ตอนที่ 63 เรื่องเล่าจากวงกต
63
ทางที่จางหมิงเลือกเดินคือเส้นทางที่ซื่อเก่อเหยียนได้เข้าไปก่อนหน้า ตอนนี้มันเจอผลึกธาตุอัคคีจำนวนมากซึ่งเสียเวลาเก็บกลับเข้าอัญมณีผนึกเสียกว่าค่อนวันจนหมด เหลือเพียงผลเมฆาสีชาดและน้ำจากแอ่งลาวาเท่านั้นที่จางหมิงขาดไปจากส่วนผสมในการสร้างยาแก้พิษเหมันนิรันดร์
“ในตำราแพทย์ในสำนักบางเล่มได้กล่าวว่าการกินผลึกธาตุใดเข้าไปในปริมาณมากจะทำให้ปราณธาตุในกายแปรเปลี่ยน เจ้าอยากลองหน่อยไหม” จางหมิงถามจิ้งจอกน้อยที่ส่ายหน้าทันที และนั่นทำให้มันหัวเราะ
ไม่มีบทพิสูจน์ในเรื่องนี้นัก การกินผลึกธาตุที่ไม่ได้ผ่านการกลั่นผสมก็ไม่ต่างจากการกินเหล็กดิบ ไม่มีประโยชน์แถมยังจะเป็นโทษด้วยซ้ำ แต่การนำมากลั่นผสมก็ทำให้ธาตุภายในของมันเสื่อมสลายจนไม่อาจแสดงพลังของการเปลี่ยนแปลง และจิ้งจอกน้อยไม่ได้ต้องการเป็นตัวทดลอง
“ผลึกธาตุอัคคีมีราคาสูงมาก การใช้ไปกับเรื่องที่ยังไม่แน่ใจว่าเป็นไปได้หรือไม่ก็ออกจะสิ้นเปลืองเกินไป เอาเป็นว่าเก็บไว้เป็นสมบัติของข้าก็แล้วกัน ...ว่าแต่ลูกแก้ววิญญาณเพียงสองลูกตอนนี้ข้าคงทนอยู่ภายในได้เพียงไม่นาน เจ้าช่วยข้าตามหาสมบัติปราณด้วยก็แล้วกัน หลิงหลิง”
“ไม่เป็นปัญหาขอรับ”
ห้องโถงทางประตูแรกดูรกกว่าเดิมเล็กน้อยจากการปะทะของพลังจากจิ้งจอกน้อยกับถางเจียฉี ส่วนในบริเวณอื่นไม่ได้พบการบุบสลายใดๆ กลิ่นที่อบอวลก็ยังคงมากอยู่เช่นเดิมทำให้จางหมิงถึงกับต้องใช้ลูกแก้ววิญญาณไปในทันทีหนึ่งลูก
“เจ้าหลอมแกนวิญญาณจากพวกนี้ได้หรือไม่”
“ข้าไม่รู้สึกถึงแกนวิญญาณบริเวณนี้ขอรับ” จิ้งจอกน้อยตอบกลับพร้อมกับสำรวจรอบตัวอีกครั้ง แต่มันก็ยังคงพบว่ารอบด้านไม่มีสิ่งที่เรียกว่าแกนวิญญาณแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว
“แต่ข้าได้กลิ่น...” จางหมิงขมวดคิ้วกับคำตอบของจิ้งจอกน้อย เพราะกลิ่นที่มันได้รับรู้เป็นกลิ่นเดียวกับลูกแก้ววิญญาณแน่นอน
หรือว่ามันคือ...
จางหมิงได้เรียนรู้หลายอย่างมาจากถางเจียฉี ส่วนใหญ่คือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับมันที่ควรรู้ และส่วนเล็กๆของจิ้งจอกน้อยที่มันจำเป็นต้องรู้
จิ้งจอกน้อยนั้นมีข้อจำกัดในการหล่อหลอมลูกแก้ววิญญาณอยู่ นั่นคือมันจะสามารถทำได้ก็ต่อเมื่อร่างนั้นยังมีแกนวิญญาณและแกนวิญญาณจะค่อยๆสลายไปตามกาลเวลา ด้วยเหตุนั้นมันจึงต้องสร้างลูกแก้ววิญญาณจากร่างกายที่ยังคงสดใหม่ และหากแกนวิญญาณสลายนั่นหมายถึงการแตกดับชั่วนิรันดร์
แต่กลิ่นหอมของวิญญาณยังคงอยู่ ราวกับว่ามันคงอยู่ได้โดยที่ไม่มีแกนวิญญาณ
หรืออาจเป็นไปได้ว่าแกนวิญญาณถูกครอบครองด้วยบางสิ่งทำให้มันไม่สลายหายไปและไม่ได้ถูกนำไปใช้งานเช่นที่จางหมิงทำ
“ดูเหมือนสมบัติปราณจะทำเรื่องพวกนี้ขึ้นมา ...ช่วยข้าตามหาเถอะหลิงหลิง ตามหาสิ่งแปลกปลอมที่คงอยู่ใต้โครงกระดูกมากมายเหล่านี้”
จิ้งจอกน้อยรับคำก่อนจำพุ่งเข้าใส่กองกระดูกจนกระจายอย่างนึกสนุก จางหมิงไม่ได้ห้ามปรามอันใดส่วนตัวมันยังคงมองไปรอบๆเพื่อหาสิ่งที่ต้องการ
บริเวณโถงนี้ ไม่ใช่เพียงโครงกระดูกและอุกปกรณ์เก่าๆที่กองสุม แต่มันเต็มไปด้วยของใช้อื่นๆมากมาย และสิ่งที่จากหมิงสนใจคือเหล่ากระดาษที่กระจัดกระจาย เพราะตัวอักษรบนนั้นบอกเรื่องราวที่ผ่านมา
ยังดีที่ว่าอักษรบนกระดาษคือภาษาที่ใช้กันในปัจจุบันหากก็เก่าแก่กว่ามากแต่ก็พออ่านออก จะมีก็เพียงไม่มากนักที่ตราด้วยอักษรประหลาดเช่นเดียวกับในหนังสือเล่มใหญ่ที่พวกคนใส่ชุดคลุมนำไป
เรื่องราวที่ถูกเขียนส่วนใหญ่เป็นจดหมายลาตาย บ้างก็เล่าถึงความคับแค้นของตนเอง บ้างก็เล่าถึงความเจ็บปวดของการสูญเสีย แต่มีหนังสือเล่มเล็กๆเล่มหนึ่งที่บอกเล่าเรื่องราวของการมาที่นี่ของพวกมัน และจากหมิงก็ได้อ่านเพื่อทำความเข้าใจ
ที่แห่งนี้คือพื้นที่ในส่วนของเขตแดนตะวันตกจริงๆ โดยไม่ต้องแปลกใจถึงอากาศที่ร้อนจัดแบบนี้ เพราะถึงไม่มีปล่องภูเขาไฟใกล้ๆแต่ธารลาวาที่ไหวอยู่ใต้พื้นดินก็ทำให้อุณหภูมิสูงกว่าปกติแล้ว
เมื่อครั้งอดีตที่นี่เป็นอาณาจักรเล็กๆที่ยังไม่ได้หลอมรวมกับอาณาจักรมังกรทะยาน ชื่อของมันคืออาณาจักรเพลิงฟ้า พวกมันนับถือเทพแห่งไฟและยึดมั่นในความแข็งแกร่งของพลังแห่งไฟ เจ้าครองนครทุกพระองค์ก็เกิดมามีพลังของปราณธาตุไฟมาแต่กำเนิด แต่จู่ๆวันหนึ่งองค์ชายพระองค์ที่สิบแห่งราชวงศ์ก็เกิดมา แต่ครั้งนั้นไม่มีการแสดงความยินดีเกิดขึ้น แม้แต่ชาวประชาต่างก็สาปแช่งว่าพระองค์คือกาลกิณีของบ้านเมือง ด้วยเหตุผลเดียวที่ว่าพระองค์เกิดมามีธาตุน้ำ
จางหมิงไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องธาตุของพลังนัก ในปัจจุบันวิชายุทธ์ไม่จำเป็นต้องใช้พลังธาตุในการใช้งาน แม้จะมีบ้างที่แสดงลักษณะของเพลิงหรือสายลมออกมาแต่มันก็เป็นเพียงแค่รูปแบบการแสดงออกของการจัดวางรูปแบบพลังธรรมดา และสิ่งเหล่านั้นไม่ได้เกิดจากธาตุในตัว แม้แต่หยินหยางที่เป็นธาตุร้อนเย็นก็ไม่ได้ทำให้เกิดพลังของธาตุ มันเป็นเพียงแค่สิ่งกระตุ้นหรือกดทับพลังของแต่ละบุคคลก็เท่านั้น
เรื่องราวต่อมาว่าด้วยการกักขังองค์ชายพระองค์นั้นตามคำสั่งของราชา เด็กที่ไม่เข้าใจทำได้ก็เพียงแค่เคียดแค้นชิงชังต้อผู้คน ผู้ที่ดีต่อพระองค์มีเพียงแค่มารดา และเรื่องราวจะเป็นเช่นนั้นต่อไปหากพระมารดาของพระองค์ไม่ได้ถูกสั่งประหารจากบิดาขององค์เองด้วยเหตุผลที่ว่าเมื่อพระโอรสอีกคนก็เกิดมาก็มีธาตุน้ำเช่นเดียวกัน แต่อนุชานั้นโชคร้ายกว่ามาก เมื่อไม่มีมารดาดูแลจึงสิ้นตั้งแต่ยังเป็นทารก
กษัตริย์ผู้โง่เขลาและประชาชนผู้โง่งม...
“ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ข้าไม่แปลกใจเลยที่บ้านเมืองจะล่มสลายลง” จางหมิงเหยียดยิ้มก่อนจะสะดุดกับเรื่องราวที่ดูจะน่าสนุกไม่น้อย
ความจริงแล้วองค์ชายมีผู้ช่วยที่ภักดีอยู่คนหนึ่ง คนผู้นี้เป็นสตรีกลางคนที่คอยถวายงานรับใช้มารดาของพระองค์ เธอได้พาองค์ชายที่ขณะนั้นอายุได้เพียงสิบสองชันษาหลบหนีออกไป และพวกเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เวลาผ่านไปอีกสิบปี ในตอนนั้นเกิดภัยแร้งขึ้นหนักกว่าทุกปี พืชผลไม่สามารถเติบโต ประชาชนกว่าครึ่งต้องอดอาหารและมีบางส่วนที่ตกตายลง
องค์ชายธาตุน้ำปรากฏกายอีกครั้งพร้อมกับพลังที่สามารถบันดาลฝน พลังนั้นยิ่งใหญ่พอที่จะกระจายแหล่งน้ำไปทั่วทั้งอาณาจักร ปัญหานั้นแก้ไขไปได้แต่ก็ไม่เป็นที่พอใจกับกษัตริย์องค์ปัจจุบันที่ครองราชย์ หรือก็คือพระเชษฐาองค์โตในราชาองค์ก่อน เพราะด้วยบัลลังก์ที่ครอบครองอยู่ตอนนี้ได้มาจากการยึดอำนาจ ด้วยเรื่องราวนี้ทำให้ประชาชนเอนเอียงไปสู่องค์ชายที่ปรากฏตัวอีกครั้ง
เวลาไม่ถึงอาทิตย์ก็มีข่าวปรากฏให้องค์ชายธาตุน้ำต้องหลบหนีไปอีกครั้ง ข่าวนั้นกล่าวหาว่าภัยแล้งเกิดจากการที่พระองค์ขโมยน้ำไปจากผืนดินและท้องฟ้า แม้มันจะเป็นไปไม่ได้แต่ประชาชนที่ไม่รู้ความมีหรือจะเข้าใจ
องค์ชายธาตุน้ำไม่ได้สนใจเมืองของตนอีก พระองค์พบรักกับสาวชาวป่าผู้หนึ่งและอยู่กินด้วยกันในป่า ราชาที่รู้เรื่องได้ส่งคนเข้าไปหมายจับตัวแต่ตอนนั้นองค์ชายธาตุน้ำได้ออกไปหาอาหารพอดี ทหารบางส่วนที่เห็นความงามของหญิงสาวได้พยายามย่ำยีเธอแต่เป็นเธอเองที่มีความเด็ดขาดมากพอที่จะฆ่าตัวตาย และนั่นเป็นเวลาที่องค์ชายกลับมาพอดี
“นายท่านหมิง...” จิ้งจอกน้อยเรียกเมื่อเห็นนายของมันหัวเราะกับกระดาษในมือ
“ไม่มีอะไร” จางหมิงยิ้มให้มันพลางลูบศีรษะเบาๆ จิ้งจอกน้อยที่ไม่เห็นความผิดปกติอื่นใดอีกจึงกระโจนเข้าไปขุดคุ้ยกองกระดูกต่อไป
จางหมิงคิดว่านี่เป็นนิทานมากกว่าความเป็นจริงเสียอีก ซึ่งเป็นอะไรที่ฆ่าเวลาได้ดี และที่มันหัวเราะเพราะมันแทบจะเดาตอนจบออกทั้งๆที่ยังไม่ได้อ่านเนื้อหาต่อไป
องค์ชายสังหารพวกมันหลังจากเค้นความได้ว่าผู้สั่งการคือพระเชษฐาที่ดำรงตำแหน่งอันสูงส่ง ด้วยความโกรธแค้นและพลังที่มากล้นพระองค์ได้ทำให้น้ำท่วมทั้งเมืองในเวลาเพียงสามวัน ผู้คนล้มตายมากมาย องค์กษัตริย์ได้พาผู้คนที่เหลือส่วนหนึ่งหลบหนีไปยังหุบเขาศักดิ์สิทธิ์ของพวกมันที่อยู่สูงเกินกว่าที่น้ำจะท่วมถึง ทุกคนต่างหวาดกลัวองค์ชายผู้บ้าคลั่ง และพลังธาตุไฟของพวกมันไม่สามารถเอาชนะธาตุน้ำที่มีอนุภาพเหนือกว่าได้ สิ่งที่ทำได้ตอนนั้นก็เพียงภาวนาและบูชาเทพแห่งไฟเพื่อบรรเทาความหวาดกลัว
นับวันอาหารยิ่งลดน้อยลง เหล่าคนที่ถูกส่งออกไปสำรวจภายนอกไม่เคยมีใครได้กลับมา วันหนึ่งมีเสียงตะโกนจากหน้าถ้ำ ไม่มีใครลืมน้ำเสียงที่เกี้ยวโกรธนั้นได้ แต่ด้วยพลังโบราณจากอักษรที่พวกมันเรียกว่าอักษรฟ้าถูกจารึกปิดผนึกประตูอยู่ แม้แต่องค์ชายธาตุน้ำก็ไม่สามารถเข้ามาได้เช่นกัน ถึงเป็นแบบนั้นพวกมันก็ออกไปไม่ได้ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้
อักษรฟ้า?
จางหมิงคิดว่ามันน่าจะเป็นชื่อเรียกอักษรประหลาดที่อ่านไม่ออกที่มันเห็นในหัวในบางครั้ง และที่มันเห็นบนหนังสือกลางห้อง
สิ่งที่กษัตริย์นำติดตัวมามีสองสิ่ง หนึ่งคือหนังสือโบราณที่สืบทอดกันมา ผู้คนได้เรียนรู้จากอักษรเหล่านี้และพัฒนามันจนกลายเป็นพลังมันจึงสำคัญยิ่ง อีกสิ่งคือกล่องโลหะโบราณที่กษัตริย์ทุกรุ่นได้รับสืบต่อกันมาและไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดออก
กล่องโลหะที่กล่าวถึงย่อมเป็นสมบัติปราณที่จางหมิงตามหา แต่เมื่อมีความสำคัญจนไม่ให้เปิดออกย่อมไม่ใช่สิ่งของธรรมดา แต่ก็ไม่ได้มีเรื่องราวบอกกล่าวถึงกล่องโลหะนั้นอีก
หากไม่ใช่เพียงองค์กษัตริย์เท่านั้นที่มีสมบัติตกทอด
องค์ชายธาตุน้ำก็ได้สมบัติชิ้นหนึ่งมาจากมารดาของมันเองที่ถูกฝากไว้กับผู้รับใช้คนสนิท มันคือผนึกค่ายกลรูปแบบหนึ่งที่ผู้เขียนข้อความเหล่านี้ก็ไม่ได้รู้จักมากนัก แต่การทำงานของมันสามารถผนึกสถานที่บางส่วนของอาณาจักรไว้ในอีกห้วงเวลาหนึ่ง และข้อความก็จบลงเท่านี้
“ผนึกที่ประตูคงคลายลงตามกาลเวลา... วงกตสิบแปดดาราคงเป็นสิ่งที่ผนึกสถานที่แห่งนี้ หากเมื่อมันเป็นสมบัติก็แสดงว่าต้องเหลืออยู่เมื่อค่ายกลยังไม่ถูกทำลาย นั่นคงเป็นสิ่งที่ถางเจียฉีต้องการ” จางหมิงได้คาดเดาไว้แบบนั้น และมั่นใจได้ว่าจูลี่ถิงที่ควบคุมที่นี่ได้คงเป็นผู้สืบสายเลือดไม่ทางใดก็ทางหนึ่งขององค์ชายธาตุน้ำ
แต่ปากทางเข้าวงกตกลับไปปรากฏอยู่ที่สำนักพยัคฆ์อัคคีทางตอนใต้
นั่นมันไม่มีเหตุผล!
จางหมิงพยายามหาข้อมูลอื่นๆอีกแต่ก็ไม่ได้อะไรเพิ่มเติม ในที่สุดมันก็ถอดใจแล้วมองดูจิ้งจอกน้อยที่กำลังสนุกกับการทำลายเหล่าโครงกระดูกที่เกลื่อนพื้น
มันควรสอนให้จิ้งจอกน้อยเคารพคนตายบ้างดีไหมหนอ
“นายท่านหมิง!” จิ้งจอกน้อยตะโกนเรียกเมื่อมันพบอะไรบางอย่างเข้า