AST บทที 11 – สังหารแรกแห่งศาสตราวุธเล้นลับ
บทที 11 – สังหารแรกแห่งศาสตราวุธเล้นลับ
การรับรู้ที่แท้จริง เปรียบเสมือนความหวังที่ถูกซ่อนอยู่ ซึ่งหมายความว่า “แม้จะฝึกฝนอย่างหนักเป็น 10 ปี ก็ไม่สามารถเทียบเท่าได้กับการรับรู้ที่แท้จริง(ตรัสรู้)” ความสามารถนี้จะขึ้นอยู่กับดวงและโชคชะตาของแต่ล่ะบุคคล
ชิงสุ่ยยังคงไม่แน่ใจถึงสถานะของความสามารถนี้ เขาค่อยโคจรพลังปราณอย่างช้าๆเพื่อใช้เคล็ดวิชากายาบรรพกาล และเคล็ดวิชาดอกบัวปราณฟ้า ทันใดนั้นพลังปราณของเขาก็เกิดการโคจรอย่างรวดเร็ว เส้นพลังปราณพุ่งเข้าเติมเต็มหมัดอสูรสันโดษในทันที มันแสดงให้เห็นถึงความลึกซึ้งภายในเคล็ดวิชานี้ เทคนิคส่วนต่างๆที่ชิงสุ่ยยังไม่เข้าใจถูกแสดงออกมาภายใต้หมัดอสูรสันโดษอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่เขาตื่นจากภวังค์ สภาพของท้องฟ้าผันแปรเปลี่ยนเป็นมืดไปแล้ว ราวกับว่าเขากำลังฝันไป
ชิงสุ่ยผสานความคิดของเขาและเริ่มที่จะแสดงแต่ละท่าทางตามเคล็ดวิชาในส่วนที่ขาดออกมา อำนาจการควบคุมไม่ว่าจะเป็นความรุนแรง และความแม่นยำในแต่ละทุกท่าทางต่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นจนน่าตกใจ
สื่งนี้คือพลังที่ได้รับจากการรับรู้ที่แท้จริง(ตรัสรู้) เขาสามารถรับรู้ถึงประสบการณ์การต่อสู้ต่างๆแม้เมื่อเขาไม่ได้ซ้อมกับฝ่ายตรงข้าม!
ทันทีที่เขาได้รับรู้ถึงการตรัสรู้นี้ ความแข็งแกร่งของชิงสุ่ยก็ถูกปรับเปลี่ยนไปอย่างมาก แม้กระทั่งถึงขั้นยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นอีกด้วย ทำให้เขายิ่งเชื่อมั่นมากขึ้นในเส้นทางที่จะต้องพานพบเบื้องหน้าหลังจากนี้
ชิงสุ่ยตกอยู่ในภวังค์นานมาก จนไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอก หลังจากฟื้นคืนสติ เขาก็ตระหนักได้ถึงกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ ชั้นโคลนสีดำเคลือบที่ผิวหนังของเขาราวกับมันซึมออกมาจากรูขุมขนของเขา
หรือว่านี้คือการชำระร่างกาย? ชิงสุ่ยรับรู้ได้ทันทีว่ามันคือผลของการใช้งานเคล็ดวิชากายาบรรพกาล มันเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อเขาได้บรรลุขั้นพื้นฐานของเคล็ดวิชานี้ ถ้าหากเขารับรู้เรื่องนี้ครั้งแรก เขาคงไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่ามีสิ่งสกปรกภายในร่างกายเล็กๆของเขา มากถึงขนาดนี้
“ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้อีกหรือว่าข้าจะผ่านขั้นที่ 2 ของเคล็ดวิชานี้ หรือว่า . . . ข้าบรรลุในการตรัสรู้ มันทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น” ชิงสุ่ยครุ่นคิดทันที
“นี่มันเพียงแค่เรื่องง่ายๆ . . . . . . . ที่ข้าขาดไม่ถึง ข้าหวังว่าจะไม่มีคนรู้เรื่องนี้และคงไม่มีผู้ใดพูดถึงมัน เพราะผลประโยชน์จากการตรัสรู้ครั้งนี้มันช่างมีมากยิ่งนัก สวรรค์ช่างท้าทายข้ายิ่งนักที่ให้ความสามารถนี้แก่ข้า”
ชิงสุ่ยวิ่งไปที่ลำธารเล็กๆ ใกล้ภูเขาและชำระล้างสิ่งสกปรกที่ปกคลุมร่างกายทั้งหมดออกไป หลังจากร่างกายของเขาสะอาด เขาเริ่มที่จะสังเกตการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขาหลังจากที่ร่างกายได้ขับสิ่งสกปรกออกจากร่างกายเป็นครั้งที่2 ผิวของเขาดูเรียบเนียนราวกับว่าสามารถส่องแสงเปล่งปลั่งออกมาได้ กล้ามเนื้อของเขาเริ่มมีลายที่สวยงามมากขึ้น เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ได้เกินความจริงเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเริ่มแตกต่างกับเยาวชนรุ่นที่ 3 ของตระกูลบางส่วนแล้ว
เขาถอดเสื้อของเขาและล้างพวกมันในน้ำก่อนตากแดดบนหินที่อยู่ใกล้ลำธาร และคิดถึง“ในโลกนิยาย พวกเขามักจะมีสิ่งต่างๆที่อยู่เหนือมิติ เช่น แหวนต่างมิติ ถุงเก็บของต่างมิติ , เครื่องประดับและทอง และ วรยุทธ์การต่อสู้และความงามที่ทรงเสน่ห์” แต่ความจริง ชิงสุ่ยได้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านภูเขานี้เป็นเวลากว่า 10 ปี และเขารู้ดีว่าเรื่องในตำนานเรื่องราวไม่ค่อยจะเป็นความจริง ถึงแม้ว่าตระกูลชิง ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ชิงอี้ย่อมได้เดินทางในโลกกว้าง และเห็นสิ่งต่าง ๆ รวมทั่ง ชิงหลัว แม้แต่ในเมืองใหญ่พวกเขาได้เดินทางไปราวกับเป็นพลเมืองในเมืองนั้น. . . . . . . แต่ทั้งสองคนก็ไม่เคยพูดถึงในสิ่งที่ชิงสุ่ยคิดแม้สักครา !
แม้ทองและเหล่าเครื่องประดับต่างๆชิงสุ่ยจะไม่ได้มีมันในครอบครอง แต่ในหมู่บ้านภูเขานี้ ตระกูลชิงเป็นหนึ่งในตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุด เขามีชีวิตที่ค่อนข้างสบาย นอกจากนี้ คนในหมู่บ้านจริงๆแล้วไม่ได้ต้องการเงินจำนวนมากเพื่อความอยู่รอด ส่วนใหญ่ของพวกเขาอาศัยอยู่บนที่ดินของพวกเขา ทุกคนต่างใช้เวลาส่วนใหญ่ทำไร่และล่าสัตว์ในขอบเขตบริเวณตีนเขา ชาวบ้านธรรมดาไม่กล้าที่จะเข้าไปในส่วนลึกภูเขา มีข่าวลือว่านอกเหนือจากจะมีสัตว์ดุร้าย มันยังมีแม้กระทั่งสัตว์ปีศาจในนั้น!
ขณะที่ชิงสุ่ยกำลังมองดูนกน้อยแสนน่ารัก เขานึกย้อนกลับไปในชีวิตที่แล้ว เขาเป็นแค่คนบ้าเกมส์ ชีวิต ความสัมพันธ์ต่างๆล้มเหลวแทบทุกอย่าง
หลังจากที่เขาได้เกิดใหม่ในโลกนี้ พร้อมกับความบกพร่องของร่างกายของเขา ในตอนแรกถ้าเขาไม่ได้รับความรักที่แสนอบอุ่นจากแม่ของเขา ชิงอี้ สำหรับเขาแล้ว เขาคงจะฆ่าตัวตายไปแล้ว สำหรับโลกนี้ที่วรยุท์การต่อสู้คือทุกสิ่งทุกอย่าง โชคชะตาที่เขาได้รับมันช่างโหดร้ายยิ่ง
โชคดีจริงๆที่การเล่นเกมส์ของเขาในโลกที่แล้วเหมือนจะมีบางสิ่งบางอย่างที่สอดคล้องกับโลกใบนี้ จึงทำให้เขาเรียนรู้เร็วขั้น หลังจากที่สามารถผ่านขั้นที่ 2 ของเคล็ดวิชากายาบรรพกาล พลังเอ่อล้นออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยยิ่งประกอบด้วยการรับรู้ที่แท้จริง(ตรัสรู้)ด้วยแล้วนั้น เมื่อเขาปล่อยหมัดอสูรสันโดษ ร่างกายของเขาเคลื่อนที่ลื่นไหลเองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้เขาจะได้รับข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย แม้มันจะมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นมาก แต่มันก็ยังไม่สมบูรณ์เต็มที่
เค้าค่อยๆดึงแขนของเขา และสวมเสื้อผ้าที่แห้งแล้วของเขา ตอนนี้ในความรู้สึกพึงพอใจเต็มไปทั้งร่างของเขา มันก็เกือบเที่ยง ลมพัดชนกับใบหน้าของเขา และความร้อนของดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงลงสู่พื้นดิน ชิงสุ่ยตัดสินใจที่จะเดินไปตรงไปภูเขาข้างหน้า ภูเขาลูกนี้อยู่ไม่ไกลจากตระกูลชิง และมีที่พักของชิงสุ่ยอยู่ มีมันมีลักษณะคล้ายที่หลบภัย ไม่สูงมากนัก และต้องเดินเท้าต่อไปอีกประมาณ 200 เมตร ก็จะถึงจุดสูงสุดของเขาลูกนี้
ณ จุดสูงสุด ชิงสุ่ยมองเห็นผืนแผ่นดินที่กว้างไกล รอยต่อของเขตทุ่งหญ้าสีเขียวที่ดูเหมือนไร้จุดที่สิ้นสุด ทอดยาวไปบนแผ่นดิน ที่ดินของตระกูลชิงกว้างไหลเกือบ 100 ลี้ การมองดูนี้ชิงสุ่ยรู้สึกสะดุ้ง โลกนี้มันช่างใหญ่เกินไป แม้หมู่บ้านบนภูเขาแห่งนี้ก็มีขนาดใหญ่มากนัก ลักษณะใกล้เคียงกับเมืองร้อยไมล์
ที่ด้านบนของภูเขา พื้นที่ทั้งหมดเต็มไปด้วยสัตว์ป่า รวมทั้งมีต้นไม้ขนาดยักษ์ และเสียงร้องของนก และเสียงร้องของแมลงที่ไม่รู้จัก สร้างเสียงก้องกังวาลผ่านอากาศ ชิงสุ่ยรู้สึกว่าป่าแห่งนี้ถูกเติมเต็มไปด้วยชีวิต มันเป็นสถานที่ที่เหมาะที่จะฝึกฝนเคล็ดวิชาศาสตราวุธเล้นลับ
ชิงสุ่ยก้มลงหยิบก้อนกรวดเล็กๆ 2 ก้อนขึ้นมาจากพื้น พร้อมทั้งหลับตาลงและไหลเวียนลมปราณในร่างกายของเขาให้สอดคล้องในเคล็ดวิชาของหมัดอสูรสันโดษ พร้อมกับความรู้ ความเข้าใจและคำนวณปริมาณแรงที่เหมาะสม พร้อมทั้งมุมเล็ง และเทคนิคที่จะใช้
ในเวลาประมาณ 1 ถ้วยชงชา ชิงสุ่ยพลันหยุดนิ่งราวกับหิน แม้กระทั่งลมหายใจของเขาก็ถูกควบคุมอย่างสมบูรณ์ เสียงของการเต้นของหัวใจของเขาก็เริ่มเบาลงทุกที
นกตัวน้อยๆขนสีเหลือง บินเข้าใกล้ชิงสุ่ย ราวกับว่าไม่กังวลถึงภัยอันตรายที่จะได้รับเลยแม้แต่น้อย ชิงสุ่ยค่อยๆถูกกลืนกินกลายเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ!
ขณะนั้นมีนกขนสีดำขนาดใหญ่ลักษณะคล้ายคลึงกับนกอินทรี กางปีกกว้างประมาณ 3 เมตร , บินทะยานผ่านอากาศมาจากแดนไกล มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีวิสัยทัศน์ที่แหลมคมราวกับเข็ม
นกสีเหลืองที่บินใกล้ชิงสุ่ยร้องเตือนเสียงดัง เพราะความกลัวและเริ่มที่จะบินไปในทิศทางที่ห่างจากนกอินทรีดำ มันเหมือนจะสังเกตเห็นว่านักล่าตัวนี้มองมาทางมันอย่างแน่นอน นกสีดำบินเข้าใกล้และใกล้ขึ้นเรื่อย ทันใดนั้น ชิงสุ่ย พลันลืมตาขึ้น พร้อมทั้งเร่งพลังลมปราณอันเข้มข้มออกมา แล้วสะบัดข้อมือ ก้อนกรวดในมือข้างขวาของเขาบินผ่านอากาศด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า เสียงของก้อนกรวดแหวกผ่านอากาศราวกับเสียงของระเบิด
“ฟลุ๊บ.......”
นกอินทรีดำตัวนั้นตายทันทีโดยที่ได้มีเวลาแม้แต่จะร้องออกมา มันถูกฆ่าด้วยก้อนกรวดเล็กที่เจาะให้ผ่านสมองอย่างรวดเร็ว
ชิงสุ่ยเผยยิ้มเล็กๆออกมาที่มุมปาก
“นี้คือวิธีใช้งานศาสตราวุธเล้นลับสินะ . . . . .มันช่างเป็นวิธีที่แสนจะน่ากลัว” ชิงสุ่ย ค่อยๆเดินทางลงจากเขา โดยลงไปทางศพของนกอินทรีตัวนั้น
ศพของนกอินทรีตกสู่พื้นดินใกล้เขตป่าเขตด้านตะวันตกของภูเขา เขตตะวันตกเป็นสถานที่ที่สมาชิกในตระกูลชิงใช้เพื่อเป็นที่ล่าอาหาร มันเป็นที่ๆอันตรายอย่างยิ่งสำหรับคนที่เข้าไปโดยไม่มีสหาย หรือมีการบ่มเพาะพลังปราณอยู่ในขั้นที่ต่ำเกินไป ป่าแห่งนี้มีชื่อว่า “ป่าพรรณไม้มรกต” เพราะต้นไม้ทุกต้นภายใต้ขอบเขตพื้นป่าแห่งนี้มีลักษณะเป็นสีเขียวมรกตแทบทั้งหมด
ป่าพรรณไม้มรกตแห่งนี้ ใครที่พลังปราณอยู่ต่ำกว่า อาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 7 จะถูกห้ามเข้า แม้ว่าพวกเขาจะมีพลังถึง อาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 7 แล้วก็ตาม พวกเขาก็ยังไม่กล้าที่จะเข้าไปคนเดียวหรือแม้แต่จะดูถูกในความอันตรายของป่าแห่งนี้
“หืมมมม ที่แห่งนี้มันช่างอันตรายยิ่งนัก ข้าคงต้องค่อยๆแอบเข้าไปหาศพของนกอินทรีย์ยักษ์ตัวนั้นแล้วค่อยๆกลับออกมา” ความอยากรู้อยากเห็นทำให้จิตใจของชิงสุ่ยร้อนลุ่ม เขาระมัดระวังตัวอย่างมากในสภาพแวดล้อมแห่งนี้
เมื่อเขาได้พิจารณาแล้วว่าไม่มีอันตรายหรือสิ่งที่น่าสงสัย เขาจึงค่อยๆ เดินลงไปที่ศพของนกอินทรียักษ์สีดำตัวนั้น