ตอนที่ 61 สมุนหนึ่ง
61
“เจ้าจะทำอะไร!” เสียงนั้นดังออกมาจากมุมหนึ่งของป่าก่อนที่ผู้พูดจะเดินออกมา
เสียงตะโกนดังก้องมาจากด้านหลังทำให้จางหมิงถอนหายใจ มันรู้ว่ามีคนอยู่ตรงนั้น เพียงแค่มันต้องการทดสอบอะไรบางอย่างก็เท่านั้นเอง
มันผู้นั้นมีนามว่าหวงเหวิน ซึ่งเป็นที่รู้จักในนามของสมุนหนึ่งที่จางหมิงมักเรียกบ่อยๆ และสิ่งที่จางหมิงต้องการรู้คือคนผู้นี้เป็นคนของถางเจียฉีหรือไม่ เนื่องจากการที่มันสนิทกันถึงขั้นเรียกไปช่วยงานก่อนการคัดเลือก
ส่วนผลที่ออกมาก็คือไม่!
จางหมิงมั่นใจว่าถ้ามันเป็นคนของถางเจียฉี มันคงไม่ห้ามการกระทำเมื่อครู่ เพราะลูกแก้ววิญญาณเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากในการเติบโตของพลังประหลาดในตัว
“ศิษย์พี่หวง ไม่เจอกันเสียหลายวันเลย” จางหมิงทักทายอย่างสุภาพแต่อีกฝ่ายกลับหน้าบึ้งตึง
“เจ้าจะทำอะไรกันแน่ แม้เจ้าจะหลอกลวงศิษย์พี่ซื่อได้แต่ไม่อาจหลอกลวงข้าได้!”
“ข้าไปหลอกอะไรกัน” จางหมิงถามออกไปพลางนึกในสิ่งที่มันหลอกลวงผู้อื่นตอนนี้ แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกจริงๆ หากไม่นับเรื่องพลังเหล่านี้มันก็ยังไม่ได้หลอกลวงผู้ใด
“มันไม่มีทางที่จะมีคนที่ให้เม็ดยาที่แสนจะล้ำค่าเช่นเม็ดยาเพิ่มปราณแก่ผู้อื่นโดยไม่หวังผล และสิ่งที่เจ้าทำคือทำให้ศิษย์พี่ซื่อไว้ใจแล้วหลอกให้ใช้พลังให้ใช่หรือไม่” หวงเหวินยังคงกล่าวหา
“ข้าไม่รู้ถึงเรื่องพลังที่ท่านพูดถึง”
ความจริงจางหมิงก็หวังผลจริงๆนั่นแหละ แต่หวังผลของการทดลองผลกระทบของเม็ดยาเท่านั้น แต่พอนึกถึงพลังในการตรวจสอบของเจ้าอ้วนอีกทีถึงได้เข้าใจขึ้นมา เพราะแค่มีพลังนั้น มันก็หาสมบัติปราณได้ง่ายๆเลย
ว่าแต่หนังสือเล่มนั้นที่พวกคนชุดดำได้ไปคือสมบัติปราณหรือ...
ความเป็นไปได้นั้นต่ำมาก จางหมิงคิดว่ามันควรเข้าไปตรวจสอบที่ถ้ำอีกครั้ง และด้วยพลังตอนนี้ การจะเข้าถึงทางออกใจกลางป่าก็ใช้เวลาไม่เกินห้าวันเท่านั้น
“เหอะ! เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน แต่ตอนนี้เจ้าต้องปล่อยพวกมันไปเสีย” หวงเหวินสั่งการโดยไม่ได้มองดูจางหมิงว่ามันขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
ไม่ใช่ว่าไม่พอใจให้ปล่อยคนพวกนี้ไป แต่ไม่พอใจคำสั่งที่ราวกับมันเป็นเบี้ยล่างเช่นนั้น
“แล้วถ้าข้าบอกว่าไม่ล่ะ”
“การที่เจ้ามีพลังเพิ่มขึ้นนั้นไม่ได้แปลว่าเหนือกว่าข้า” หวงเหวินกอดอกพลางจ้องเขม็งไปยังจางหมิงก่อนจะเหลือบสายตาไปมองจิ้งจอกน้อยแล้วแสยะยิ้ม
จางหมิงตรวจสอบพลังของฝ่ายตรงข้ามได้เพียงขั้นกลางระดับหนึ่งเช่นเดียวกับที่เจอกันครั้งแรกเมื่อเกือบครึ่งปีก่อน มันไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนผู้นี้ถึงได้มั่นใจเสียหนักหนาที่จะชนะมันที่มีพลังสูงกว่าได้
“คิดว่านี่คือพลังของข้าจริงๆหรือ... ดูเหมือนจิ้งจอกมายาจะมองผ่านได้เพียงภาพมายาเท่านั้น หากกลับไม่สามารถมองผ่านวิชาปกปิดพลังได้ จริงๆแล้วสัตว์ปีศาจชนิดนี้ก็ดูจะไม่เท่าไหร่”
กรร!
จิ้งจอกน้อยคำรามลั่นเมื่อถูกสบประมาทเข้าให้ ขนทั้งตัวชูชันขึ้นมาเพื่อเรียกพลังแต่ก็ถูกจางหมิงส่งสายตาบอกให้หยุดลง
ดวงตาสีส้มสดของจิ้งจอกนอกแล่นวาบด้วยสายฟ้าภายในก่อนที่จะหายไปอย่างรวดเร็ว หากตัวมันสงบลงแต่ก็ยังไม่วายขู่คำรามออกไปใส่ฝ่ายตรงข้ามอยู่ดี
“ดูเหมือนศิษย์พี่จะว่างมากจนถึงกับหาเรื่องกับคู่พันธะของข้าเช่นนี้”
จางหมิงได้ประเมินแล้วว่าคนผู้นี้ไม่ได้เก่งกาจมากมายเช่นถางเจียฉี คาดได้ว่าอาจเป็นเพียงหนึ่งในอัจฉริยะบุคคลที่นานๆจะเกิดขึ้นแต่ปกปิดพลังของตนเองไว้ ดูแล้วเบื้องหลังครอบครัวเหมือนจะยิ่งใหญ่ไม่น้อยทีเดียว
แต่มีหรือจางหมิงจะกลัว!
เพราะตอนนี้เมื่อเปิดอาณาจักรจันทรา ระดับของมันจะสูงถึงขั้นมนุษย์ระดับหนึ่งเลยทีเดียว
“เหอะ! ถ้าเจ้าไม่ฟังคำข้าก็จงอย่าได้หาว่าใจร้ายเกินไป”
“ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมศิษย์พี่หวงถึงต้องช่วยพวกมัน หรือเพราะหนึ่งในนั้นคือคนตระกูลซื่อเช่นเดียวกับศิษย์พี่ซื่อเก่อเหยียนกัน”
“จะแปลกอะไร ข้าเพียงช่วยคนสำนักเดียวกัน” หวงเหวินยักไหล่
“ถ้าท่านอยากช่วยจริงคงเตือนพวกมันแต่แรกทั้งๆที่ท่านรับรู้ถึงพลังของข้าได้อยู่แล้ว แต่นี่มันเหมือนกับว่า... ท่านหาข้ออ้างเพื่อต้องการประมือกับข้าเท่านั้น” จางหมิงหรี่สายตาลงอย่างจับผิด และรอยยิ้มที่ฉาบลงบนใบหน้าของฝ่ายตรงข้ามกลับทำให้มันเข้าใจได้ว่าเหตุผลคงเป็นเช่นนั้นจริงๆ
“แล้วถ้าใช่ล่ะ”
“ถ้าท่านชนะข้าได้ก็ค่อยว่ากล่าวกันเรื่องปล่อยคนพวกนี้ไป ...หลิงหลิง ดูพวกมันไว้” จางหมิงสั่งการและไม่รีรอที่จะกระโจนใส่ฝ่ายตรงข้าม
มีดไร้ประกายถูกนำออกมาก่อนเป็นอันดับแรก มันเรืองวาบด้วยสีขาวขุ่นในขณะที่ถูกถือ แต่แม้จะอยู่แค่ระดับสามัญ มันก็ไม่ได้ด้วยค่าเมื่อคือวิชาโบราณ
เกราะปราณเหลืองทองถูกนำมาปิดกั้นอย่างง่ายๆแต่ก็ต้องคิ้วขมวดเมื่อมันถูกกรีดลึกจนแตกกระจาย หวงเหวินไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัว มันจ้องมองมีดเล่มนั้นผ่านตาแล้วสร้างเกราะปราณขึ้นมาอีก แต่ด้วยเคล็ดแรกกวัดแกว่งฟ้าของวิชาเคล็ดมีดสลักวิญญาณก็ทำลายมันลงเรื่อยๆเมื่อเกราะปราณถูกสร้างขึ้นมาในทันที
“อาวุธดี วิชาก็ดี แต่นั่นยังไม่เพียงพอ” หวงเหวินพูดออกมาก่อนจะใช้เกราะปราณดีดกลับ
พลังจากเกราะปราณที่ส่งออกมาเป็นเพียงกลุ่มก้อนของพลังที่พุ่งผ่านอากาศ มันสามารถตัดผ่านได้หากไม่อาจทำลายด้วยอาวุธมีคม จางหมิงจึงทำได้เพียงกระโดดถอยออกมาแล้วปิดกั้นมันด้วยเกราะปราณของตนเอง
เกราะปราณสีเขียวไม่ได้ทำให้หวงเหวินตกตะลึง เพราะถึงแม้จะแข็งแกร่งปานใด แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางถูกทำลายลง
วิธีการทำลายเกราะปราณเป็นสิ่งที่จากหมิงค้นพบ แต่ก็เป็นสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามเรียนรู้มาเช่นเดียวกัน วิธีการนั้นไม่ยาก ขอเพียงเข้าประชิดได้ไม่ว่าจะเป็นดาบหอกหรืออาวุธอื่นใดถ้าคมกริบมากพอ การเจาะทะลุก็เป็นเพียงเรื่องที่ง่ายดาย
“เกราะปราณป้องกันพลังจากปราณ แต่ไม่ได้ป้องกันพลังที่เสริมส่งกับอาวุธ เรื่องนั้นเจ้าคงรู้ดี” หวงเหวินนำดาบของตนออกมาจากอัญมณีผนึก มันไม่ได้ไหญ่โต ไม่ได้เพรียวบางเท่ากระบี่ แต่ความแวววาวจากด้านคมนั้นบอกได้เป็นอย่างดีว่าแทบจะสามารถตัดผ่านได้ทุกสิ่ง
“ข้าก็ชักอยากจะรู้เสียแล้วสิว่าดาบนั่นจะคมกริบมากพอที่จะฝ่าเข้ามาในเกราะปราณของข้าหรือเปล่า” แต่จางหมิงก็ไม่ได้หวาดหวั่นอันใด
ตั้งแต่ที่รู้จักพลังที่เรียกติดปากว่าอาณาจักรจันทรา จางหมิงกระหายหารต่อสู้มากขึ้น และคาดว่าคงจะมากขึ้นเรื่อยๆในเวลาต่อมา หากทุกสิ่งย่อมมีทางแก้ในแบบของมันเอง เมื่อไม่ได้เกินกว่าที่จะสามารถควบคุม มันก็ยังไม่ใส่ใจตอนนี้
“ไม่ใช่แค่เจ้าที่มีอาวุธและวิชาที่ดี” หวงเหวินไม่พูดเปล่าพุ่งตัวเข้าใส่จางหมิงแล้วกระแทกดาบที่ผนึกปราณเข้าไปอย่างรุนแรง เกราะปราณที่ว่าแข็งแกร่งไม่นานก็เริ่มร้าวออกมา และไม่ทันที่จางหมิงจะล่าถอยพลังปราณสายหนึ่งก็พุ่งเข้ามาตามรอบแยกแล้วกระแทกเข้ากับหน้าอกจนต้องกระอักเลือด
เคร้ง!
เกราะปรารแตกออกพร้อมๆกับจางหมิงที่ยกมีดขึ้นรับการประทะต่อมาแต่ก็ต้องถอยร่นไปด้านหลังเมื่ออาการบาดเจ็บทำให้มันใช้พลังได้ไม่เต็มที่
ตอนนี้สิ่งที่จากหมิงจะโทษก็คือประสบการณ์ในการใช้พลังปราณของตนเองที่มีน้อยเกินไป
แต่มันก็ใช่ว่าจะยอมแพ้ง่ายๆ
“ก็ไม่เท่าไหร่นี่” หวงเหวินเยาะเย้ยออกมาจนทำให้จางหมิงที่กำลังศึกษารูปแบบการโจมตีของอีกฝ่ายหางคิ้วกระตุก
“ข้าก็ไม่ได้มีดีแค่นี้หรอกน่าศิษย์พี่ ...อาชาไพรี”
สิ้นคำแววตาของหวงเหวินตระหนกวาบก่อนจะถอยหลังออกมาอย่างรวดเร็วตามมาด้วยม้าป่าสีเหลืองทองสามตัวที่ห้อตะบึงมาพร้อมกับสายลมที่โหมกระหน่ำรอบตัว
“กายาทองพิทักษ์!” ร่างกายของหวงเหวินกลายเป็นสีทองเรืองรองแล้วหยุดนิ่งอยู่กับที่ราวกับมันกลายเป็นรูปปั้นทองไปจริงๆ
นั่นเป็นวิชายุทธ์ในการป้องกันรูปแบบหนึ่ง ในความเป็นจริงวิชาป้องกันร่างกายโดยตรงล้วนฝึกได้อย่างอย่างเย็นเนื่องด้วยเป็นการฝืนร่างกายจนเกินไป ดังนั้นเกราะปราณที่ใช้เป็นการป้องกันภายนอกจึงเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย จางหมิงก็ประหลาดใจไม่น้อยที่ได้เห็นวิชาแบบนี้ และผลที่ออกมาก็คืออาชาไพรีของมันไม่สามารถทำอันตรายอีกฝ่ายได้แม้แต่รอยขีดข่วนเล็กๆ
หวงเหวินกลับมาสู่สภาพเดิมเรียบร้อยแล้ว มันจ้องจางหมิงอย่างพิจารณาอีกครั้ง
สำหรับผู้ฝึกปราณย่อมรู้กันดีว่าในระดับของผู้ฝึกที่ยังไม่ถึงขั้นมนุษย์การจะใช้พลังสองแบบในเวลาเดียวกันนั้นเป็นไปได้ยาก แต่ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะไม่ได้ลำบากอันใดกับการใช้พลังไปกับมีดในมือและอาชาไพรีเมื่อครู่
ดูท่าซื่อเก่อเหยียนไม่ได้เลือกไปหาจางหมิงเพราะความสามารถในการปรุงยาเพียงอย่างเดียวแน่นอน
“เก่งนี่ แต่นั่นไม่ได้ทำให้เจ้าชนะ!”
+++