บทที่ 15 - พวกเขาจะขวางเราหรือ?
บทที่ 15 - พวกเขาจะขวางเราหรือ?
ภายในห้องโถงล่าสัตว์อสูรลัทธิมาร
"เฮ้ๆ!ข้าบอกว่า,พวกเจ้ากลับมามือเปล่าได้อย่างไร? เหยื่ออยู่ที่ไหน? "
ชายผิวดำมีตาข้างเดียวกำลังกอดขวดเหล้าอยู่ในมือขณะที่มองไปที่ "หัวหน้าชุดเกราะดำ"สอบถามเสียงลั่น
"พวกสารเลวนั่นขัดขืนจนวินาทีสุดท้าย พวกมันอยากตายมากกว่าไปกับเรา, ฝั่งของพวกมันมีคนเพิ่มขึ้น,พวกเราเลยไม่สามารถสกัดกั้นได้ เฮ้อ!..สุดท้ายแล้วพวกเราเลยต้องกำจัดทิ้ง"
"หัวหน้าชุดเกราะดำ"พูดในขณะที่ถอนหายใจ
"ฆ่าทั้งหมดเลย?" ชายตาเดียวถามขณะที่เขามองหัวหน้าชุดเกราะดำอย่างเหยีดหยามด้วยความรังเกียจ"ไม่น่าแปลกเลยอาการบาดเจ็บที่พวกเจ้าได้รับมานั้นไม่เบา, แต่อย่างไรก็ตาม,พวกเจ้าก็ล้มเหลวจับไม่ได้แม้แต่คนเดียว พวกเจ้ามันเศษสวะ! "
"เจ้าพูดอะไร!ระวังปากสุนัขๆของเจ้าหน่อย?" "หัวหน้าชุดเกราะดำ" พูดอย่างโมโห
"อะไรกัน!? เจ้าต้องการสู้กับข้า? "
เสียงของชายตาเดียวก็เพิ่มขึ้นเป็นแปดเท่าเมื่อเขาจ้องซูหยุน
ซูหยุนเหลือบมองรูปลักษณ์ของชายคนนั้นแล้วรีบหันหลังให้
"เจ้ามันก็แค่คนตาขาวช่าน่าสมเพส!" ชายตาเดียวพูดขณะที่เขายิ้ม
เนื่องจากอาการบาดเจ็บที่เขา"ได้รับมา" ซูหยุนจึงขอพักเป็นเวลาสองวัน, นี่จะช่วยให้เขาฟื้นบาดแผลของเขาในห้องบ่มเพาะ โชคดี,ที่ได้เขารับอนุญาต
เหล่าศิษย์สำนักกระบี่เซียน ต้องแจ้งเหตุการณ์นี้แก่ผู้อาวุโส, ดังนั้น,ซูหยุนตอนนี้จึงมีความพอใจมาก เนื่องจากเป็นห้องพักฟื้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะปลอดภัย, เขาเพียงแค่รอกำลังเสริม
อย่างไรก็ตามซูหยุนไม่อาจรอได้
ในช่วงเช้าวันที่สองเขาไปที่ห้องบ่มเพาะ, จากนั้นเขาก็เดินไปที่เขตของเจ้าลัทธิ
นิกายลัทธิมารสอนลูกศิษย์หลายพันคนและเหมือนนิกายอื่น ๆ พวกเขาเคร่งครัดมาก, เฉพาะผู้ที่ใกล้ชิดกับเจ้าลัทธิเท่านั้นที่สามารถเข้าใกล้ได้ ซูหยุนไม่ได้รับอนุญาตแน่นอน
"หมาป่าศิลาดำ? เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ศิษย์ขั้นที่สี่ดวงจิตรวิญญาณวิญญาณจ้องมองขณะที่เดินไปหาซูหยุน
"ข้ามีเรื่องสำคัญที่จะปรึกษากับท่านเจ้าลัทธิ ท่านช่วยแจ้งเขาให้ข้าที "
"มีเรื่องอะไรสำคัญ?" ผู้คุ้มกันมองอย่างระมัดระวัง "เรื่องสำคัญคืออะไร? ส่งมาให้ข้าแล้วข้าจะไปแจ้งท่านเจ้าลัทธิไห้! "
"มีนิกายเป็นเดิมพันดังนั้นข้าต้องแจ้งท่านเจ้าลัทธิด้วยตัวเอง, ช่วยหลีกทางให้ข้า! หากเรื่องนี้ชักช้าแล้วหัวหน้าตำหนิท่าน,ท่านจะยังกล้าเสี่ยงหรือ" ซูหยุนถามอย่างเคร่งขรึม
"เจ้า ... " ใบหน้าของผู้คุ้มกันส่องประกายร่องรอยของความโกรธเพราะเหตุใดเด็กเมื่อวานซืนจึงพูดแบบนี้กับเขา?
หัวใจของเขามีความโกรธและไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก เขาตะโกนออกไป "ท่านเจ้าลัทธิตอนนี้ไม่ว่างที่จะพบเจ้า! ออกไป!
"วิเศษ!" ซูหยุนตอบ
ช่วยไม่ได้ซูหยุนได้แต่เหน็บแนม"เมื่อสถานการณ์แย่ลงและลัทธิกำลังถูกคุกคาม อย่ามาตำหนิข้าว่าข้าไม่มารายงานท่าน,ว่าข้าไม่ส่งมอบข้อมูลที่สำคัญแก่ท่าน"
แล้วซูหนุนก็หันหลังกลับและเดินออกไป
หลังจากที่ผู้คุ้มกันได้ฟังด้วยใบหน้าที่มีความลังเลและตะโกนว่า "รอเดี๋ยว!"
ซูหยุนหยุด: "มีอะไร?"
ผู้คุ้มกันหวั่นไหวและพูดว่า"ท่านเจ้าลัทธิไม่ว่างดังนั้นถ้าหากเจ้าเข้าไป.....ข้าเกรงว่าท่านเจ้าลัทธิจะโกรธ!"
ซูหยุนส่ายหน้าเพียงอย่างเดียวและกล่าวว่า"ท่านไม่ต้องห่วงเรื่องนี้เพราะท่านเจ้าลัทธิจะไม่โกรธแน่นอนแต่ทว่า,หากท่านเจ้าลัทธิไม่สบอารมณ์,ข้ายินดีที่จะรับโทษทั้งหมด! "
หลังจากได้ยินแบบนี้ผู้คุ้มกันคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า "ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็เข้าไปได้!"
ซูหยุนเดินไปอย่างมั่นใจ
สถานที่บ่มเพาะของเจ้าลัทธิให้กลิ่นอายอันทรงพลัง พื้นที่ชั้นแรกที่เข้าไปนั้นเป็นทางเท้าปูด้วยหินมรกต มีสามรูปแบบอักขระขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นห้ามผู้ใดผ่านเข้าไป"ทะเลสาปจิตวิญญาณ" นี่เป็นทางเดียวที่จะมาถึงห้องบ่มเพาะของอาจารย์ใหญ่ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเป็นพระราชวัง
นิกายลัทธิมารมั่งคั่งมากๆ หลังจากทำแต่กรรมชั่วมานับไม่ถ้วนในช่วงหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาได้ปล้นทรัพย์สมบัติจำนวนมาก เนื่องจากพวกสาวกลัทธิมารได้เอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดของผู้รับเคราะห์มา,นิกายจึงเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติทุกชนิด
กระนั้นการล่อลวงของผลจันทร์เสี้ยวและผลึกสวรรค์ยังดึงดูดคนนับไม่ถ้วนให้วิ่งเข้าไปในหุบเขา
อันที่จริงซูหยุนไม่ได้เข้าไปใกล้พื้นที่บ่มเพาะ,แต่เขาตัดสินใจสังเกตบริเวณโดยรอบ
หากเขาไปใกล้ที่บ่มเพาะมากเกินไปเขาเกรงว่าเจ้าลัทธิจะตรวจพบได้ เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสที่เขาจะซ่อนตัว,ซูหยุนปกปิดร่างกายของเขาด้วยผงอำพรางเพิ่มมากขึ้น
หลังจากหนึ่งก้านธูป
ซูหยุนต้องรีบออกจากพื้นที่บ่มเพาะของเจ้าบัทธิ
เมื่อเขาเข้าใกล้ผู้คุ้มกันซูหยุนไม่ลืมที่จะหยุด
"ท่านเจ้าลัทธิสั่งมาว่าท่านต้องไม่พูดถึงการพบกันครั้งนี้กับใครไม่อย่างนั้นท่านจะถูกกำจัด ท่านเข้าใจใช่มั้ย?"
เมื่อเห็นการแสดงออกอย่างรุนแรงของซูหยุนผู้คุ้มกันพยักหน้า"ข้าเข้าใจแล้ว"
"ดีมาก!"
ซูหยุนแตะไหล่ของผู้คุ้มกันแล้วหันหลังจากไป
หลังจากออกจากพื้นที่ของเจ้าลัทธิภารกิจของเขายังไม่จบลง
นี่เป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้แผนการของเขาลุล่วง ตราบใดที่แผนของเขาได้ผลเขาจะไม่เปียกฝน (Tl: หมายถึงจะไม่มีปัญหา)
ขณะที่เขายังปลอมตัวอยู่ซูหยุนเดินไปทั่วนิกายถึงแม้จะมีหลายแห่งที่ถูกจำกัด เขาใช้เวลาอีกครึ่งวันและเกือบจะเสร็จสิ้นการสำรวจลัทธิทั้งหมด
ตอนค่ำเขากลับไปยังที่อยู่ของหัวหน้าชุดเกราะดำและรออยู่ข้างใน
ห้องโกโรโกโสนี้เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นแปลกๆแต่ซูหยุนไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริงๆ เขากระโดดขึ้นไปบนเตียงเริ่มบ่มเพาะปราณวิญญาณไว้ภายในร่างของเขาเพื่อเร่งความก้าวหน้า
จากนั้นเขาเริ่มฝึกวิชากระบี่
วิชาพื้นฐานของกระบี่สร้างขึ้นจากการวาดจิตวิญญาณภายในจากบริเวณส่วนลึกลงไปภายในร่างกาย จากนั้นจะมีโอกาสปลดปล่อยออกมาเพื่อสร้างปราณกระบี่ ถึงแม้สภาพปัจจุบันจะยังอ่อนแอก็ตาม
แม้ว่าจะเป็น <เคล็ดวิชากระบี่ไร้สรรพสิ่ง> แต่มันไม่ง่ายนัก
กระบี่4เล่มนี้จะต้องใช้อาวุธวิญญาณจำนวนมากเพื่อทำให้มันกระจาย
สำหรับกระบี่ที่หนึ่งเมื่อผ่านขั้นตอนนี้แม้จะยังไม่สมบูรณ์ไปคนๆนั้นสามารถควบคุมกระบี่บินจำนวนหนึ่งร้อยเล่มได้
ในการทะลวงผ่านเคล็ดวิชาที่หนึ่งจะต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้งในปราณกระบี่
ปราณวิญญาณมีพลังมากหากใช้อย่างถูกต้อง เพื่อควบคุมมันต้องเชื่อมโยงจิตวิญญาณภายในร่างที่ได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดีและยินยอมเชื่อมต่อกับแกนหลักภายในจิตวิญญาณได้ การเปลี่ยนจิตวิญญาณให้เป็นปราณกระบี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
ซูหยุนคว้ามือจับปราณวิญญาณเพื่อให้มันผสานเข้ากับฝ่ามือของเขา
ปราณวิญญาณของเขาเริ่มไหลออกรวมตัวกันเข้าไปในฝ่ามือและกลายเป็นลูกบอลสีฟ้าสดใส มันดูน่าหลงใหล
ซูหยุนสายตาตกตลึงขณะที่มองที่ลูกทรงกลมของวงจักรวิญญาณที่เขาสร้างขึ้นจากปราณวิญญาณ จากนั้นเขาก็พยายามปลับแต่งมันให้เหมาะสม
ในขณะที่วงจักรค่อยๆบิดและหลังจากนั้นไม่นานเขาสามารถสกัดมันได้หลายก้อนแตกต่างกัน
จากนั้นก้อนพลังก็เริ่มเปลี่ยนเป็นชั้นบางๆปกคลุมฝ่ามือของซูหยุน
อย่างไรก็ตามมันครอบคลุมไม่สม่ำเสมอเนื่องจากบางที่หนาบางที่บาง
เหตุผลคือเขตแดนการบ่มเพาะของซูหยุนไม่สูงพอสำหรับการควบคุมรูปแบบนี้
แม้ว่าซูหยุนจะมีความจำเป็นเลิสมีความสามารถในการเรียนรู้และมีพรสวรรค์แต่เขายังคงอยู่เขตแดนพื้นฐานขั้นที่หกเท่านั้น เขายังต้องฝึกมากขึ้น
ในคืนนั้นซูหยุนไม่ได้นอนและฝึกจนกระทั่งเช้าของอักวัน
ตอนรุ่งสางเขาหยุดฝึกเพื่อกินอาหาร เขากินเยอะมากและเหลือบมองไปนอกหน้าต่าง จากนั้นเขาก็รีบออกไป
หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วยาม
มีเสียงเคาะประตู
"หมาป่าศิลาดำ! หมาป่าศิลาดำ,ท่านอยู่มั้ย? "
จางต้าเจียงที่ปลอมตัวเป็นสาวกนิกายลัทธิมารอยู่นอกประตู
หลังจากคำนวณเวลาซูหยุนกลัวว่าบรรดาศิษย์ที่กลับไปยังสำนักเซียนกระบี่จะรีบเร่งมาที่นี่ทันทีหลังได้รับแจ้งเรื่องนี้
เหล่าศิษย์ที่ปลอมตัวทั้งหมดอยู่ในห้องศิษย์พี่มู่ พวกเขาเพียงแค่รอการมาถึงของผู้เชี่ยวชาญที่จะร่วมกันทำลายนิกายลัทธิมาร
จางต้าเจียงและสหายของเขาต้องการแจ้งให้ซูหยุนทราบ แต่หลังจากเคาะประตูเป็นเวลานานกลับไม่มีเสียงตอบรับ
จางต้าเจียงตื่นเต้นมาก
"หรือว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเทพกระบี่?"
“เสียงดังเอะอะอะไรกัน? ทำไมถึงได้เสียงดังหนวกหู? หมาป่าศิลาดำออกไปแล้วตั้งแต่เมื่อเช้าทำไมท่านถึงเคาะประตู? ท่านจะไม่ให้ข้าได้หลับได้นอนเลยรึ!?”
เพียงแค่นั้นห้องที่อยู่ติดกับกลุ่มคนก็ระเบิดความโกลาหล
"ไม่อยู่!?"
หลังจากจางต้าเจียงได้ยินเขาถึงกับตัวแข็งทันที
ในชั่วขณะนั้นมีเสียงเบาๆของกระบี่ก็สาดส่องไปทั้วท้องฟ้า หลังจากเสียงเดินทางมาถึงและตรงไปยังฟากฟ้าของนิกายลัทธิมาร
“ข้าไม่นึกเลยว่าส่วนลึกของหุบเขาจันทร์เสี้ยวจะอยู่ในการครอบครองโดยนิกายที่ชั่วร้ายนี้! ประเสริฐ! ดี! วันนี้ข้า”ดาบวายุ"จะลงทัณฑ์พวกเจ้าเอง!”
เสียงกระเพื่อมผ่านอากาศมาจากทั้งสี่ทิศ
“สี่พ่อเฒ่าสำนักเซียนกระบี่!” จางต้าเจียงจ้องมองด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย ...