ตอนที่แล้วAST บทที่ 13 – บรรลุขั้นที 3 เคล็ดวิชาใหม่ปรากฏ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปAST บทที่ 15 - เหลียนเย่เออ หลานสาวแห่งตระกูลเหลียน

AST บทที่ 14 – ยังเป็นเฉกเช่นขยะ!!!!


บทที่ 14 – ยังคงเป็นเพียงขยะ!!!!

ขั้นแรกมีส่วนสำคัญที่ต้องเข้าใจนั้นคือ ความเร็ว เราต้องเข้าใจถึงความเร็วสูงสุดที่เป็นไปได้ และเข้าใจถึงขีดจำกัดของความเร็ว ความเร็วในการฝึกฝนขั้นนี้จะทำให้คนอื่นเห็นเราในรูปแบบภาพลวงตา ก้าวไร้วิญญานจำเป็นต้องเข้าใจถึงการคิดคำนวณทิศทางของยันต์แปดทิศเก้าทิศทางและเข้าถึงพลังมายาลึกลับ เพื่อสร้างความสับสนให้แก่ศัตรู สิ่งเหล่านี้จะทำให้ชิงสุ่ยสามารถสร้างช่องทางหลบหนีได้อย่างง่ายดาย และหากผู้ใดอยากบรรลุขั้นสูงสุดในเคล็ดวิชา ก้าวไร้วิญญานแล้วล่ะก็จะต้องมีความคิด การคำนวณที่อยู่ในขั้นน่ากลัวมาก

เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว เป็นเวลากว่า 5 ปี. ชิงสุ่ยในตอนนี้มีอายุ 15 ปี ร่างกายของเขาสูงขึ้น ทั้งยังแข็งแกร่งขึ้น เขายังคงมีเผยความเย็นชาออกมาจากดวงตาคู่สวยของเขา ราวกับว่าทั้งโลกนี้ไร้ซึ่งคุณค่าที่เขาคู่ควรจะได้รับ

และแล้วนี้ก็เป็นอีกครั้งนึง ที่ชิงสุ่ยยังคงความเป็นขยะไว้ ไม่ว่าเขาจะบ่มเพาะพลังวิธีไหน เขายังไร้ซึ่งความก้าวหน้าในพลัง ไม่เพียงแค่นั้น เขายังคงบรรลุถึงเพียงจุดสูงสุด ของเคล็ดวิชากายาบรรพกาล ขั้นที่ 3

ชิงสุ่ยนั้นต่างจากผู้อื่น เขาไม่ใช่คนที่จะจมไปพร้อมกับคำว่ายอมแพ้ จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความสงบ เมื่อ 2 ปีที่แล้ว เขาได้บรรลุสู่จุดสูงสุดของเคล็ดวิชากายาบรรพกาล ขั้นที่ 3 แต่ไม่ว่าจะวิธีการใดที่เขาทำ เขาไม่อาจก้าวไปข้างหน้าได้อีก แต่ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่เคล็ดวิชาดอกบัวปราณฟ้าก็บรรลุได้เพียงแค่จุดสูงสุดของขั้นที่ 3 เท่านั้น

ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ชิงสุ่ยมีความร้อนอกร้อนใจอย่างยิ่ง ในบรรดาเยาวชนรุ่นที่ 3 ของตระกูลนั้น เขาทุ่มเทให้กับการบ่มเพาะมากที่สุด เขามีความเชี่ยวชาญในเคล็ดวิชาศาสตราวุธเล้นลับเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหมัดอสูรสันโดษนั้นมีพลังและความน่ากลัวสูงขึ้นมาก เขานั้นประสบความสำเร็จกับเคล็ดวิชาทั้งคู่นี้มาก

แม้กระทั่งก้าวไร้วิญญาณ ชิงสุ่ยเองก็ยังประสบความสำเร็จแม้มันจะเป็นความสำเร็จเล็กๆ ตอนนี้เขาสามารถสร้างภาพติดตาที่จะใช้ได้ทั้งต่อสู้และไว้หนีศัตรูและหากนำมาใช้ร่วมกับหมัดอสูรสันโดษด้วยแล้วความสามารถของเขาจะทะยานไปอยู่ในระดับที่น่ากลัวอย่างไม่เคยมีมาก่อนอีกด้วย

ปัจจุบัน ตระกูลชิง หลานชายคนโตชิงจือฝึกฝนเคล็ดวิชาดอกบัวปราณฟ้าจนบรรลุขั้นสูงสุดของอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 7 ส่วนชิงหยูนั้นบรรลุขั้นสูงสุดของอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 7 แล้วเหมือนกัน ส่วนชิงหยางนั้นบรรลุถึงระดับกลางของอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 6 ส่วนเยาวชนรุ่นที่ 3 ที่อายุอยู่ระหว่าง 13-15 ปี รวมทั้งชิงฮูนั้นได้ก้าวเข้าสู่ขั้นเริ่มต้นของอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 5 แล้ว

ในทางกลับกันชิงสุ่ยที่ปัจจุบันอายุ 15 ปีแล้วนั้น บรรลุเพียงจุดสูดสุดของอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 3

ในการฝึกซ้อมทุกๆวัน ชิงสุ่ยได้กลายเป็นที่ยอมรับในบรรดาเยาวชนรุ่นที่ 3 ที่มีอายุ 15 ปีเช่นกัน แต่เขานั้นเปรียบเสมือนจุดอ่อนของกลุ่ม

ในการฝึกซ้อมปัจจุบันยังมีเยาวชนที่มีความสามารถอีกสองคน นามว่าชิงหุยและชิงชาง ทั้งสองคนนั้นมีอายุมากกว่าชิงสุ่ย 1 ปี และ 2 ปี ตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อปีที่ผ่านมาพวกเขานั้นทะลวงระดับพลังจนก้าวเขาสู่อาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 6 แล้ว

อาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 6 นั้นเปรียบดั่งตัวแบ่งคนในตระกูลชิง ผู้ใดที่บ่มเพาะพลังจนบรรลุอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 6 ก่อนอายุ 16 ปีได้นั้น พวกเขานั้นเปรียบได้กับความหวังของตระกูลชิง ดังนั้นในตระกูล ตราบใดที่มีเหล่าอัจฉริยะเหล่านี้สามารถทำได้ตามข้อกำหนด สถานะของเขาจะเปลี่ยนไป แม้พวกเขาต้องการที่จะให้ฝนตก หรือแม้กระทั้งพายุถล่ม ตระกูลชิงก็พยายามหาทางทำมันให้จงได้ นอกจากนี้ อัจฉริยะเหล่านี้ได้รับหน้าที่ปกป้องธุรกิจของตระกูลชิงในอนาคตอีกด้วย ตราบใดที่สมาชิกหลักในตระกูลชิงที่มีพละกำลังที่สูงและจำนวนเพิ่มขึ้น คู่ค้าทางด้านธุรกิจจะยิ่งให้ความเกรงใจแก่พวกเขาอีกด้วย

สำหรับผู้ที่บรรลุถึงอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 6 ภายหลังจากอายุ 16 ปี พวกเขาเหล่านั้นจะถูกส่งไปยังเมืองชิงเพื่อดูแลกิจการต่างของตระกูล พวกเขาไม่อาจจะบ่มเพาะพลังได้เพราะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ในการดูแลธุรกิจและใช้เวลาที่เหลือในการพักผ่อน เนื่องจากความเหนื่อยล้า

ชิงสุ่ยก็อายุครบ 15 ปีแล้วในปีนี้ ถ้าอีก 1 ปีหนังจากนี้เขายังไม่สามารถก้าวเข้าสู่อาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 6 ได้ เขาก็จะถูกส่งตัวไปยังหมู่บ้านตระกูลชิง ชิงสุ่ยรู้ว่าเคล็ดวิชาดอกบัวปราณฟ้ามีส่วนเชื่อมต่อกับเคล็ดวิชากายาบรรพกาล  เพียงแค่เขาก้าวหน้าในเคล็ดวิชากายาบรรพกาล  เคล็ดวิชาดอกบัวปราณฟ้าของเขาก็จะแข็งแกร่งขึ้นด้วย หากยังมีคนคิดว่าเขาจะบรรลุเคล็ดวิชากายาบรรพกาล ขั้นที่ 6 ได้ภายใน 1 ปีนั้น คนผู้นั้นคงฝันกลางวันอย่างแน่นอน เพราะความน่าจะเป็นที่ชิงสุ่ยจะถูกส่งตัวไปยังหมู่บ้านนั้นเรียกได้แน่นอน

แม้ว่าชิงสุ่ยเป็นหลานของชิงหลัว แต่ด้วยพลังปราณก่อนหน้านี้ทำให้ชิงสุ่ยไม่สามารถออกไปสัมผัสโลกกว้างได้ ในอดีต เขาประสบกับโรคร้ายมากมายทั้งการหายใจที่ลำบาก ทั้งโรคหัวใจที่เต้นผิดปกติ จึงทำให้มีปัญหาด้านพลังปราณ ถ้าเขายังเป็นแบบนั้นจนพ้นอายุ 16 ปี คงไม่มีผู้ใดกล้าพูดถึงเรื่องนี้ ในตอนนั้นทุกคนเข้าใจความจริงพื้นฐานที่ว่า ขยะนั้นไม่สามารถบ่มเพาะพลังปราณได้ แต่ตอนนี้นั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแค่พลังปราณของเขาฟื้นฟูจนดีขึ้น การบ่มเพาะพลังของเขายังก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดของอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 3 แต่การถูกส่งไปยังหมู่บ้านนั้นยังมีความเป็นไปได้สูง

“ลืมมันซะ ข้าไม่ควรกังวลในเรื่องนี้ บางทีการที่ข้าถูกส่งไปยังหมูบ้านชิงนั้น ใครจะรู้อาจจะมีสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้นจนทำให้ข้าทะลวงผ่านระดับในปัจจุบันก็เป็นได้” ชิงสุ่ยถอนหายใจพร้อมสั่นหัวเล็กน้อย

หลังจากนั้น  ชิงสุ่ยได้ตัดสินใจที่จะช่วยเหลือด้านธุรกิจของแม่ของเขา ชิงอี้ พร้อมกันนี้เขาเริ่มต้นเรียนรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติทางการแพทย์ของสมุนไพรต่างๆที่ตระกูลชิงใช้ในการรักษา เขาวาดความหวังให้สูงขึ้น เขาจะต้องบรรลุความหวัง ความปรารถนาของชิงอี้ รวมทั้งไม่ละทิ้งความปรารถนาของตัวเอง แม้เขาจะไม่สามารถบรรลุความก้าวหน้าในเคล็ดวิชากายาบรรพกาล  แต่ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา ไม่ว่าจะเป็น เคล็ดวิชาศาสตราวุธเล้นลับ หมัดอสูรสันโดษ หรือแม้แต่เคล็ดวิชาที่ไม่อยากพบกับมัน คือ ก้าวไร้วิญญาณ แน่นอนที่เคล็ดวิชาเหล่านี้จะทำให้หัวใจของศัตรูนั้นสั่นไปด้วยความกลัวอย่างแน่นอน จะให้พูดตามความเป็นจริง ชิงสุ่ยไม่เคยขอความช่วยจากเยาวชนรุ่นที่ 3 เลยแม้แต่ครั้งเดียว แค่ความแข็งแกร่งของร่างกายเขาเพียงอย่างเดียว หาได้ต้องพึ่งเคล็ดวิชาการต่อสู้ใดๆ เขาก็สามารถเหยียบย้ำเด็กคนอื่นๆได้อย่างง่ายๆแล้ว แต่เพราะเขารู้ว่าเขาไม่ควรเปิดเผยพลังของตนเองตั้งแต่เริ่มจนกว่าจะอายุ 15 ปี หรือ เข้าสู่วัยหนุ่มสาว

ณ ตอนนี้

“พี่ชายสุ่ย(สุ่ยเกอเกอ)” ชิงสุ่ยได้ยินเสียงเรียกเขาจากด้านนอกสนามฝึกฝน หลังจากสิ้นสุดเสียง ชิงเป่ยก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขา ตอนนี้ชิงเป่ยอายุครบ 13 ปีแล้วด้วยใบหน้าที่เล็กเล่นเรียบเนียนพร้อมทั้งดวงตาที่แสนสดใส ในสายตาของชิงสุ่ยเด็กสาวคนช่างงดงามดุจดอกไม้ที่พึ่งเบ่งบาน ชิงเป่ยมีร่างกายเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น จากทั้งหมดนี้ เธอมีอายุแค่ 13 ปีแต่กล่าวได้ว่าเธอเข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้ว

ชิงเป่ยเป็นเด็กที่สาวที่สุดและยังเป็นหลานสาวคนเดียวในตระกูลชิง ชิงสุ่ยดูแลเธอจากใจจริง แม้จะไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของเขาที่มองต่อเยาวชนรุ่นที่ 3 ของตระกูลชิง ในหัวใจของเขาชิงสุ่ยรู้ดีว่าเธอนั้นเปรียบเหมือนญาติคนนึงของเขา

“น้องเป่ย(เสี่ยวเป่ย) ข้าอยู่ตรงนี้” ชิงสุ่ยยิ้มเล็กน้อยขณะโบกมือเรียกหา ชิงเป่ยเทียบได้กับอัจฉริยะตัวน้อยๆในตระกูลชิง เธอบรรลุสู่จุดสูงสุดของอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 5 ตั้งแต่อายุเพียง 13 ปี ผู้เฒ่าและผู้สูงศักดิ์ในตระกูลชิงรู้สึกมีความสุขมากที่ชิงเป่ยมีความสามารถถึงเพียงนี้ แต่พวกเขาก็เสียใจไปในเวลาเดียวกันเพราะท้ายที่สุดแล้วชิงเป่ยนั้นคือ เด็กผู้หญิง ไม่ว่าเธอจะมีความสามารถถึงเพียงไหน เธอยังคงต้องแต่งงานและออกสู่ภายนอกตระกูล แม้ว่าตอนนี้ที่เธออายุ 13 ปี มีคนนับไม่ถ้วนต่างต้องการเธอเป็นคู่ครอง

เมื่อ 2 ปีที่แล้ว หลังจากที่ชิงสุ่ยบ่มเพาะพลังถึงจุดสูงสุดของเคล็ดวิชากายาบรรพกาล ขั้น 3 เขาก็ไม่สามารถทำลายกำแพงเพื่อก้าวสู่ขั้นต่อไปได้ สัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่า หากไม่พบกับโอกาส การก้าวหน้าของเขานั้นจะไม่สามารถทำได้ในเวลาอันสั้น ในเวลาว่างของชิงสุ่ย เขาได้ตัดสินใจสอนพื้นฐานของหมัดอสูรสันโดษให้กับชิงฮูและชิงเป่ย! ชิงสุ่ยเริ่มสอนพวกเธอตั้งแต่ครึ่งปีก่อนหน้านี้ กล่าวได้ว่า เขานั้นมีความสามารถเพียงพอที่จะเป็นดั่งครูคนนึงที่สอนความรู้ใหม่โดยการทบทวนความรู้เก่าได้อย่างดี

ในบรรดาเหล่าเยาวชนรุ่นที่ 3 ของตระกูลชิง ชิงฮูและชิงเป่ยนั้นมีความสัมพันธ์กับชิงสุ่ยใกล้เคียงราวกับเป็นพี่น้องรวมสายเลือด สำหรับคนที่เหลือในรุ่นที่ 3 นั้นชิงสุ่ยแทบไม่ได้ข้องเกี่ยวด้วยเลย โดยเฉพาะยิ่งหลานชายคนโตชิงจือและอัจฉริยะชิงหยูแล้วนั้น ชิงสุ่ยมีโอกาสเห็นพวกเขาเพียงไม่กี่ครั้งต่อปีเลยก็ว่าได้ ซึ่งเหมือนกับชิงหยาง ชิงหุย และชิงชาง

หากรุ่นที่ 3 คนใดต้องการก้าวไปสู่ขอบเขตแห่งอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 6 พวกเขานั้นต้องขยันฝึกฝนเคล็ดวิชาการต่อสู้นอกเหนือจากการฝึกฝนการบ่มเพาะพลัง

ดั่งคำกล่าวในตระกูลชิงที่ว่า ผู้ที่อยู่ในเส้นทางแห่งพลังนั้นย่อมสามารถก้าวข้ามสู่ขั้นที่ 6 อาณาจักรพลังปราณนักรบ นอกจากนั้นในทุกๆปลายปี หากผู้ใดสามรถบรรลุขั้นที่ 6 ได้ จะต้องประลองกับเยาวชนรุ่นที่ 3 คนอื่นๆที่สามารถก้าวผ่านขั้นที่ 6 ด้วย เช่นเดียวกับผู้อาวุโสในตระกูล สำหรับผู้ที่มีการบ่มเพาะต่ำกว่าขั้นที่ 6 นั้นจะเป็นได้เพียงผู้ชมอยู่ด้านล่างของเวทีประลอง

ชิงฮูและชิงเป่ยนั้นได้เรียนรู้หมัดอสูรสันโดษกับชิงสุ่ยกว่าครึ่งปีแล้ว ชิงฮูนั้นจำจุดลมปราณในร่างกายมนุษย์ได้เพียง 1 ใน 3 ส่วนจาก 360 ส่วน ในการต่อสู้จริง ถึงแม้เธอจะห่างไกลจากความเข้าใจ แต่เธอเข้าใจลึกซึ้งในแต่ละจุดทีจะต้องโจมตีที่ไหล หน้าอก รวมถึงศีรษะ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของทั้งคู่

เมื่อเทียบกับชิงฮู ชิงเป่ยนั้นเรียนรู้ดีกว่าเล็กน้อย เด็กหญิงตามธรรมชาตินั้นจะค่อนข้างพิถีพิถันมาก ชิงสุ่ยคาดว่าพวกเธอสามารถที่จะจดจำตำแหน่งจุดลมปราณทั้ง 360จุดได้อย่างแน่นอน แต่ในระหว่างการต่อสู้นั้นชิงเป่ยนั้นค่อนข้างมีความสามารถในการต่อสู้ด้อยกว่าชิงฮู่

“เจ้ามาคนเดียวหรอ แล้วชิงฮูอยู่ที่ไหน” ชิงสุ่ยถามด้วยความอยากรู้ ในขณะที่เขาไม่เห็นชิงฮูตามมา สำหรับปีที่ผ่านมา ทุกวันต้องผ่านไปโดยไร้ซึ่งความล้มเหลว ในช่วงเย็น ชิงฮูและชิงเป่ยจะมาหาชิงสุ่ยด้วยกันและฝึกซ้อมหมัดอสูรสันโดษต่อ

“พี่ชิงฮูนั้นได้รับบาดเจ็บโดยเหลียนเย่เออ จากตระกูลเหลียน นั้นคือเหตุผลที่เธอไม่ได้มาด้วยในวันนี้” ชิงเป่ยกล่าวออกมาพร้อมความโกรธและไม่สามารถช่วยเหลือได้

0 0 โหวต
Article Rating
9 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด