ตอนที่ 66 วาดหวังอะไรในตัวข้า
66
“เจ้าต้องการอะไร” จางหมิงถามกลับอีกฝ่ายที่ดูจะนึกสนุกที่ได้เล่นกับมัน และนั่นไม่ใช่สิ่งที่จางหมิงพอใจ
“เรียกข้าว่าหม่าคง ข้าอยู่สำนักพยัคฆ์อัคคีมากว่าเจ็ดแปดปีไม่นึกว่าวันหนึ่งจะเจอถางเจียฉีคนที่สอง” มันพูดพร้อมกับมองจางหมิงอย่างพิจารณา
“ข้าไม่คิดว่าตนเองจะเหมือน” คำกล่าวนั้นทำให้จางหมิงไม่พอใจยิ่งกว่าเดิม
“อา... ขอโทษที ข้าหมายถึงระดับพลังของเจ้าต่างหากที่เหมือนกัน พวกเจ้าทั้งสองล้วนแล้วแต่เติบโตกันได้อย่างน่ากลัวนักทั้งๆที่ไม่มีอาจารย์สนับสนุน”
“ข้าขอถามคำถามเดิมว่าเจ้าต้องการอะไร” จางหมิงไม่คิดว่าในหมู่ศิษย์สายนอกยังมีผู้ที่มีพลังในระดับนี้ที่ไม่ได้เข้าเป็นศิษย์สายในอยู่อีก
“ข้าก็แค่รู้สึกไม่ชอบใจกับการที่เห็นผู้อื่นมองดูเรื่องราววุ่นวายอยู่ห่างๆอย่างสนุกสนานเท่านั้น”
“คิดว่าข้าเชื่อหรือ” จางหมิงกอดอกพลางจ้องมองอีกฝ่ายอย่างจริงจัง
ร่างกายสูงใหญ่ด้วยวัยยี่สิบต้นๆนั้นบอกช่วงอายุที่พอดีกับระดับของพลัง แต่สิ่งหนึ่งที่ต่างออกไปคือแววตานึกสนุกจนไม่สนใครนั้นช่างไม่ควรเข้าไปตอแยเอาเสียเลย
“ฮ่าๆๆ ข้าเพียงตอบคำถามของเจ้า จะเชื่อหรือไม่ก็อยู่ที่เจ้าเป็นผู้เลือกแล้ว”
จางหมิงถอนหายใจออกมาแรงๆก่อนส่งสัญญาณให้จิ้งจอกน้อยอยู่กับที่ไม่ให้เข้ามายุ่ง มีดไร้ประกายถูกนำมาถือไว้ข้างขวาซึ่งเป็นมือข้างที่ถนัด ทะยานข้ามพบถูกเร่งเร้าถึงขีดสุดให้พุ่งตรงเข้าใส่ฝ่ายตรงข้าม
จัดการให้มันจบไปเร็วๆก็ดี
หม่าคงแปลกใจที่อีกฝ่ายมุ่งหน้าโจมตีก่อน ดาบข้างกายถูกชักออกมาด้านรับมีสั้นที่โหมแรงเข้าปะทะ แรงชนที่มีระหว่างเด็กชายอายุเพียงสิบกว่าปีหรือจะเท่าบุคคลที่โตกว่ามาก แต่ทั้งหมดนั้นทดแทนด้วยความสามารถในการตัดผ่านของมีดอันคมกริบ
เคร้ง!
เป็นดาบอีกเล่มที่จางหมิงได้ตัดทิ้งไป
“เฮ้ย!” หม่าคงอุทานอย่างตกใจก่อนจะถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็ว สายตามันมองดาบในมือที่เหลือเพียงครึ่งเดียวอย่างมืองงๆ
จางหมิงคิดว่าบางที่มันอาจเป็นคนที่ตลกดี...
“ศาสตรากรีดนภา” และจางหมิงไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้ทดลองหนึ่งในสองวิชาที่ถางเจียฉีได้สอนเอาไว้
ระยะห่างที่หม่าคงได้ทิ้งเอาไว้แทบไม่มากพอที่จะหลบวิชายุทธ์ระยะไกลที่พุ่งมาจากทางอากาศ เสียงหวีดเล็กๆของสายสมทำให้มันรู้ว่ามีบางอย่างพุ่งตรงมาแต่ไม่สามารถมองเห็นจึงได้หลบออกไปอย่างเฉียดฉิวจากวิถีตามสัญชาตญาณ และหม่าคงเพิ่งรู้ว่ามันคิดถูกที่ไม่ได้ใช้เกราะปราณขวางกั้นเอาไว้เมื่อต้นไม้ด้านหลังนั้นถูกเฉือนจนขาดวิ่นราวกับเศษกระดาษ อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่ามันคงไม่สามารถกั้นขวางวิชานี้ได้
แต่มีหรือคนที่เป็นดังเงาของตำหนักมานานอย่างมันจะหวาดกลัวกับเรื่องเพียงเท่านี้
“เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังใช้วิชาแปลกๆออกมา” หม่าคงยิ้มเหยียดราวกับเตือนอีกฝ่ายกลายๆ
จางหมิงเลิกคิ้วมองฝ่ายตรงข้ามตรงๆ มันก็นึกแปลกใจอยู่แล้วเชียวว่าไม่เคยเห็นวิชายุทธ์ในรูปแบบนี้มาก่อน แต่ก็เพิ่งเข้าใจจริงๆก็เมื่ออีกฝ่ายได้กล่าวออกมา
อย่างน้อยจางหมิงก็มั่นใจว่านี่ไม่ใช่วิชายุทธ์ของอาณาจักรมังกรทะยานแห่งนี้
“ขอบคุณที่เตือนศิษย์พี่ หากนั่นไม่ได้เป็นปัญหาในระยะอันสั้นนี้” กล่าวจบจางหมิงก็ได้ใช้วิชาเดิมอีกครั้ง
กระบวนการของศาสตรากรีดนภานั้นไม่ยาก วิชายุทธ์นี้ควบกลั่นปราณบนตัวอาวุธเพื่อการตวัดแล้วปลดปล่อยออกไปในรูปแบบของคลื่นพลังที่มีความแหลมคมและความเร็วสูง วิธีต่อต้านคือการหลยอย่างเช่นที่หม่าคงทำหรือไม่ก็ใช้เกราะปราณตั้งรับหากต้องมีพลังที่มากเพียงพอ และวิชานี้เป็นไปได้ยากในการปัดทิ้งเมื่อมันมีความสามารถมารถในการทะลุทะลวงที่สูงมาก
เมื่อมีข้อดีมากข้อเสียย่อมร้ายแรงตามมา...
มันกินพลังปราณเป็นจำนวนมหาศาลต่อการใช้หนึ่งครั้ง นั่นไม่ต่างเท่าไหร่กับการบั่นทอนพลังของตนเองเล่นๆหากไม่มีความแม่นยำมากพอ
“ฮะฮะ เป็นเด็กน้อยที่น่ากลัวกว่าที่คิดอีกนะ”
จางหมิงฉุนนิดๆกับคำกล่าวแต่ก็ไม่ได้ลงมือหนักข้อขึ้นแต่อย่างใด เพราะการต่อสู้นี้มันเล็งเห็นแล้วว่าเป็นเพียงการลองเชิงของอีกฝ่ายก็เท่านั้น
“ทดสอบข้าแบบนี้... ต้องการบางอย่างจากข้าสินะ” จางหมิงถามออกไปเมื่ออาชาไพรีของมันเข้าปะทะกับเกราะปราณที่แข็งแกร่งไม่น้อย
หม่าคงแสยะยิ้มกับคำกล่าวเหล่านั้น ดาบที่เหลือในมือเพียงครึ่งกวัดแกว่งไปมาก่อนจะเคลือบคลุมด้วยพลังปราณที่กล้าแข็งแล้วเข้าปะทะกับมีดไร้ประกายอย่างไม่เกรงกลัวจนจางหมิงถูกดีดกระเด็นออกไป
“ข้านั้นมักจะมองดูผู้อื่นจากจุดที่ไม่โดดเด่นเสมอ ข้าจึงมองเห็นสิ่งที่เจ้ามีต่างจากผู้อื่น ข้าไม่ได้มีพลังในการตรวจจับเช่นตระกูลซื่อ ไม่มีโชคมหาศาลเช่นตระกูลจู ไม่ได้พิเศษอย่างถางเจียฉี สิ่งเดียวที่ข้ามีคือสัญชาตญาณในการตัดสินผู้คน และข้ารู้ว่าเจ้ามอบบางอย่างให้ข้าได้” พูดจบหม่าคงก็กระจายปราณออกไปรอบตัว ความร้อนสูงขึ้นอีกระดับก่อนที่เปลวเพลิงจะกอปรกันขึ้นเป็นรูปร่างของหงส์สี่ชาดที่ร้อนแรง
เกราะปราณถูกใช้งานมากกว่าสามชั้นเมื่อจางหมิงเห็นสิ่งที่อยู่เบื้อหน้า ความร้อนนั้นไม่ได้เกิดจากการแสดงผลของวิชายุทธ์แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นปราณธาตุที่จางหมิงไม่คุ้นเคย หากผลพิเศษที่เกิดจากมันย่อมเผาไหม้ได้อย่างรุนแรงจนไม่คาดคิด
หงส์เพลิงพุ่งทะยานพร้อมกับร้องลั่นราวกับมีชีวิต เส้นทางที่มันวาดผ่านลุกไหม้อย่างรุนแรงแม้แต่หินที่ว่าแข็งยังหลอมละลาย แต่เป้าหมายของมันย่อมไม่ใช่เศษหินเหล่านั้นหากเป็นจางหมิงที่คอยตั้งรับอยู่แล้ว
ตูม!
เสียงกระแทกสนั่นป่าทำให้การต่อสู้แย่งชิงทางเข้าประตูทางออกหยุดชะงัก ทุกคนต่างล้วนมองเข้าไปในป่าราวกับต้องมนต์
เกราะปราณของจางหมิงร้าวทั้งสามชั้นตั้งแต่การปะทะแรกก่อนจะแตกออกจนมือข้างที่ยื่นออกไปถูกเผาไหม้จนแสบร้อน แต่เห็นได้ชัดว่ามันผ่านการพุ่งชนของพลังนั้นได้แล้ว แต่ป่ารอบข้างที่ไม่ได้มีเกราะปราณของมันขวางกั้นกลายเป็นเถ้าถ่านที่ไม่อาจกลับคืนดังเดิมได้อีก
“เกราะปราณยิ่งมากยิ่งกินแรงจริงๆ” จางหมิงบ่นพึมพำกับตัวเองก่อนจะลองขยับมือที่ถูกเผาแต่นิ้วแทบไม่อาจกระดิกได้
“ยอดเยี่ยมๆ คาดไม่ถึงจริงๆ ข้าคิดว่ามันจะทำให้เจ้าเกรียมไปครึ่งซีกเสียอีก” หม่าคงยังพูดอย่างเริงร่าแม้ว่าลมหายใจจะหอบถี่จากการใช้พลังเกินตัวก็ตาม
“พลังของเจ้าเองก็ไม่ใช่ของอาณาจักรนี้เช่นเดียวกัน เจ้าควรเตือนตนเองก่อนที่จะมาเตือนข้าเสียอีก” จางหมิงพูดพร้อมกับหยิมเม็ดยารักษาเข้าปากหลายเม็ด แต่ก็ไม่อาจรักษาแขนซ้ายนี้ได้แม้แต่น้อยมันจึงขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยพอใจ
“ก็เป็นเช่นที่เจ้าว่า ‘มันยังไม่เป็นปัญหาในตอนนี้’ เพราะกว่าการตรวจสอบมาถึง ข้าคงหนีไปไกลแล้ว”
“ว่าแต่พลังนี่ไม่อาจรักษาได้หรือ” จางหมิงได้แต่จ้องมองมือตัวเองอยู่แบบนั้น
“เพราะเหตุนั้นแหละ มาดูกันว่าเจ้าใช่สิ่งที่ข้าต้องการหรือไม่” หม่าคงก็จ้องไปที่ฝ่ามือที่กลายเป็นสีดำนั้นเช่นเดียวกัน
“หลายคนวาดหวังในตัวข้าทั้งๆที่ข้าไม่เข้าใจ เจ้าพอจะบอกได้หรือไม่ว่าวาดหวังในสิ่งใดกัน”
ไม่ทันที่หม่าคงจะได้ตอบอะไรพวกมันก็ทะยานหนีไปทางเดียวกันเมื่อรู้สึกถึงผู้คนกำลังใกล้เข้ามา หม่าคงยังคงทำหน้าระรื่นอย่างน่าหมั่นไส้ในสายตาของจางหมิง แต่ไปได้ไม่ไกลจางหมิงก็ชะงักเท้าแล้วจ้องมองมือของตนเองที่ค่อยๆหายจากอาการบาดเจ็บอย่างช้าๆแต่พอจะรู้สึกได้
“นี่...”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ...” ยังไม่ทันที่จางหมิงจะกล่าวอะไรเสียงหัวร่ออันยาวนานก็ดังขึ้นมาจากฝ่ายตรงข้าม
“นายท่านหมิง” จิ้งจอกน้อยตามมาทันแล้ว มันมองกลับไปที่หม่าคงอย่างนึกสงสัยในความบ้าคลั่งของอีกฝ่ายที่แสดงออกมา
“ไม่ว่าถางเจียฉีผู้พิสดารนั้นวาดหวังอะไร แต่สิ่งที่ข้าวาดหวังเพียงไม่กี่หยดของสายเลือดที่พิเศษนี้เท่านั้น ...รู้ไหมเพลิงของข้าเป็นวิชาธาตุที่ไม่อาจรักษาด้วยวิธีปกติ อย่างน้อยก็เป็นเช่นนั้นล่ะนะ แต่การฟื้นสภาพเจ้ามันไม่ปกติ เจ้าคิดแบบนั้นไหม หึหึ เอาเป็นว่าสำนักคงไม่ปล่อยเรื่องนี้ไว้นาน ว่าอย่างไร... มากับข้าแล้วเจ้าจะได้สมบัติมากมายเป็นการตอบแทน หรืออะไรก็ตามที่เจ้าต้องการ” หม่าคงชักชวน
ความลับดำมืดที่สุดที่จางหมิงปวดเศียรเวียนเกล้าก็คงจะเป็นพลังจากสายเลือดที่คนอื่นได้พูดถึงกันนี่แหละ มันไม่รู้อะไรเลยกับเรื่องนี้ ถางเจียฉีก็ราวกับปิดหูปิดตามันเอาไว้ทุกด้าน แต่ก็คงลืมสังเกตคนที่ไม่ได้ทำตัวโดดเด่นเช่นหม่าคงไป และนั่นทำให้จางหมิงยิ้มออก
“ข้าไม่ต้องการสมบัติที่ไม่ไห้มาด้วยมือของตนเอง แต่หยดเลือดที่เจ้าว่าข้าพอให้ได้”
“หืม...” หม่าคงเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
“แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็มีข้อแลกเปลี่ยนเช่นเดียวกัน”
“โอ้ อะไรล่ะที่เจ้าต้องการ” หม่าคงยกยิ้มมุมปากรอดูอีกฝ่ายที่แสยะยิ้มมาให้
“แลกกับข้อมูลของสายเลือดนี้ที่เจ้ารู้ทั้งหมด ข้าจะให้เลือดที่เจ้าอยากได้สักหนึ่งถ้วยชามหรือมากกว่านั้นก็ย่อมได้” ดวงตาสีดำสนิทของจางหมิงวาววับก่อนจะวาบประกายสีส้มจางที่ทำให้หม่าคงยิ้มอย่างพึงใจ
“ก็ได้... แต่เจ้าคงต้องทำความเข้าใจก่อนว่าสีแดงและสีส้มนั้นต่างกัน”
“อะไร?” จางหมิงงุนงงกับสิ่งที่อีกฝ่ายบอกเป็นอย่างมาก มันไม่เข้าใจว่าปัญหาเล็กๆนั้นมันเกี่ยวข้องกับสายเลือดและพลังของมันอย่างไร
“เมื่อสายเลือดตื่นขึ้นดวงตาจะกลับกลาย... เจ้าเคยมองกระจกหรือไม่ว่ามันเป็นสีแดงก่ำหรือสีส้มสดของตะวัน”