AST บทที่ 34 – เคล็ดวิชาอิไอโด้(ดาบซามูไร)
บทที่ 34 – อิไอโด้
ชิงสุ่ยตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนเพื่อที่จะได้เป็นดั่งสุดยอดผู้เชี่ยวชาญทางอิไอโด้ ภาพในความนึกคิดของเขาเผยให้เห็นเงาของกระบี่ที่เคลื่อนที่รวดเร็วราวแสงไฟ ทุกการเคลื่อนไหวของกระบี่นั้นเป็นภาพที่จดจำได้อย่างง่ายดาย
หลังจากที่เขาฝึกฝนจนเหนื่อยล้า ชิงสุ่ยใช้เวลาพักผ่อนและดื่มน้ำจากแหล่งน้ำ จัดการกับสัตว์ป่าที่เขาได้ล่าเอาไว้พร้อมทั้งอ่านหนังสือ ในบางครั้งชิงสุ่ยปรารถนาที่จะลิ้มลองรสชาติของผลเสริมปราณแต่เมื่อเขาเห็นผลที่มีสีแดงชาดของมัน เขาพลันปฎิเสธความคิดในทันที ที่ล้มเลิกความคิดหาได้เกิดจากความกลัวว่ามันจะมีพิษไม่ แต่เพราะเขาไม่รู้จักผลไม้ชนิดนี้เลย
“เหตุใดข้าจึงต้องรีบเร่งที่จะกินมัน ในเมื่อข้ามีมันอยู่ตลอดเวลา เอาเถอะข้ายังคงรอเวลาที่จะต้องลิ้มลองรสชาติของเจ้า เจ้าผลไม้เสริมปราณ!!” ชิงสุ่ยทิ้งความคิดทั้งหมดไปพร้อมทั้งเริ่มอ่าน [หนังสือโลกแห่งการรักษา][หนังสือสารานุกรม 10,000 พันธุ์โอสถ]และ[หนังสือเสถียรภาพผสานโอสถ]อีกครั้ง นี้เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาเริ่มต้นอ่านมัน ความจริงแล้วเขาสามารถจดจำมันได้ทุกตัวอักษรแล้ว อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยรู้ว่าเขาจะหยุดอ่านมันก็ต่อเมื่อเขาเข้าถึงทฤษฎีเบื้องลึกที่แท้จริงของมัน มันเปรียบดั่งจุดตัดระหว่างความรู้ดังเดิมที่จะสามารถทำให้ได้รับถึงความรู้ใหม่ๆได้ หากเขารับรู้ได้ มันถือได้ว่ามีคุณสมบัติมากพอที่จะเปรียบดั่งครู!
และแน่นอนเขาก็ไม่ได้ละเลยที่จะฝึกฝน [เคล็ดกระบี่พื้นฐาน] ความจริงแล้วการฝึกซ้อมเคล็ดกระบี่พื้นฐานนี้เรียกได้ว่าเป็นการฝึกหลักในตอนนี้ ถ้าหากมีคนภายนอกได้เห็นว่าชิงสุ่ยนั้นสูยเสียเวลาจำนวนมากไปกับการหมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนเรียบเรียงลำดับการเคลื่อนไหว วาดกระบี่และส่งมันกลับสู่ฝักที่ถือได้ว่าเป็นส่วนพื้นฐาน ไม่ต้องสงสัยเลยที่พวกเขาจะเรียกชิงสุ่ยว่า คนบ้าแสนจะโง่งม
แต่ชิงสุ่ยก็ไม่ลดละการฝึกเคล็ดอิไอโด้ เขาฝึกฝนค้นหาจุดควบคุมนับร้อย นับพัน ถึง ล้านครั้ง การฝึกฝนยิ่งฝึกมันบ่อยเท่าไรมันจะยิ่งเก่งขึ้น ชิงสุ่ยเชื่อมันว่าตราบใดที่เขาฝึกฝนมากขึ้นเท่าไหร่ เคล็ดวิชาที่แสนธรรมดานี้กลับดูน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
สิ่งที่ชิงสุ่ยต้องการคือการเปลี่ยนแปลงเคล็ดวิชาที่แสนจะธรรมดาให้กลายเป็นเคล็ดวิชาแสนอัศจรรย์ เพราะ เคล็ดกระบี่พื้นฐานนั้นเปรียบดังรูปแบบพื้นฐานของเหล่าผู้ใช้กระบี่ ตราบใดที่ผู้ฝึกฝนก้มหน้าก้มตาฝึกฝนมันอย่างหนักหน่วง มันจะเสริมให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้น รวมทั้งเสริมสร้างความสามารถที่สูงขึ้นบนเส้นทางแห่งกระบี่
อีกหลายเดือนก็ผ่านพ้นไป ภายในดินแดนหยกยุพราชอมตะที่ชิงสุ่ยก้มหน้าก้มตาฝึกฝนเคล็ดวิชาอิไอโด้นั้นภายไปกว่า 3 ปี อาจกล่าวได้ว่าทั้งโลกกว้างนี้มีเพียงชิงสุ่ยเพียงคนเดียวที่จะยอมสูญเสียเวลาจำนวนมากขนาดนี้ไปเพียงเพื่อความพยายามในบางสิ่งบางอย่างเช่นนี้
ทุกครั้งที่เขาฝึกฝนภาพการเคลื่อนไหวต่างๆจะถูกวาดออกมาและย้อนกลับซ้ำ ชิงสุ่ยใช้ไม้ไปเป็นจำนวนมาก เริ่มแรกเดิมที ท่อนไม้ที่เขาใช้นั้นมีขนาดกว้างเพียงนิ้วหัวแม่มือเท่า อย่างไรก็ตามเขาก้าวหน้าขึ้นจนตอนนี้ไม้ที่เขาใช้ฝึกซ้อมนั้นมีความกว้างเทียบเท่ากับขนาดของข้อมือ!!!
ทุกครั้งที่เขาฝึกฝน ไม้ที่เขาใช้จะต้องรับแรงเสียดทานที่เกิดจากการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วซึ่งไม้ปกติไม่สามารถทนรับได้ ซึ่งในตอนที่เขาออกล่าอาหารเขาก็ได้พบเจอมันโดยบังเอิญ นั้นคือไม้ตะเคียน เขาจึงนำมันมาใช้แทนดาบ ไม้ตะเคียนนั้นเป็นไม้ที่มีความเหนียวมาก ซึ่งหากมองกลับไปยังบ้านตระกูลชิงที่เขาอยู่นั้น จะเห็นได้ว่าเครื่องใช้ต่างๆภายในบ้านต่างทำจากไม้ชนิดนี้ เขาจึงเลือกมันเพื่อที่จะใช้ฝึกซ้อม
แต่อย่างไรก็ตามยังมีสิ่งหลายๆอย่างที่ชิงสุ่ยเองก็ไม่ทราบ ว่าไม้ชนิดนี้นอกเหนือจากเครื่องใช้แล้ว มันยังถูกนำไปสร้างประกอบเป็นอาวุธบางชนิดอีกด้วย
หลังจากที่เขาค้นพบมัน ชิงสุ่ยตัดสินใจที่จะฝึกฝนกับบางอย่างแต่ตอนนี้เขานั้นทำได้เพียงฝึกฝนการเคลื่อนไหวอยู่คนเดียว เขายืนอยู่จุดสูงสุดของเทือกเขาแห่งนี้ เขาสำรวจทิศทางทั้งสี่พร้อมทั้งพยายามหาสถานที่ที่เหมาะกับการฝึกกระบี่ของเขา ตอนนี้ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงเดือนสิงหาคมแล้ว ภูมิอากาศทั่วบริเวณแห่งนี้หนาวเย็นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ชิงสุ่ยนั้นยังคงใส่เพียงเครื่องแต่งกายบางๆ แต่ความหนาวเย็นนั้นไม่อาจส่งผลใดๆต่อร่างกายของชิงสุ่ยที่ผ่านการบ่มเพาะได้เลย
เขาไม่แย้แสต่อสิ่งใดและเดินอย่างองค์อาจลงจากเทือกเขา ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงพยายามมองหาที่ๆเหมาะต่อการฝึกของเขาต่อ เขาเดินผ่านเนินเขา ต้นไม้ขนาดใหญ่มากมาย สายลมอ่อนๆพัดไปมา ใบไม้สีเหลืองป่นแดงล่องลอยบินไปทั่วบริเวณ กิ่งไม้ร่วงหล่นสู่พื้นมากมายเหลือคณา
ชิงสุ่ยใช้เพียงสัญชาตญาณในการปล่อยท่าทางจากเคล็ดอิไอโด้ผ่านไม้ตะเคียนที่เขาถือไว้ เพียงไม่กี่พริบตา ใบไม้ที่ล่องลอยอยู่ก็ถูกเจาะทะลุแต่ยังคงร่วงโรยตกสู่พื้นดินเช่นเดิม
ปัจจุบันอาวุธที่ชิงสุ่ยใช้นั้นคือกระบี่ไม้ที่ทำจากไม้ตะเคียน มันดูเงาวับและเรียบง่ายแต่เหนียวอย่างมาก ก่อนหน้านี้นั้นเขาใช้เพียงไม้คานเป็นอาวุธใช้ฝึกฝน แต่ด้วยรูปร่างของมันนั้นไม่อาจสร้างความน่าเกรงขามได้ เขาจึงจำต้องสร้างขึ้นมาใหม่ในรูปแบบของกระบี่!!!
เพียงชั่วขณะ ชิงสุ่ยขยายกำปั้นซ้ายของเขาออกมา พร้อมส่งหมัดออกไปสู่ลำต้นของต้นไม้ยักษ์ หมายจะให้ใบไม้จำนวนมากร่วงลงมา และเขาก็กวัดแกว่ากระบี่ราวกับต่อสู้กับพวกมัน
เมื่ออยู่ภายในดินแดนหยกยุพราชอมตะ นอกเหนือจากการฝึกฝนเคล็ดกระบี่แล้วนั้น เขายังคงฝึกเคล็ดก้าวไร้วิญญาณด้วย จนตอนนี้ก้าวไร้วิญญาณระดับมายาของเขานั้น น่ากลัวราวกับการชิงสุ่ยเคลื่อนที่นั้นเป็นดั่งปลาที่แหวกว่ายไปในน้ำ เขาเคลื่อนที่อย่างไหลลื่นพร้อมทิ่งแทงอย่างรวดเร็วในมุมต่างๆ
แม้มันจะเป็นเพียงเคล็ดวิชาที่ดูเหมือนจะเรียบง่ายแต่มันเต็มไปด้วยความลึกซึ้งไม่ว่าจะมุมหรือทิศทางไหนที่ชิงสุ่ยปล่อยออกมา มันดูราวกับฝนดาวตกที่รวดเร็วมาก
ชิงสุ่ยใช้เวลาทั้งหมดในการฝึกซ้อมกับต้นไม้ใหญ่แต่เมื่อต้นไม้ต้นนั้นไร้ซึ่งใบแล้ว เขาก็ย้ายไปยังต้นไม้ขนาดใหญ่ต้นไม้ต่อไป
และแน่นอน ขณะที่เขาค้นหาสถานที่ฝึก มีนกขนาดใหญ่ซุ่มที่จะเล่นงานเขา ซึ่งแน่นอน นกตัวนี้ไม่ได้แข็งแกร่งและใหญ่เทียบเท่ากับแร้งหยกขาวทมิฬ เมื่อเขาพบกับการซุ่มโจมตีเหล่านี้ เขาใช้หมัดเพียงหมัดเดียวก็สามารถหยุดพวกมันได้ในทันที ชิงสุ่ยกลับใช้เพียงเคล็ดวิชาอิไอโด้ในการโจมตีเขาสู่หัวของนกยักษ์นั้น แม้มันจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่มันก็สามารถบินหนีไปได้ เพราะกระบี่ในปัจจุบันของเขานั้นเป็นเพียงกระบี่ไม้ ความยาวของมันก็ไม่มาพอที่จะเจาะทะลุผ่านไปยังสมองของนกยักษ์ตัวนี้ได้
ชิงสุ่ยถอนหายใจในทันที ความยาวของกระบี่นี้สั้นเกินไป ถ้าเขามีกระบี่ที่ยาวและใหญ่ เขาคงจะสังหารมันได้อย่างสบายๆ แต่กระบี่ของเขาตอนนี้ หากเทียบกันแล้ว มันคงทำได้เพียงยุงกัด ไม่ว่าจะเป็นด้านความแรงหรือด้านใด กระบี่นี้คงไม่อาจสังหารผู้คนได้อย่างแน่นอน!!!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ขนาดยักษ์มันยังเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะสามารถสังหารมันภายในการฟาดฟันเดียวหากฟันลงบนศีรษะมัน ในทางกลับกัน หากคู่ต่อสู้ที่เขาต้องเผชิญเป็นมนุษย์ พวกมันจะต้องไม่เป็นผลใดๆเป็นแน่
เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป ต้นไม้ต่างๆรอบๆอาณาบริเวณต่างเปลือยเปล่าไร้ซึ่งใบไม้เนื่องจากการฝึกราวกับรู้ว่าชิงสุ่ยนั้นจะอยู่ตรงนั้นเป็นที่สุดท้ายก่อนจะกลับไปยังตระกูลชิง
ชิงสุ่ยได้ออกจากตระกูลมาเกือบจะครึ่งปี เวลาช่างผ่านไปอย่างรวกเร็วบัดนี้ย่างเข้าสู่เดือนพฤศจิกา สำหรับครึ่งปีที่ผ่านมา ทุกอย่างที่เขาฝึกถือได้ว่าใกล้เคียงกับที่เขาคิดไว้
“หนึ่งเดือนนี้คงเพียงพอที่จะให้ข้ากลับไปยังหมู่บ้านตระกูลชิง” ชิงสุ่ยอุทานออกมา
การตัดสินใจออกจากตระกูลในครั้งนี้ทำให้เขาได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล ประโยชน์ที่เขาได้รับมากที่สุดหาใช่เคล็ดวิชาอิไอโด้ไม่ แต่เป็นดินแดนหยกยุพราชอมตะ หลังจากที่เขาฝึกฝนอย่างยากลำบาก ชิงสุ่ยก้าวเขาสู่วิถีแห่งกระบี่ระดับที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ในบรรดาเหล่าใบไม้นับพันๆใบ หากมองดูอย่างใกล้ชิดแล้วจะพบว่าที่ใจกลางของใบไม้นั้นต่างผ่านการถูกแทงทุกใบ นอกเหนือจากนั้นแล้ว ด้วยเคล็ดวิชาอิไอโด้นั้น เขาฟาดฟันมันอย่างรวดเร็วและนำมันมาซ่อนกันโดยที่ไม่ปล่อยให้มันมีโอกาสถึงพื้นดินเลย
ระดับขั้นของกระบี่ที่ชิงสุ่ยเรียนรู้ถึงนั้นเรียกได้ว่าก้าวเข้าถึงขั้นมายาแล้วก็ว่าได้ จำนวนเวลาที่เขาใช้ไปนั้นถือว่าใกล้เคียงกับ 10 ปีเต็ม เป็นไปได้ว่า “10 ปีในการฝึกฝนกระบี่ มันคือการฝึกฝนกระบี่ขั้นพื้นฐานที่แสนเรียบง่ายจนเชี่ยวชาญ”
เขายังจะใช้เวลาในชีวิตประจำวัน 2 ชั่วโมงในการเข้าไปฝึกฝนในดินแดนหยกยุพราชอมตะ ที่เหลือนอกจากนั้นคือเวลาเดินทาง เมื่อมองไปยังเทือกเขา ภูผาต่างๆ มันช่วยไม่ได้เลยที่จะทำให้เขารู้สึกว่ามนุษย์นั้นช่างเล็กมากนัก ชิงสุ่ยเร่งเดินทางกลับไปทางทิศของหมู่บ้านตระกูลชิง เขาอดใจไม่ได้แล้วที่จะกลับสู่บ้านของเขา
แต่เคล็ดวิชากายาบรรพกาลเขายังโคจรได้ถึงเพียงรอบที่ 48 เท่านั้น ไม่ว่าเขาจะทำสิ่งใด เขาก็ไม่สามารถผ่านจุดคอขวดนี้ไปได้ อย่างไรก็ตามภายใต้ความล้มเหลวนี้ ชิงสุ่ยกลับตื่นเต้นอย่างมาก เขายังคงเชื่อว่าหากเขาโคจรปราณได้ครบ 49 รอบเมื่อไหร่ เขาก็จะสามารถทะลวงผ่านไปยังดินแดนสวรรค์ขั้นที่ 4 ของเคล็ดวิชากายาบรรพกาลได้อย่างแน่นอน
ในช่วงกลางคืนหลังจากที่เขาบ่มเพาะพลังเสร็จสิ้นภายใต้ดินแดนหยกยุพราชอมตะ ชิงสุ่ยถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ คอขวดนั้นเป็นปัญหาใหญ่รางกับขุนเขาที่ปิดกั้นเส้นทางของเขา ไม่ว่าจะทำสิ่งใดลงไปมันก็ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ความหวังที่เขาจะทะลุผ่านไปได้นั้นเรียกได้ว่า แทบไม่มี
ณ ตอนนี้ เขาเอียงศีรษะของเขา มองดูไปยังผลไม้สีแดงราวกับเลือดทั้ง 10 ลูกที่ห้อยอยู่บนกิ่งต้นไม้เสริมปราณ
“บางทีมันอาจถึงเวลาแล้วที่ข้าจะกินเจ้า เจ้าผลไม้เสริมปราณ” ชิงสุ่ยกล่าวออกมา