AST บทที่ 23 – คำถามในระดับอาณาจักรพลัง
บทที่ 23 – คำถามในระดับอาณาจักรพลัง
“ดีมาก จงแสดงให้แม่ดูเถิด ว่าชายชราผู้นั้นได้สั่งสอนอะไรลูกบ้าง” ชิงอี้หัวเราะพร้อมแสดงท่าทางพร้อมที่จะต่อสู้
ในความจริงนั้นชิงสุ่ยสงสัยมาก่อนว่าทำไมหลานชายคนโตในหมู่เยาวชนรุ่นที่ 3 อย่างชิงจือ เป็นเพียงคนเดียวที่บรรลุถึงจุดสูงสุดของอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 8 เมื่อเปรียบเทียบกับชิงหยูที่อายุ 18 ปี ซึ่งอยู่ในระดับอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 7 กลับถูกเรียกว่าอัจฉริยะ เมื่อพิจารณาแล้ว
ในขณะที่รุ่นที่ 2 ของตระกูลชิงนั้นได้บรรลุอาณาจักรพลังปราณบัญชาสวรรค์ขั้นที่ 8 และบางส่วนก็ได้บรรลุอาณาจักรพลังปราณบัญชาสวรรค์ขั้นที่ 9 โดยที่ชิงหลัวนั้นได้บรรลุอาณาจักรพลังปราณบัญชาสวรรค์ขั้นที่ 10 ไปแล้วแต่อายุของเขานั้นก็มากกว่า 100 ปีแล้ว
แม้ว่าชิงจือจะอายุ 25-26 ปีแล้วแต่เขาก็ยังได้พิจารณาว่าเป็นผู้นำในหมู่เยาวชนรุ่นที่ 3 แต่เขาก็ไม่ได้ก้าวเข้าสู่อาณาจักรพลังปราณปราบฟ้าเลย แม้ว่าเขาจะสามารถบรรลุระดับอาณาจักรพลังปราณปราบฟ้าได้ในอีก 5 ปี และบรรลุอาณาจักรพลังปราณบัญชาสวรรค์ในอีก 10 ปี แม้จะเป็นอาณาจักรพลังปราณบัญชาสวรรค์ขั้นที่ 1 เขาคงอายุกว่า 40 ปีแล้ว เมื่อเปรียบเทียบแล้วปัจจุบันเหล่าสมาชิกรุ่นที่ 2 ที่อายุมากกว่า 40 ปีแล้วนั้น อย่างน้อยพวกเขาก็บรรลุผ่านอาณาจักรพลังปราณบัญชาสวรรค์ขั้นที่ 8 แล้ว
เมื่อเขาลบล้างความสงสัยและรู้ว่าการคาดเดาของเขาถูกต้อง เมื่อเทียบกันแล้วสมาชิกรุ่นที่ 2 นั้นเทียบได้กับอัจฉริยะหาผู้ใดเปรียบได้แม้กระทั่งชิงหยู ทำไมถึงมีเหล่าอัจฉริยะมากมายภายในตระกูลชิงได้? มันยิ่งทำให้เขาสงสัย
ชิงอี้พาชิงสุ่ยมาถึงลานกว้างหลังบ้านตระกูลชิง ลานแห่งนี้ถูกปกครองโดยตระกูลชิง มันตั้งอยู่ภายในบ้านของชิงอี้เพื่อฝึกซ้อม ที่เก็บของต่างๆมีพร้อมเสร็จสรรพในบริเวณนั้น ลานแห่งนี้กว้างมาก ล้อมรอบไปด้วยกำแพงสูงนับ 10 เมตรทั้ง 4 ทิศทาง ในระยะทางที่ไกลออกไปจะพบกับสุนัขทมิฬไม่กี่ตัวแต่ขนาดเท่ากับขนาดขอววัวนอนซมอยู่ สายตาของมันนั้นจองมองราวกับเฝ้าระวังเพื่อปกป้องบางสิ่งบางอย่าง สุนัขเหล่านี้ถูกเรียกว่าสุนัขพันธ์เสือโมริยาม่ะ พวกมันมีลักษณะคล้ายสุนัขพันธ์ทิเบตันมาสทิสส์ ในโลกก่อนหน้านี้ของชิงสุ่ย แต่มันมีขนาดที่ใหญ่กว่า กล้ามเนื้อที่หนากว่าอีกทั้งความดุร้ายที่มากกว่า!!!
ช่างน่าเศร้าที่โลกใบนี้สัตว์และสัตว์ป่าหลายสายพันธุ์ต่างมีลักษณะที่ไกลเกินกว่าสุนัขเหล่านี้ ดังนั้นสุนัขเฝ้ายามสายพันธ์นี้จึงถูกใช้ในการปกป้องสัตว์ร้ายต่างๆที่ผ่านไปมา
ความคิดต่างๆที่เขาคิดตอนนี้ถูกลบเลือนหายไปหมด หลังจากที่เขามองมายังชิงอี้ เธอได้เตรียมท่าทางพร้อมต่อสู้แล้ว ชิงสุ่ยจึงรีบเปลี่ยนแปลงท่าทางเพื่อแสดงให้เห็นถึงความพร้อมความตั้งใจที่จะต่อสู้ ชิงสุ่ยกระแทกหมัดเดี่ยวๆออกไป ขณะที่เขาปล่อยหมดออกไปนั้น เขาได้ใช้เพียงความแข็งแกร่งของร่างกายอย่างเดียว โดยปราศจากการใช้พลังปราณเสริม ภายใต้หมัดนี้ที่ดูเหมือนการปล่อยหมัดอย่างช้าๆ ลมเกิดขึ้นโดยรอบกำปั้นของเขา เสริมสร้างให้เกิดอานุภาพมากพอที่จะสามารถกดดันคู่ต่อสู้ได้ กำปั้นที่ชิงสุ่ยปล่อยออกไปนั้นได้ตรงเข้าหาชิงอี้ในทันที
“หึ” ชิงอี้ตกใจอย่างมาก ความหวาดกลัวและตกใจเกิดขึ้นผ่านสายตาของเธอทันที ชิงอี้มองเพียงครั้งเดียวก็รับรู้ได้ทันทีว่าหมัดเดียวของชิงสุ่ยนั้น แข็งแกร่งยิ่งกว่าพลังอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 6 !!!!!!!
ชิงอี้ไม่เสียเวลาชักช้า เธอรีดพลังปราณในร่างกายของเธอออกมาพร้อมทั้งเคลื่อนมือขวาของเธออย่างรวดเร็วไปยังทิศทางของกำปั้นที่ชิงสุ่ยปล่อยออกมา เพื่อที่จะจับมันเอาไว้ยามที่มันเข้าใกล้
“คิ คิ” ชิงสุ่ยหัวเราะออกมาเล็กน้อย เมื่อกำปั้นของเขากำลังเขาใกล้ตัวชิงอี้ เขาเปลี่ยนแปลงทิศทางที่เขาโจมตีด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง ชิงสุ่ยผ่อนคลายกำปั้นของเขาออกทั้งยังขยายออก เผยให้เห็นนิ้วชีและนิ้วกลางที่กำลังสร้างรูปลักษณ์กระบี่ พลันพุ่งแทงอย่างรวดเร็วไปยังจุดเซ่าซาง จุดหยูจิง จุดไท่หยวน และจุดเลี่ยเชวีย ซึ่งเป็นจุดลมปราณแขนขวาของชิงอี้
มันคล้ายกับการจี้จุดแช่แข็ง ชิงอี้อึ้งในทันที เธอพบว่าแขนขวาของเธอนั้นไร้ซึ่งเรี่ยวแรงและเต็มไปด้วยความงุนงง
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าชิงสุ่ยจะเข้าใจถึงเคล็ดวิชาที่น่ากลัวเช่นนี้ได้ ทั้งการปิดกั้นจุดลมปราณพร้อมทั้งทำลายช่องทางการเสริมพลังศัตรู ความสับสนเกิดขึ้นในจิตใจของชิงอี้ เคล็ดวิชานี้ แม้มันจะมีประสิทธิภาพที่สูงมาก แต่กลับยากมสกที่จะฝึกฝนมัน เพราะมันต้องใช้ความรู้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับจุดลมปราณที่แตกต่างกันในร่างกาย ทั้งเส้นทางการเสริมพลัง ผู้ที่ฝึกฝนมันได้สำเร็จนั้นนับได้ว่าเป็นอัจฉริยะเหนืออัจฉริยะ ผู้ที่จะใช้เคล็ดวิชานี้ ยังต้องฝึกฝนอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผู้ใช้ยังต้องคำนวณแม้กระทั้งเวลา ความเร็ว ความรุนแรง มุมองศาที่จะจู่โจม ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องไม่เกินเสี้ยววินาที
“อือ ความจริงได้ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้วที่ลูกบอกว่าได้ฝึกฝนเรียนรู้เคล็ดวิชาที่สามารถเสริมความแข็งแกร่งได้” เด็กคนนี้ทำให้เกิดความรู้สึกเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ทั้งคลื่นพลังที่เล็ดรอดออกมาเมื่อเขาใช้ท่าที่พิเศษ นอกเหนือจากนั้น เคล็ดวิชาที่ชิงสุ่ยใช้ออกมานั้นไม่เคยปรากฏในมหาทวีปเมฆามรกต ชิงสุ่ยได้ทำให้ชิงอี้เกิดความประหลาดใจหลังการจู่โจมของเขา
ชิงอี้รู้สึกดีใจจนเหลือล้นที่ลูกชายของเธอนั้นสามารถฝึกฝนได้ถึงขั้น หยุดเส้นพลัง สกัดกั้นลมปราณ ซึ่งต้องใช้สติปัญญาที่สูงมาก มันอาจจะเป็นไปได้ที่ว่าชิงสุ่ยนั้นจะกลายเป็นนักปรุงโอสถ
หากจัดอันดับระหว่างนักปรุงโอสถระดับทั่วไปกับแพทย์รักษา นักปรุงโอสถถือได้ว่าดีกว่าเพียงเล็กน้อย หากใช้ไฟในการกลั่นยา อัตราการล้มเหลวจะมีสูงกว่าอัตราสำเร็จ ดังนั้นแม้ตัวโอสถจะอยู่ระดับต่ำ มันก็ยังคงมีราคาที่แพงมาก
“ตระกูลชิงของเรานั้นไม่ได้มีทรัพยากรมากพอที่จะฝึกฝนนักปรุงโอสถได้หรอก” ชิงอี้ถอนหายใจอย่างหดหู่
“ท่านแม่ ท่านไม่เป็นไรนะ? แขนท่านแม่ยังรู้สึกอึดอัดอีกไหม?” ชิงสุ่ยจัดท่าแขนของชิงอี้พร้อมทั้งไหลเวียนพลังปราณจากภายในร่างกายของเขา ซึ่งเขาใช้เคล็ดวิชาโบราณเคล็ดวิชากายาบรรพกาลอย่างรวดเร็วทำให้ความเจ็บปวดอีกทั้งความรู้สึกอึดอัดที่แขนของชิงอี้หายไปทันที
“สุ่ยเอ่อ(แก้ตามที่แนะนำจาก ชัวเอ่อ นะครับ) ลูกเติบโตขึ้นมากแล้วนะ ......” เมื่อชิงสุ่ยถ่ายพลังปราณของเขาให้ชิงอี้ เธอรู้สึกได้ทันทีว่าเส้นพลังปราณของชิงสุ่ยนั้นทั้งหนาและแข็งมากในตอนนี้ ชิงอีจึงเชื่อในเรื่องราวของชายชราโบราณ ลูกชายของเธอจะต้องไม่ได้บังเอิญพบเจอเป็นแน่ ที่น่าแปลกใจคือเมื่อเธอสังเกตชิงสุ่ยอย่างใกล้ชิด เธอกลับรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของความลึกลับพิศวงเล็ดลอดออกมาจากตัวชิงสุ่ย
“แม่อนุญาตให้ลูกออกจากตระกูลชิงไป แต่ เจ้าจะต้องยึดถือความปลอดภัยเหนือสิ่งอื่นใด ลูกไม่ได้รับอนุญาตให้ไปไกลมาเกินไป และลูกต้องกลับมาช่วงปลายปี เพื่อเข้าร่วมพิธีครบรอบการก่อตั้งตระกูลชิง!!!”ชิงอี้ลูบผมของชิงสุ่ยด้วยความรัก เพราะเธอจะไม่มีโอกาสทำแบบนี้อีกแล้วหลังจากชิงสุ่ยเดินทางจากไป
“ท่านแม่ลูกต้องการจะอ่านหนังสือโลกแห่งการรักษา หนังสือสารานุกรม 10,000 พันธุ์โอสถ และหนังสือเสถียรภาพผสานโอสถ และหลังจากนั้นอีก 1 ปีให้หลัง ลูกจะสามารถช่วยเหลือด้านการค้าของท่านแม่ได้อย่างแน่นอน”ชิงสุ่ยยิ้มตอบ
“ดีเลย ถ้าลูกมีความรู้ในระดับที่ดี แม่จะคอยสนับสนุนลูกเอง มา เดี๋ยวแม่จะพาลูกไปยังห้องสมุของตระกูลชิงเอง”
เมื่อได้ยินชิงอี้จะพาเขาไปยังห้องสมุดลับแห่งตระกูลชิง ชิงสุ่ยเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ห้องสมุดแห่งนี้จะอนุญาตให้เข้าเฉพาะผู้ที่มีความแข็งแกร่งตั้งแต่อาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 6 เป็นต้นไปเข้า ดังนั้นเขาจึงไม่เคยมาที่แห่งนี้มาก่อน “ท่านแม่ลูกมีคำถามเกี่ยวกับระดับอาณาจักรพลัง!!” ชิงสุ่ยมีคำถามในใจที่ต้องการถามชิงอี้
“เพียงแค่คำถาม ลูกถามมาได้เลย”ชิงอี้ยิ้ม
“ทำไมตระกูลชิงของเราถึงไม่มีคนที่อยู่ในระดับอาณาจักรพลังปราณปราบฟ้าเลย? คนอื่นๆต่างก็อยู่ในระดับอาณาจักรพลังปราณนักรบ ส่วนผู้ใหญ่ต่างอยู่ในอาณาจักรพลังปราณบัญชาสวรรค์ ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? มีเหตุอันใดเกิดขึ้น?”
เมื่อได้ยินคำถามของชิงสุ่ย ซึ่งเกินการคาดคิดของ เห็นได้ชัดว่าหัวใจของชิงอี้สั่นระรั่ว ทำไมเขาถึงถามคำถามแบบนี้ ความเฉลียวฉลาดของเขานั้นเกินมนุษย์ เกินกว่าขอบเขตของอัจฉริยะ!!
“เอ่อ เพราะ......โอสถบางชนิด ทำให้รุ่นที่ 1 และ รุ่นที่ 2 นั้นก้าวข้ามไป ถ้าหากไม่ได้โอสถตัวนี้ทั้ง 2 รุ่นของตระกูลชิง อย่างมากก็อยู่ในระดับอาณาจักรพลังปราณนักรบไม่ก็ระดับอาณาจักรพลังปราณปราบฟ้า อย่างมากสุดก็อาณาจักรพลังปราณบัญชาสวรรค์ขั้นที่ 1 เท่านั้น”
“อะไรนะ.?..... มันมีโอสถที่มหัศจรรย์ขนาดนี้ด้วย จากที่ท่านแม่กล่าวมานั้น ยาตัวนี้ได้เพิ่มระดับการบ่มเพาะจากขอบเขตนึงไปอีกขอบเขตนึงเลย จากอาณาจักรพลังปราณนักรบบรรลุได้ถึงอาณาจักรพลังปราณบัญชาสวรรค์!!!”ชิงสุ่ยรู้สึกว่าเรื่องนี้มันเหลือเชื่อเกินไป วิธีนี้จะต้องเป็นวิธีที่ดีเป็นแน่
“ไม่เพียงแค่นั้น ถ้าตัวโอสถมีประสิทธิภาพสูงมันอาจจะเพิ่มระดับจากอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 1 ไปสู่จุดสูงสุดของอาณาจักรพลังปราณโฮว่เทียน(เกินอาณาจักรพลังปราณบัญชาสวรรค์ขั้นที่ 10 ไปแต่ไม่ถึงอาณาจักรพลังปราณเทวะเซียนเทียน) แม้โอสถนั้นอยู่ในระดับต่ำที่สุดมันก็สามารถเพิ่มระดับจากอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 1 ไปสู่อาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 10” ชิงอี้อธิบาย
“โอสถชนิดนี้มันคืออะไรกันแน่.......?” มันจะจะต้องเป็นโอสถที่สร้างอัศจรรย์ถึงขั้นท้าทายสวรรค์อย่างแน่นอน!!!”