหน แม้ว่าร่างกายของชิงสุ่ยนั้นยังคงดูผอมแต่มันกลับทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างคาดไม่ถึง ลูกชายสุดที่รักของเธอนั้นบัดนี้ได้เติบโตขึ้นแล้ว!!
ทั้งแม่และลูกชายเดินอย่างช้าๆบนถนนเพื่อเพลิดเพลินกับเสียงหัวเราะของเหล่าฝูงชนที่ฟังดูมีชีวิตชีวาอย่างมากบนถนนที่แสนคึกคัก
เมื่อชิงอี้ยืนอยู่ข้างๆ ชิงสุ่ยมีความสุขจนเกินบรรยาย แม้จะอยู่ท่ามกลางถนนที่แสนคึกคัก ตราบใดที่ชิงอี้ยังคงอยู่กับเขา แม้ท้องฟ้าจะถล่มลงมา เขาก็ยังคงรู้สึกปลอดภัย ความปลอดภัยนั้นหาใช่ซึ่งการปกป้องใดๆที่มาจากชิงอี้ แต่มันคือความรู้สึกได้รับความอบอุ่นจากคนที่เขารักโดยไร้ที่สิ้นสุดจากใจของคนๆหนึ่งที่จะมีได้ ซึ่งต่างจากโลกใบก่อนของเขา
ตอนนี้ก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว ชิงสุ่ยและชิงอี้ตัดสินใจที่จะกลับไปยังตระกูลชิง เหลืออีกเพียงแค่สองวันก็จะปีใหม่ แม้ว่าชิงสุ่ยจะไม่ค่อยเข้าใจขนบธรรมเนียมของโลกใบนี้ แต่ขนบธรรมเนียมของตระกูลชิงนั้นก็คล้ายกับที่โลกใบก่อนของเขา นอกจากนี้ในชีวิตก่อนของเขานั้น ชิงสุ่ยนั้นมาจากหมู่บ้านที่ค่อนข้างยากจน สิ่งที่พวกเขาทำเป็นประจำสำหรับการเฉลิมฉลองปีใหม่นั้นคือ การเทเหล้าไหว้ ทั้งยังจุดดอกไม้ไฟและ เผาเครื่องหอมถวายความเคารพแก่บรรพชนรุ่นก่อนๆ
ย่างเข้าวันที่ 2 ชิงสุ่ยและชิงอี้ช่วยกันทำความสะอาด เพื่อตอนรับฤดูใบไม้ผลิ แม้ว่าจะมีคนใช้ แต่ชิงอี้กลับไม่ชอบให้มีคนเข้ามาวุ่นวายในที่อาศัยของเธอ ยกเว้นเพียงชิงสุ่ยคนเดียว
เมื่อคืนวานหลังจากที่พวกเขากลับมา ชิงสุ่ยยังคงใช้เวลาทุก 2 ชั่วโมงในการบ่มเพาะพลังภายใต้ดินแดนหยกยุพราชอมตะ ด้วยผลประโยชน์ขนาดนี้ เขาจึงต้องคว้าโอกาสมันไว้ ไม่ว่าเขาจะยุ่งมากเพียงใดเขายังคงมีเวลาให้กับมันเสมอ
เมื่อมองไปที่ว่างเปล่าพร้อมทั้งอัตราความเร็วของเวลา 100:1 ชิงสุ่ยช่วยอะไม่ได้ ได้แต่คิดว่า “เฮ้อ ช่างสูญเปล่าจริง” สิ่งที่เสียไปคือการที่ไม่มีสมุนไฟรใดๆเติบโตในดินแดนหยกยุพราชอมตะแห่งนี้ ชิงสุ่ยต้องการที่จะปลูกสมุนไฟรที่มีการเติบโตอยู่ในระดับล้ำค่า แต่น่าเศร้าที่ว่าก้านโสม 1,000 ปีก้านสุดท้ายกลับถูกตระกูล ซือถู ซื้อไปแล้ว เพียงแค่พวกมันแค่เดินทางมา พวกมันก็ได้สมุนไพรที่ทรงคุณค่าถึงระดับล้ำค่ากลับไป
“ข้าจะลืมมันซะ ข้าจะรอวันที่ข้าได้ของดีมาครอบครอง วันนั้นพื้นที่กว่า 40 ไร่บนพื้นแผ่นดินแห่งนี้ จะต้องเต็มไปด้วยเหล่าสมุนไพร แล้วเมื่อเวลาเปลี่ยนไปเพียง 1 ปีภายนอกมันก็จะเท่ากับ 100 ปีภายใน ฮ่าๆๆๆ” ปัจุจบันชิงสุ่ยอายุได้ 15 ปี และเมื่อเขาปลูกเหล่าสมุนไพรเอาไว้ เมื่อเขาอายุครบ 20 ปี เขาก็จะมีสมุนไพรที่มีอายุกว่า 500 ปี
หลังจากคิดได้ ชิงสุ่ยก็ตื่นเต้นอย่างมาก เขาตัดสินใจทำบางสิ่งบางอย่าง อย่างไม่ลังเล นั้นคือการหาซื้อเหล่าสมุนไพรระดับล้ำค่า แม้แต่เขาจะค้นหาจนทั่วเมืองร้อยไมล์แล้วเขาเองก็คงไม่อาจหามันพบได้ ดังนั้นเขาจึงจัดสินใจที่จะปลูกสมุนไพรระดับทั่วไปในครั้งแรก แต่เขาก็ยังแบ่งเขตแดนไว้สำหรับปลูกเหล่าสมุนไพรล้ำค่าในอนาคตอีกด้วย
“หลังจากปีใหม่จบสิ้นลง ข้าจะต้องออกไปหาซื้อเหล่าเมล็ดพันธ์สมุนไพรระดับทั่วไป และต้องไปหาหญ้าบางชนิดในป่าอีกด้วย เพื่อปรับแต่งองค์ความรู้บางอย่างให้เกิดความแตกต่างในจิตวิญญาณสมุนไพร” ชิงสุ่ยตัดสินใจ
“อ้า นั้นเจ้านิ ชิงสุ่ย เจ้ากลับมาที่นี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? ข้าได้ยินมาว่าครึ่งปีที่ผ่านมาเจ้าออกไปฝึกฝนการบ่มเพาะของเจ้า?”
เสียงนั้นเป็นเสียงที่คุ้นเคย เมื่อเขาหันหัวกลับไปก็พบกับ ชิงหยาง พวกเขาไม่ได้พบหน้ากันเลยหลังจากการประชุมครั้งล่าสุด ครั้งแรกที่ชิงสุ่ยได้ลงไปฝึกฝน ชิงหยางกำลังพยายามหาทุกวิธีทางที่จะบรรลุในอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 6 เขานั้นไม่เหมือนกับเยาวชนคนอื่นๆในตระกูลชิง ที่มองชิงสุ่ยแล้วหัวเราะเยาะเย้ยเมื่อครั้งอดีตที่ผ่านมา
ตอนนี้ในลานฝึกซ้อมหาได้มีเหล่าเยาวชนตระกูลชิงรุ่นที่ 3 อีกแล้ว จะเหลือก็เพียงเหล่าสมาชิกตระกูลชิง เมื่อเทียบอัตราส่วนแล้วลานแห่งนี้มีสมาชิกอื่นๆอยู่มากกว่าสมาชิกตระกูลชิงเสียอีก เช่น เยาวชนรุ่นที่ 3 จากตระกูลเหลียนก็ใช้พื้นที่แห่งนี้ด้วย ตอนนี้ความสามารถของสมาชิกตระกูลเหลียนนั้นโดดเด่นอย่างมาก มากเสียยิ่งกว่าสมาชิกของตระกูลชิง
“เฮ้ ดูเหมือนที่ผ่านมาเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้วนะ!!!” ปัจจุบันชิงสุ่ยยังเห็นว่าชิงไฮนั้นยังคงแข็งแกร่ง ตามที่เขาสังเกต ชิงไฮนั้นอยู่ที่จุดสูงสุดของอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 7
แต่ชิงสุ่ยรู้สึกว่าญาติผู้น้องของเขา อัจฉริยะชิงหยูนั้นได้ก้าวข้ามอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 7 ไปแล้ว และชิงจือเองก็คงยังอยู่ที่อาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 8 เช่นกัน
“น่าสนใจดีจริงๆ ดูเหมือนการแข่งขันในปีนี้คงมีชีวิตชีวาขึ้นมาก”ชิงสุ่ยยิ้มมุมปาก ปลายปีเช่นนี้การแข่งขันนั้นไม่ได้จำกัดแต่คนตระกูลชิง คนตระกูลอื่นก็สามารถเข้าร่วมได้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม ตระกูลชิงนั้นก็มีกฎของตระกูลเองว่า สาวกตระกูลชิงจะเข้าร่วมการแข่งขันได้ก็ต่อเมื่อมีพลังอยู่อย่างน้อยในอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 6 ก่อนหน้านี้กี่ปี มัเยาวชนจากตระกูลมาที่ตระกูลชิงเพื่อเข้าร่วมการแข่งขั้น คนเหล่านั้นเป็นพวกเลือดร้อนโดยใช้ข้ออ้างจากการแข่งขันเพื่อแสดงการต่อสู้ที่น่ากลัว
ภายใต้คำว่า “การแข่งขัน” แท้จริงมันเป็นการแลกเปลี่ยนความสามารถกัน ซึ่งคนส่วนใหญ่จะเป็นคนที่โด่นเด่นจากตระกูลใกล้เคียงอย่างตระกูลเหลียน เช่นเดียวกับตระกูลเฟิงและตระกูลตงจากเมืองวิหคอัคคีร่วงโรย
“พี่ชายชิงหยาง ดูเหมือนว่าในปีนี้ ท่านจะได้แสดงความกล้าหาญของท่านแล้ว” ชิงสุ่ยยิ้ม
ชิงหยางยิ้มอย่างข่มขื่นและกล่าวว่า “มันไม่ง่ายอย่างนั้นสิ ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่รู้จักเหลียนยีจากตระกูลเหลียน เฟิงซือสุ่ยจากตระกูลเฟิง หรือแม้กระทั่งตงกว่านจากตระกูลตง พวกมันนั้นต่างบรรลุถึงอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 9”
“อะไรนะ อาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่9? พวกมันใช่วิธีอันใดกัน มันเป็นได้รึ แม้แต่พี่ใหญ่ชิงจือเองยังอยู่เพียงอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 8 อย่างนี้ก็หมายความว่าไม่มีผู้ใดในตระกูลของเราจะสามารถต่อกรกับพวกมันได้เลยล่ะสิ?” ชิงสุ่ยนั้นไม่ต้องการที่จะเผยความแข็งแกร่งของเขาเลย แต่มันแปลกยิ่งนักแต่ดูเหมือน 5 ปีที่ผ่านมาเหล่าเยาวชนรุ่นที่ 3 จะเริ่มแข็งแกร่งเทียบเท่ากับเยาวชนรุ่นที่ 3 ของตระกูลชิง
“โชคดีจริงๆที่เรายังมีชิงหยู อัจฉริยะแห่งตระกูลชิงของเราเขาอยู่ที่จะสูงสุดของพลังขั้นนั้น เขาอาจจะต่อกรเหล่าผู้บรรลุอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่9 จากตระกูลดังคำว่าผู้ที่แข็งแกร่งกว่าอาจจะพ่ายแพ้ให้กับผู้ที่อ่อนแอกว่าก็เป็นได้” ชิงหยางพูดอย่างยิ้แย่มเมื่อกล่าวถึงชิงหยู เพราะหากพรรคพวกของเขาเองนั้นแข็งแกร่งมันย่อมเป็นผลดีกับอนาคตของเขา
หากมีแม้แต่ความขี้เกียจไร้ความรับผิดชอบ ตระกูลหรือนิกายที่ยั่งยืนมานับพันๆปี อาจจะโดนเหนียบย้ำและกลายเป็นสิ่งไร้ประโยชน์สำหรับผู้อื่นก็เป็นได้
หลังจากนั้น ชิงสุ่ยก็เดินไปพบปะผู้คนต่างๆขจากตระกูลชิง และตรงไปหาชิงหลัวเพื่อแสดงความเคารพ ชิงหลัวนั้นยังคงรักเขาอย่างทุ่มเท สม่ำเสมอ แม้ว่าเขาจะถูกตราหน้าว่าเป็นเพียงขยะไร้ค่า มันอาจเป็นเพราะชิงหลัวนั้นมีลูกสาวเพียงคนเดียว ผู้เป็นพ่อย่อมแสดงความรักต่อผู้เป็นลูกและมันก็ย่อมต้องแสดงต่อชิงสุ่ยด้วย
“ชิงสุ่ยหลานเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ หลังจากผ่านมันไปกว่าครึ่งปี แต่หลานไม่ต้องลำบากอยู่เส้นทางการฝึกฝนบ่มเพาะพลัง หากเส้นทางนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรค มันยังมีเส้นทางอื่นๆให้หลานเลือกอีกมามาย หลานไม่ควรทำให้หลานต้องลำบากมากเกินไป มันก็คงขึ้นอยู่กับสติปัญญหาของเจ้าเองด้วย ปู่จะไม่ขัดขว้างใดๆกับหลานอีก ชะตากรรมของหลานอยู่ในใอหลานแล้ว”ชิงสุ่ยกล่าวสอนขณะที่มองไปที่ชิงสุ่ยก็พบว่าเขานั้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกท่านปู่ หลานรู้ขีดจำกัดของตัวหลานดี หลานสามารถผ่านมันไปได้” ชิงสุ่ยรู้ว่าเขาไม่ควรบอกอะไรไปมากกว่านี้
สองวันก่อนงานเทศกาลปีใหม่ ถนนยังคงครึกครื้นไปด้วยความมีชีวิตชีวา ชิงสุ่ยยังคงพูดคุยหลากหลายอย่างกับชิงอี้ขณะที่พวกเขาเดินบนถนน
และแล้วในวันที่ 4 ชิงหลัวได้เริ่มทำพิธีการกราบไหว้เคารพเหล่าบรรพบุรุษตามพิธีการของพวกเขา
หนึ่งปีก็ผ่านไป ปีนี้ชิงสุ่ยย่างเข้าอายุ 16 ปี มันถึงเวลาแล้วที่จะทำพิธีเฉลิมฉลองอายุ และเป็นเวลาที่เขาจะต้องตัดสินใจเกี่ยวกับเส้นทางที่เขาจะต้องเลือกเดินสำหรับอนาคต