AST บทที่ 17 - หลานชายคนโตแห่งตระกูลชิง
บทที่ 17 - หลานชายคนโตแห่งตระกูลชิง
“15 ปี........บัดนี้เป็นเป็นเวลาถึง 15 ปีแล้วที่ข้าได้ถือกำเนิดขึ้นในตระกูลชิงนี้ ข้าว่ามันคงถึงเวลาที่ข้าจะต้องออกไปเผชิญโลกจอมยุทธใบนี้ ปัจจุบันเคล็ดวิชากายาบรรพกาล ทำให้ข้าสามารถใช้เพียงแค่พลังกายก็สามารถใช้กำลังได้สูงกว่า 10,000 จิน รวมทั้งข้ายังมีเคล็ดวิชาศาสตราวุธเล้นลับที่ซ่อนอยู่ภายใต้ตัวข้า ข้าคิดว่าข้านั้นมีพลังอำนาจมากมายพอจะป้องกันตัวข้าเองได้อย่างแน่นอน” ชิงสุ่ยคิดและไตร่ตรอง
ถ้าหากชิงสุ่ยไม่คิดที่จะเผชิญหน้ากับโลกแห่งความเป็นจริงใบนี้ รวมทั้งการเผชิญหน้ากับสถานการณ์กดดัน อันตราย อีกทั้งสถานการณ์เฉียดเป็นเฉียดตายแล้วนั้น มันคงจะเป็นเรื่องยากที่ชิงสุ่ยนั้นจะสามารถก้าวข้ามจุดสูงสุดของเคล็ดวิชากายาบรรพกาล ขั้นที่ 3 ไปได้
“ท่านแม่ใกล้จะกลับมาถึงบ้าน มันคงถึงเวลาแล้วที่ข้าจะต้องกล่าวคำอำลา” ชิงสุ่ยตัดสินใจอย่างแน้วแน่แล้วว่าเขาเลือกที่จะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ต่างๆภายนอกตระกูลชิง
“ทำไมเหล่าจอมยุทธที่เป็นตำนานทุกคนต่างมีทั้งอาวุธระดับทวยเทพแม้กระทั้งแหวนต่างมิติ แม้กระทั่งความเป็นอัจฉริยะของพวกมัน นี้คือชีวิตของพวกมัน แต่ข้ากับไร้ซึ่งพวกมันแม้แต่อย่างเดียว ข้านั้นยังคงเป็นได้เพียงขยะ” แม้ว่าชิงสุ่ยไม่เคยยอมรับว่าตัวเองนั้นโง่งมเปรียบดั่งขยะ แต่เขาไร้ซึ่งทางเลือกที่จะยอมรับมันให้ได้
“แม้ว่าปัจจุบันข้าลำบากในการนำพาทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าต้องการติดตัวไปโดยไร้ซึ่งแหวนต่างมิติ แต่อย่างน้อยข้าต้องขอบคุณเคล็ดวิชากายาบรรพกาล ที่ทำให้ข้ามีร่างกายทีแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อมันทำให้ข้าสามารถรับน้ำหนักได้เกินกว่า 10,000 จินได้ นอกจากนี้ ความแข็งแกร่งของข้านั้นเปรียบเทียบได้กับอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 7 แล้ว ข้ามันใจมากว่าข้าจะสามารถล้มเหล่าเยาวชนรุ่นที่ 3 อันน่าสงสารได้ในหมัดเดียวเท่านั้น” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยความจริงจัง
“บนพื้นฐานของความแข็งแกร่งนั้น กลยุทธ์ทั้งหมดจะไร้ซึ่งความหมาย โดยหากใช้ความแข็งแกร่งตอบโต้กับเคล็ดวิชาอันแสนซับซ้อน กล่าวได้ว่าหมัดอสูรสันโดษนั้นเป็นสุดยอดแห่งเคล็ดวิชาต่อสู้ มันสามารถจู่โจมจุดลมปราณและจุดอ่อนของศัตรู และข้าจะทำให้พวกมันรับรู้ถึงความเจ็บปวด ทรมาน รวมทั้งให้พวกมันพิการ” ชิงสุ่ยหัวเราะเยาะเย้ย
ชิงสุ่ยกล่าวกับตัวเองหลังจากที่ก้าวออกมาจากบ้านของชิงฮู เขานั้นเป็นคนหยิ่งผยองมาก เขาเรียนรู้สิ่งต่างๆหลากหลายอย่าง อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยนั้นเติมโตกว่าเมื่อก่อนมาก มันถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องความคุมสัญชาตญานดิบภายในจิตใจของเขา
“ข้าจะต้องลดความหยิ่งผยองลง และจะประเมินค่าตัวข้าเองให้สูงขึ้น โลกใบนี้นั้นช่างกว้างใหญ่ไพศาล วิธีเดียวที่จะก้าวไปข้างหน้าได้นั้นคือการบ่มเพาะพลังที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง” ชิงสุ่ยกล่าวเตือนตัวเอง
การบรรลุจดสูงสุดของเคล็ดวิชากายาบรรพกาล ขั้นที่ 3 ทำให้เขารู้สึกดีมาก แต่การที่เขาไม่สามารถพัฒนาได้แล้วนั้นทำให้เขาสิ้นหวัง ในหัวใจของเขานั้นต้องการที่จะก้าวไปสู่ขั้นที่ 4 เพราะหากเขาก้าวไปสู่ขั้นที่4 ได้ นั้นก็หมายถึงเขาก้าวเขาสู่ดินแดนแห่งพลังขั้นกลางของเคล็ดวิชากายาบรรพกาล มันจะทำให้ร่างกายของชิงสุ่ยนั้นเติบโตแข็งแกร่งขึ้นในอัตราที่บ้าคลั่ง ชิงสุ่ยปรารถนาที่จะก้าวข้ามไปสู่จุดนั้น
“ชิงสุ่ยนั้นเจ้าใช่หรือไม่” เสียงเรียกชื่อเขานั้นสะท้อนให้เห็นว่าผู้เรียกนั้นอยู่ในวัยกลางคน
เสียงในหัวของชิงสุ่ยนั้นตระหนักได้ว่ามันเป็นเสียงของหลานชายคนโตของตระกูลชิง ชิงจือ ที่ตะโกนเรียกเขา ชิงจือนั้นเป็นคนที่อัธยาศัยดีมาก โดยธรรมชาติ แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยได้พูดคุยกับ ชิงสุ่ย อย่างไรก็ตาม ในแต่ละครั้งที่พวกเขาตอบโต้พูดคุยกัน ชิงจือนั้นจะเป็นกันเองมากกับเขา
ชิงจือนั้นปัจจุบันอายุได้ 25 ปีแล้ว เขามีร่างกายที่ใหญ่มาก แผ่นหลังเปรียบได้ดังเสือ ช่วงล่างแข็งแกร่งราวกับหมี ปรากฏลักษณะราวกับยักษ์......
“พี่ชิงจือ มาหาข้าในเวลานี้ ท่านพี่มีธุระอันใด” ชิงสุ้ยรู้สึกแปลกมากที่ชิงจือมาที่นี่ในวันนี้ เพราะหลังจากที่บรรดาเยาวชนรุ่นที่ 3 ได้ก้าวผ่านอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 6 ไปนั้นเขาทุกคนจะใช้เวลาทั้งหมดในการฝึกฝน
“ฮ่า ฮ่า ข้าจะพักผ่อนหลังจาก บรรลุพลังไม่ได้หรือไง” ชิงจือเกาหัวและกล่าวตรงไปตรงมา การกระทำของชิงจือนั้นช่างดูตลก ชิงสุ่ย รู้สึกว่าระยะห่างระหว่างพวกเขานั้นสั้นลงมาก ความแตกต่างระหว่างวัยของพวกเขานั้นไม่ได้กว้างเกินไป รวมทั้งยังมีหัวข้อสำหรับการสนทนาที่น่าสนใจระหว่างพวกเขา
“ห๊ะ ท่านพี่ก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว? ข้าขอแสดงความยินดีด้วยท่านพี่ชิงจือ” ชิงสุ่ยมีความสุขไปพร้อมกับชิงจือ ถ้าเป็นศิษย์รุ่นที่ 3 คนอื่นๆ คงจะมาพร้อมกับความเย้ยหยัน แดกดันชิงสุ่ย แต่ชิงจือนั้นแตกต่างกัน ผู้คนต่างรู้จักดีสำหรับความตรงไปตรงมาของเขา นอกจากนี้ชิงจือยังพบอีกว่าชิงสุ่ยนั้นเป็นคนตรงไปตรงมาเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาเข้ากันได้ดีเลย ถ้าชิงจือ มีชีวิตอยู่ในโลกก่อนหน้านี้ของชิงสุ่ย เขาจะถูกเรียกว่าเป็นคนโง่ที่จะถูกหลอกได้ง่ายๆ
ชิงจือยิ้มพร้อมทั้งดูถูกตัวเองว่า ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น มันเกิดจากโชคช่วย หาใช่ความพยายามของเขาเองไม่.....
“ชิงสุ่ย เจ้าเองต้องฝึกฝนให้หนักเข้าไว้ หากเจ้าเองต้องการความช่วยเหลืออันใดจากข้า ข้ายินดีช่วยเจ้าอย่างสุดความสามารถ” ชิงจือกล่าวออกมา แค่คำพูดง่ายๆเหล่านี้ กลับทำให้ชิงสุ่ยรับรู้ถึงความจริงใจที่ชิงจือแสดง
“ข้าจะพยายาม ท่านพี่ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก บางทีในอนาคต ข้าอาจจะแข็งแกร่งมากกว่าท่านพี่ แล้วท่านพี่จะไม่ผิดหวัง!” ชิงสุ่ยกล่าวคำพูดติดตลกกับชิงจือ มันอาจจะฟังดูตลกแต่ชิงสุ่ยนั้นจริงจังกับคำพูดนั้นด้วย
“ข้าเองก็เชื่อว่าเจ้าจะสามารถบรรลุถึงขั้นนั้นได้ หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ข้าจะยิ่งมีความสุข ยิ่งเจ้านั้นแข็งแกร่งขั้น
ข้าก็ยิ่งสุขใจ!” ชิงจือหัวเราะพร้อมทั้งตบไปยังหัวไหล่ของชิงสุ่ย
“ทำไม ? ทำไมท่านพี่ถึงมีความสุข ถ้าข้าแข็งแกร่งกว่าท่านพี่” ชิงสุ่ยถามด้วยความสงสัย เขารู้ว่า โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ การแข่งขันภายในกลุ่มสมาชิกนั้นมีความรุนแรงมาก สมาชิกที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นนั้นหวังลึกๆว่าจะได้ขึ้นครองตำแหน่งผู้นำตระกูล . . . .
อย่างไรก็ตาม หัวของไก่ยังไงก็ไม่สามารถเทียบได้กับปลายหางของฟีนิกซ์ ไม่มีใครอยากเป็นผู้นำตระกูลเล็กๆ เมื่อเทียบกับตำแหน่งเล็กๆในตระกูลใหญ่
ชิงสุ่ยถามชิงจือ เพราะการพัฒนาในปัจจุบันของชิงจือนั้นอยู่ในระดับแนวหน้าของตระกูลชิง เขานั้นมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะขึ้นรับตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไป!!!! ! นอกจากนี้ แม้ว่าโดยธรรมชาติของชิงจือจะเป็นคนซื่อสัตย์ และตรงไปตรงมา แต่เขายังเป็นคนที่สามารถวิเคราะห์การณ์ไกลและคิดล่วงหน้าและมีสติปัญญาที่เทียบเท่ากับชิงหลัว ชิงสุ่ยสามารถอนุมานว่าอีกไม่ช้าก็เร็ว ชิงจือจะต้องได้รับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเป็นแน่
“ก็เพียงแค่...... ข้ากับเจ้าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าวันนึงเจ้าสามารถบรรลุขั้นอาณาจักรพลังปราณเทวะเซียนเทียนได้แล้วละก็ เจ้าจะเปรียบดั่งความภาคภูมิใจของตระกูลเรา แล้วทำไมข้าจะต้องโกรธไม่พอใจเจ้าด้วยล่ะ???? รวมทั้งผู้ที่บรรลุขั้นอาณาจักรพลังปราณเทวะเซียนเทียนยิ่งเป็นเจ้าที่เป็นญาติคนสำคัญของข้า” ชิงจือกล่าวออกมาด้วยความจริงใจ
ชิงสุ่ยไม่ทราบว่าชิงจือพูดแบบนี้จริงๆ หรือเพราะเขาโง่ หูเบา แต่ เขากลับรู้สึกมีความสุขที่ได้ชิงจือมาเป็นคนที่เขาสามารถไว้ใจได้
ชิงสุ่ยและชิงจือพูดคุยในขณะที่พวกเขาเดินเคียงข้างกัน
“ท่านพี่ชิงจือ หรือว่าท่านกำลังจะออกไปข้างนอกตระกูลชิง??” ชิงสุ่ยถามช้า
ชิงจือไม่ตกใจในคำถามของชิงสุ่ย เขาเกาหัวและยิ้มกลับมา “ที่ไกลที่สุดที่ข้าเองนั้นเคยไปนั้นคือ เมืองร้อยไมล์ มันเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมากและพัฒนาไปไกลมากกว่าตระกูลชิงของเรา”
“ท่านพี่ชิงจือ ท่านเคยคิดที่จะไปผจญโลกกว่าภายนอกหรือไม่ โลกที่เต็มไปด้วยสีสันและความตื่นเต้น ความหวัง และความฝันของชายหนุ่ม อีกทั้งท้องนภาที่กว้างใหญ่ไพศาล” ชิงสุ่ยพยายามเน้นการฝึกฝนบ่มเพาะพลังและไม่เคยก้าวออกมาพ้นอาณาเขตตระกูลชิง เขาไม่แม้แต่จะเดินทางไปเมืองร้อยไมล์ สีชมพูถูกแต่งเติมบนใบหน้าแม้ภายใต้สีนั้นจะเต็มไปด้วยความเศร้า แม้ว่าเครื่องบินและรถยนต์จะไม่มีจริงบนโลกใบนี้ แต่ยังคงมีวิธีการเดินทางอื่นๆเช่น การขี่ม้า โดยการเดินทางไปยังเมืองร้อยไมล์โดยเดินทางบนหลังม้านั้นกินเวลาถึง 2 ชั่วโมง
“ข้าเคยได้ยินจากท่านปู่ว่าโลกภายนอกนั้นเต็มไปด้วยอันตราย มิตรสหายกลายเป็นอสูร การทรยศเกิดขึ้นได้ทุกขณะ เจ้าจะสามารถเชื่อได้เพียงตัวเอง ถ้าเจ้ายังไม่แข็งแกร่งพอมันจะดีกว่าถ้าเจ้าจะอาศัยอยู่ในตระกูลชิง แทนที่จะเอาชีวิตเจ้าไปทิ้งไว้ที่โลกภายนอก”ชิงจือกล่าวอย่างเคร่งขรึม แสดงถึงความมึดมนที่แสดงผ่านดวงตา
“มันจะต้องมีแน่นอนวันที่ข้าสามารถตั้งหลักยืนหยัดอยู่ได้ในโลกแห่งการบ่มเพาะนี้ ข้าจะเปรียบดั่งขุนนางและมหาราชาที่จะมองชิ้นส่วนต่างๆของโลกใบนี้ด้วยความเหยีดหยามรังเกียจ”ชิงสุ่ยกล่าวเด็ดเดี่ยว พร้อมแสดวงความเย็นชาแวบผ่านดวงตาของเขา
ชิงจือตกใจมาก เขาไม่คาดคิดเลยว่า บุคคลที่โดยดูถูกเมื่อครั้งอดีตว่าเป็นดั่งขยะอย่างชิงสุ่ย จะมีความกล้าเอ่ยคำพวกนี้ออกมา
ในช่วงเวลานี้ชิงสุ่ยให้ชิงจือได้รับรู้ความรู้สึกอันลึกซึ้ง ลึกลับ นับครั้งไม่ถ้วน ชิงจือรับรู้ได้ว่าคนที่ยืนข้างหน้าเขาตอนนนี้ นั้นช่างแปลกยิ่งนัก