AST บทที่ 19 – ภาพแห่งความงดงาม
บทที่ 19 – ภาพแห่งความงดงาม
ชิงสุ่ยจับจ้องไปยังความงามอันทรงเสน่ห์ในชุดรัดรูปสีเพลิงโลหิต ชิงสุ่ยกลืนน้ำลายอย่างเห็นได้ชัด จิตใจของเขานั้นเกิดกิเลศขึ้น สะท้อนให้เห็นผ่านสายตา
หญิงสาวในชุดรัดรูป สังเกตเห็นว่าชิงสุ่ยนั้นจองมองอยู่ เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมความกังวลว่าชิงสุ่ยตั้งใจจะทำสิ่งใด แต่เธอไม่คาดคิดว่าสายตาอันทรงเสน่ห์ของชิงสุ่ยนั้นจะมีความคิดที่สกปรก
ชิงสุ่ยทำได้เพียงแต่ตำหนิตัวเอง เมื่อเทียบกับชีวิตก่อนหน้านี้ ประสบการณ์ด้านความรักของเขานั้นเรียกได้ว่าเป็นศูนย์ โดยเฉพาะในปัจจุบันเขาอายุ 15 ปี วัยรุ่นช่วงอายุนี้ ฮอร์โมนในร่างกายจะพลุ่งพล่านยามเมื่อได้พบสตรีสาวสวย จิตใจของเขานั้นร้อนรุมดั่งไฟสุมทรวง ชิงสุ่ยรู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้นั้นช่างสมบูรณ์แบบยิ่งนัก ความงามของเธอนั้นช่างเกินกว่าพรรณนาได้ โดยเฉพาะใบหน้าขาวใสเรียบเนียนดุจหยก แต่อาการแสดงออกทางสีหน้านั้นช่างดูเย็นชาคล้ายกับเจ้าหญิงแห่งดินแดนหิมะขาว ถึงแม้กระนั้นเธอก็ยังทรงเสน่ห์และงดงามกว่าทุกคนที่ชิงสุ่ยเคยเห็นในโลกก่อนหน้านี้
“สวัสดี อาชาตัวนี้เป็นของเจ้า? ข้าขอขี่มันดูได้หรือไม่?” ชิงสุ่ยทำทางท่าสงบและรวบรวมความคิดของเขาขณะที่ถามคำถามไปยังหญิงสาวชุดรัดรูปเพลิงโลหิต
ขณะที่ชิงสุ่ยกล่าวถามหญิงสาว เขาก็พยายามใช้ความแข็งแกร่งที่เขามีปราบปรามอาชาให้อยู่ใต้บัญชาของเขา แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับคำตอบอนุญาตจากเจ้าของมัน เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะลงจากอาชาตัวนี้อยู่แล้ว
"เจ้าต้องการที่จะขี่อาชาของข้า" หญิงสาวชุดรัดรูปเพลิงโลหิต กล่าวพร้อมแสดงสีหน้าอันเย็นช้าของเธอชุด ขณะที่ชุดรัดรูปเพลิงโลหิตของเธอทำให้เธอดูโดดเด่นมากขึ้น
นอกจากนี้ยังพบว่าชิงสุ่ยนั้นทำท่าทางแส้แสร้งแกล้งโง่ แม้ว่าเจ้าของจะไม่อนุญาตให้เขาขี่อาชาตัวนี้ แต่เขาก็ได้ขี่มันไปแล้ว การกระทำนี้ถือได้ว่าเป็นการพบกันครั้งแรกที่แสนจะน่ารังเกียจ
ในขณะนี้ชิงสุ่ยได้กระโดดม้วนตัวกลับลงมายืนอยู่บนพื้นดินอีกครั้ง พร้อมทั้งยิ้มอย่างเขินอาย ขณะที่มองมายังหญิงสาวในชุดรัดรูปสีแดง เมื่อมองจากระยะใกล้นั้นชิงสุ่ยพบเธอนั้นมีขาเรียวสวยราวกับหิมะสีขาว ชิงสุ่ยจดจำทุกอย่างในหัวของเขาทันที พร้อมทั้งถามออกไปว่า “เจ้ามาจากเมืองร้อยไมล์ใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้วล่ะ” ข้าคงไม่จำเป็นต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ คนที่นี้คงไม่โง่ขนาดนี้ที่ไม่รู้ว่าข้านั้นเป็นคนนอกหรอกนะ เมื่อชิงสุ่ยอยากสนทนากับหญิงสาวคนนี้ต่อ เพื่อจะสอบถามว่าหญิงสาวที่แสนงดงามคนนี้มาทำอะไรในสถานที่แห่งนี้ ทุกอย่างก็ถูกยกเลิกไป เพราะขณะนี้ ชิงหลัวได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมชายชราและผู้เยาว์อีกหนึ่งคน
เครื่องแต่งกายของชายชรานั้นถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย เห็นได้ว่าวิธีการตัดเย็บนั้นช่างประณีตสวยงาม นี้ควบคู่กับกลิ่นอายอันทรงพลังเล็ดลอดออกมาจากชายชราผู้นั้น สามารถบอกได้ว่าชายชราคนนี้จะต้องเป็นคนของผู้มีอำนาจจากสถานที่ใดสถานที่หนึ่งเป็นแน่
เยาวชนที่ปรากฏหลังชายชรานั้นลักษณะรุ่นราวคราวเดียวกับหญิงสาวชุดเพลิงโลหิต แต่เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของเขาแตกต่างจากชายชรา . . เสื้อทำจากผ้าไหมและผ้าฝ้ายชั้นดี ส่งเสริมลักษณะความเป็นผู้ดีในสังคมชั้นสูง เพียงแค่มองดูทุกคนสามารถบอกได้ทันทีว่าชายผู้นี้จะต้องมีประวัติความเป็นมาที่ไม่ธรรมดา สิ่งเดียวที่รับรู้ได้ตอนนี้ คือ ความหยิ่งผยองและอวดดี จากแววตาที่เหมือนดูถูกโลกทั้งใบ ซึ่งมันเป็นสิทธิที่เขาพึ่งทำได้ ชิงสุ่ยอยากหัวเราะออกมาเมื่อเห็นแววตาจากชายหนุ่มผู้นี้ เพราะว่าอารมณ์ของชายหนุ่มผู้นี้นั้นช่างเหมือนอาชาพยศซึ่งถูกเขากำราบไปก่อนหน้านี้
ชิงสุ่ยเห็นว่าทั้งสามคนนั้นกำลังยิ้มพร้อมเดินจากไป เป็นไปได้ว่าพวกเขากำลังจะกลับออกไปจากที่นี้?
“ชิงสุ่ย มาทักทายท่านลุงหนานเทียน” ชิงหลัวกวักมือเรียกชิงสุ่ยพร้อมทั้งแสดงสีหน้าอันมีความสุข
" ท่านลุงหนานเทียน หลานชายชิงสุ่ยยินดีที่ได้พบท่าน”
“เจ้าคงเป็นบุตรชายของชิงอี้?” ชายชราถามด้วยความประหลาดใจ ชิงอี้ยังคงอ่อนวัย แต่เธอกลับมีบุตรชายที่โตขนาดนี้ " ยินดีที่ได้พบนะสหายตัวน้อย " เสียงของซือถูนานเทียนกล่าวอย่างอบอุ่น
" มาเถอะลุงเองมีคนอยากจะแนะนำแก่เจ้า ชิงสุ่ย นี้คือหลานชายของลุงเองซือถูปู้ฝาน ส่วนหลานสาวคนนี้คือ สือฉิงจวง ! "
" และเธอเป็นคู่หมั้นของข้า " ซือถูปู้ฝานกล่าวแทรกพร้อมความหนาวเย็นเล็ดลอดออกมาจากดวงตาของเขา
" เข้าใจล่ะ ช่างน่าเสียดายจริงๆ " ชิงสุ่ยไม่อาจซ่อนความรู้สึกภายในเขา อาจเป็นเพราะ ชิงสุ่ยได้ความประทับใจแรกพบที่ไม่ดีจากซือถูปู้ฝาน ยิ่งการแสดงออกทางใบหน้าราวกับคำด่าเมื่อเขากล่าวว่าสือฉิงจวงนั้นเป็นคู่มั้นของเขา ชิงสุ่ย
รู้สึกเหมือนอยากจะต่อยหมัดใส่ใบหน้าของซือถูปู้ฝาน
ในทางตรงกันข้ามขณะนี้ชิงสุ่ยสบตากับหญิงสาวชุดแดงครั้งแรก เขาก็รู้สึกว่า ความงามของเธอนั้นหาผู้ใดเปรียบได้เลย แม้ว่าเธอจะเย็นชา ชิงสุ่ยก็แน่ใจว่าแค่รอยยิ้มจากเธอนั้นคงเปรียบได้กับดอกไม้ที่บานในฤดูใบไม้ผลิ
"เจ้า .. เจ้า ..เมื่อสักครู่เจ้ากล่าวสิ่งใด ?!" ซือถูปู้ฝานแสดงความโกรธออกมาพร้อมกล่าวอย่างติดอ่าง เขาเป็นถึงหนึ่งในสี่ตระกูลที่ยิ่งใหญ่และทรงพลังในเมืองร้อยไมล์ เขาเป็นถึงชายที่ทุกคนเคารพในตระกูลซือถู ไม่เคยมีใครกล้าพูดกับเขาเช่นนี้มาก่อน
ความหมายของคำที่ชิงสุ่ยกล่าวออกมานั้นชัดเจนราวกับว่ามีวัตถุประสงค์จะทำให้ซือถูปู้ฝานโกรธ
เมื่อมองดูท่าทางของซือถูปู้ฝานและความอดทนอันน้อยนิดของเขา ชิงสุ่ยพลัยเต็มไปด้วยความรังเกียจและเกลียดชัง ซือถูปู้ฝานคงเป็นเพียงแค่เด็กเหลือขอไร้ประโยชน์ที่มาจากตระกูลใหญ่และคงคิดเพียงว่าตัวเองนั้นอยู่จัดสูงสุดเหลือสวรรค์ แต่ถ้าหากเขาออกไปผจญโลกกว้างแล้วเขาย่อมคงพาหายนะเข้าหาตัวเองเป็นแน่(งง เลย ไปด่าเขาก่อนแล้วยังหาว่าเขาโง่อีก พระเอกตรู)
ชิงสุ่ยหันศรีษะของตนเองไปทางสือฉิงจวง พบว่าเธอนั้นไม่สนใจสงครามคำพูดระหว่างชิงสุ่ยกับซือถูปู้ฟาน เธอยังคงใจเย็นพร้อมลูบแผงคออาชาพยศอย่างเป็นธรรมชาติ
“ปู้ฝาน ปู่บอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว เจ้าจะต้องสุภาพและจงแสดงความเคารพแก่ผู้อื่น เจ้าจะต้องเป็นคนที่ยิ่งใหญ่มีความอดทนและวิสัยทัศน์กว้างไกล แต่ดูเหมือนเจ้าจะลืมคำสอนที่ปู่สอนเจ้าหมดแล้ว?” ซือถูนานเทียนกล่าวด้วยความโกรธ ชิงสุ่ยยิ้มออกมาเขาก็รู้สึกเหมือนมีลมพัดอากาศเย็นผ่านทำให้เขามีความรู้สึกสบายใบอย่างมากเมื่อเห็นซือถูปู้ฝานถูกอบรมสั่งสอนต่อหน้าเขา
ซือถูปู้ฝานลดหัวของเขาลงและไม่กล้าที่จะกล่าววาจาอะไรออกมาในขณะที่ลงปู่ของเขาสั่งสอน
“ชิงสุ่ย ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเสียมารยาทต่อซือถูปู้ฝาน” ชิงหลัวกล่าวตักเตือนชิงสุ่ย แต่เสียงของเขานั้นช่างอบอุ่นอ่อนโยนจนรู้สึกว่าชิงหลัวนั้นคงชื่นชมในพฤติกรรมของชิงสุ่ย
ความโกรธแค้นฝังลึกลงไปในหัวใจของซือถูปู้ฝาน หากพบกันครั้งหน้าข้าจะทำให้เจ้าพิการเป็นแน่ชิงสุ่ย หลังจากนั้นผู้คนมากมายก็เขามาประจบชายหนุ่มจากตระกูลซือถู
ชื่อของเธอคือ สือฉิงจวง!
จากใจของชิงสุ่ยเขารู้สึกว่าไม่เพียงแต่ความงามของเธอ แม้แต่ชื่อของเธอนั้นก็ดูดีไปหมด เธอจะต้องมาจากหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ในเมืองร้อยไมล์เป็นแน่ และมีข่าวลืออีกว่าคนที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นมาจากตระกูลสืออีกด้วย
ณ ทางเข้าหมู่บ้านตระกูลชิง “พี่ใหญ่หนานเทียน ข้าคงมาส่งท่านได้เพียงเท่านี้ ข้าจะไปเยี่ยมเยียนท่านเองในอนาคตอันใกล้นี้” ชิงหลัวกล่าว
“น้องข้าเจ้าไม่ต้องสุภาพขนาดนี้ก็ได้ยังไงซะ ตระกูลซือกับตระกูลชิงของพวกเรานั้นเปรียบดั่งมิตรสหายกัน เจ้าไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากก็ได้” ซือถูหนานเทียนกล่าว
หลังจากที่ ซือถูหนานเทียนและเยาวชนทั้งสองจากไป
“เจ้าเฒ่าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ แม่จะผ่านไปหลายปีเจ้ายังคงฉลาดเจ้าเล่ห์เพ่ทุบาย” ชิงหลัวถอนหายใจพร้อมความรู้สึกไร้พลัง
“ท่านปู่ ซือถูหนานเทียนดูเหมือนเป็นคนมีเกียรติมีอัธยาศัยดี ทำไมท่านปู่ถึงกล่าวราวกับเขาเป็นคนที่เลวร้าย?”ชิงสุ่ยถามด้วยความสงสัย
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าจิ้งจอกเด็กเจ้าไม่ต้องหลอกปู่เจ้าหรอก อย่างคิดว่าปู่คนนี้ไม่รู้ว่าเข้าคิดเช่นไร ข้ารู้สึกได้เลยว่าเจ้าช่างเล่ห์เหลี่ยมยิ่งกว่าซือถูหนานเทียนยามเมื่อมันอายุเท่าเจ้าอีก” ชิงหลัวระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ท่านปู่ ……. ท่านกำลังเข้าใจหลานผิด หลานไม่ได้ฉลาดหลักแหลมถึงขนาดนั้น หึหึ” ชิงสุ่ยยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย
“เจ้ามันอัจฉริยะอย่างไม่ต้องสงสัยและเจ้ายังมีไหวพริบในการตัดสินคนที่ดีเยี่ยมอีกด้วย เสียดายที่พลังปราณของเจ้านั้นอ่อนแอเกินไป หากไม่นับกรณีนี้ แต่นับจากระดับความเข้าใจของเจ้า เจ้าจะต้องประสบความสำเร็จไปยุทธภพเป็นแน่”ชิงหลัวตบไหล่ของชิงสุ่ยขณะที่เขากล่าวออกมา แม้สีหน้าที่แสดงออกมาจะขัดแย้งกันก็ตาม
“ท่านปู่ ทำไมท่านถึงหยุดการกระทำของหลาน ก่อนที่หลานจะฉีกหน้าไอ้เด็กตระกูลชิงนั้น ข้าจะทำให้มันได้ชดใช้เป็นแน่”ซือถูปู้ฝานกัดฟันเต็มไปด้วยความแค้น
“หือออ” ซือถูหนานเทียนพ่นลมหายใจออกมา ขณะที่มองไปยังหลานของเขา พลันแสดงร่องรอยความผิดหวังออกมาจากดวงตาของเขา แม้ว่าความสามารถในการต่อสู้รวมทั้งพลังปราณของเขาจะมีสูง แต่ความคิด การตอบโตของเด็กหนุ่มผู้นี้นั้นช่างต่ำต่อย ซือถูปู้ฝานนั้นจะแสดงอาการหยิ่งผยองได้เฉพาะในเมืองร้อยไมล์เพราะมีกำลังสนับสนุนมากมายจากตระกูลผู้ให้กำเนิดเขา แต่เขานั้นกลับไม่รู้โลกกว้างใหญ่ภายนอกเลย เมืองร้อยไมล์นั้นเปรียบได้ดั่งฝุนเมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงอย่างมหาทวีปเมฆามรกต