ตอนที่แล้วตอนที่ 60 คำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 62 กลั่น

ตอนที่ 61 สมุนหนึ่ง


61

 

“เจ้าจะทำอะไร!” เสียงนั้นดังออกมาจากมุมหนึ่งของป่าก่อนที่ผู้พูดจะเดินออกมา

 

เสียงตะโกนดังก้องมาจากด้านหลังทำให้จางหมิงถอนหายใจ มันรู้ว่ามีคนอยู่ตรงนั้น เพียงแค่มันต้องการทดสอบอะไรบางอย่างก็เท่านั้นเอง

 

มันผู้นั้นมีนามว่าหวงเหวิน ซึ่งเป็นที่รู้จักในนามของสมุนหนึ่งที่จางหมิงมักเรียกบ่อยๆ และสิ่งที่จางหมิงต้องการรู้คือคนผู้นี้เป็นคนของถางเจียฉีหรือไม่ เนื่องจากการที่มันสนิทกันถึงขั้นเรียกไปช่วยงานก่อนการคัดเลือก

 

ส่วนผลที่ออกมาก็คือไม่!

 

จางหมิงมั่นใจว่าถ้ามันเป็นคนของถางเจียฉี มันคงไม่ห้ามการกระทำเมื่อครู่ เพราะลูกแก้ววิญญาณเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากในการเติบโตของพลังประหลาดในตัว

 

“ศิษย์พี่หวง ไม่เจอกันเสียหลายวันเลย” จางหมิงทักทายอย่างสุภาพแต่อีกฝ่ายกลับหน้าบึ้งตึง

 

“เจ้าจะทำอะไรกันแน่ แม้เจ้าจะหลอกลวงศิษย์พี่ซื่อได้แต่ไม่อาจหลอกลวงข้าได้!”

 

“ข้าไปหลอกอะไรกัน” จางหมิงถามออกไปพลางนึกในสิ่งที่มันหลอกลวงผู้อื่นตอนนี้ แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกจริงๆ หากไม่นับเรื่องพลังเหล่านี้มันก็ยังไม่ได้หลอกลวงผู้ใด

 

“มันไม่มีทางที่จะมีคนที่ให้เม็ดยาที่แสนจะล้ำค่าเช่นเม็ดยาเพิ่มปราณแก่ผู้อื่นโดยไม่หวังผล และสิ่งที่เจ้าทำคือทำให้ศิษย์พี่ซื่อไว้ใจแล้วหลอกให้ใช้พลังให้ใช่หรือไม่” หวงเหวินยังคงกล่าวหา

 

“ข้าไม่รู้ถึงเรื่องพลังที่ท่านพูดถึง”

 

ความจริงจางหมิงก็หวังผลจริงๆนั่นแหละ แต่หวังผลของการทดลองผลกระทบของเม็ดยาเท่านั้น แต่พอนึกถึงพลังในการตรวจสอบของเจ้าอ้วนอีกทีถึงได้เข้าใจขึ้นมา เพราะแค่มีพลังนั้น มันก็หาสมบัติปราณได้ง่ายๆเลย

 

ว่าแต่หนังสือเล่มนั้นที่พวกคนชุดดำได้ไปคือสมบัติปราณหรือ...

 

ความเป็นไปได้นั้นต่ำมาก จางหมิงคิดว่ามันควรเข้าไปตรวจสอบที่ถ้ำอีกครั้ง และด้วยพลังตอนนี้ การจะเข้าถึงทางออกใจกลางป่าก็ใช้เวลาไม่เกินห้าวันเท่านั้น

 

“เหอะ! เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน แต่ตอนนี้เจ้าต้องปล่อยพวกมันไปเสีย” หวงเหวินสั่งการโดยไม่ได้มองดูจางหมิงว่ามันขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ

 

ไม่ใช่ว่าไม่พอใจให้ปล่อยคนพวกนี้ไป แต่ไม่พอใจคำสั่งที่ราวกับมันเป็นเบี้ยล่างเช่นนั้น

 

“แล้วถ้าข้าบอกว่าไม่ล่ะ”

 

“การที่เจ้ามีพลังเพิ่มขึ้นนั้นไม่ได้แปลว่าเหนือกว่าข้า” หวงเหวินกอดอกพลางจ้องเขม็งไปยังจางหมิงก่อนจะเหลือบสายตาไปมองจิ้งจอกน้อยแล้วแสยะยิ้ม

 

จางหมิงตรวจสอบพลังของฝ่ายตรงข้ามได้เพียงขั้นกลางระดับหนึ่งเช่นเดียวกับที่เจอกันครั้งแรกเมื่อเกือบครึ่งปีก่อน มันไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนผู้นี้ถึงได้มั่นใจเสียหนักหนาที่จะชนะมันที่มีพลังสูงกว่าได้

 

“คิดว่านี่คือพลังของข้าจริงๆหรือ... ดูเหมือนจิ้งจอกมายาจะมองผ่านได้เพียงภาพมายาเท่านั้น หากกลับไม่สามารถมองผ่านวิชาปกปิดพลังได้ จริงๆแล้วสัตว์ปีศาจชนิดนี้ก็ดูจะไม่เท่าไหร่”

 

กรร!

 

จิ้งจอกน้อยคำรามลั่นเมื่อถูกสบประมาทเข้าให้ ขนทั้งตัวชูชันขึ้นมาเพื่อเรียกพลังแต่ก็ถูกจางหมิงส่งสายตาบอกให้หยุดลง

 

ดวงตาสีส้มสดของจิ้งจอกนอกแล่นวาบด้วยสายฟ้าภายในก่อนที่จะหายไปอย่างรวดเร็ว หากตัวมันสงบลงแต่ก็ยังไม่วายขู่คำรามออกไปใส่ฝ่ายตรงข้ามอยู่ดี

 

“ดูเหมือนศิษย์พี่จะว่างมากจนถึงกับหาเรื่องกับคู่พันธะของข้าเช่นนี้”

 

จางหมิงได้ประเมินแล้วว่าคนผู้นี้ไม่ได้เก่งกาจมากมายเช่นถางเจียฉี คาดได้ว่าอาจเป็นเพียงหนึ่งในอัจฉริยะบุคคลที่นานๆจะเกิดขึ้นแต่ปกปิดพลังของตนเองไว้ ดูแล้วเบื้องหลังครอบครัวเหมือนจะยิ่งใหญ่ไม่น้อยทีเดียว

 

แต่มีหรือจางหมิงจะกลัว!

 

เพราะตอนนี้เมื่อเปิดอาณาจักรจันทรา ระดับของมันจะสูงถึงขั้นมนุษย์ระดับหนึ่งเลยทีเดียว

 

“เหอะ! ถ้าเจ้าไม่ฟังคำข้าก็จงอย่าได้หาว่าใจร้ายเกินไป”

 

“ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมศิษย์พี่หวงถึงต้องช่วยพวกมัน หรือเพราะหนึ่งในนั้นคือคนตระกูลซื่อเช่นเดียวกับศิษย์พี่ซื่อเก่อเหยียนกัน”

 

“จะแปลกอะไร ข้าเพียงช่วยคนสำนักเดียวกัน” หวงเหวินยักไหล่

 

“ถ้าท่านอยากช่วยจริงคงเตือนพวกมันแต่แรกทั้งๆที่ท่านรับรู้ถึงพลังของข้าได้อยู่แล้ว แต่นี่มันเหมือนกับว่า... ท่านหาข้ออ้างเพื่อต้องการประมือกับข้าเท่านั้น” จางหมิงหรี่สายตาลงอย่างจับผิด และรอยยิ้มที่ฉาบลงบนใบหน้าของฝ่ายตรงข้ามกลับทำให้มันเข้าใจได้ว่าเหตุผลคงเป็นเช่นนั้นจริงๆ

 

“แล้วถ้าใช่ล่ะ”

 

“ถ้าท่านชนะข้าได้ก็ค่อยว่ากล่าวกันเรื่องปล่อยคนพวกนี้ไป ...หลิงหลิง ดูพวกมันไว้” จางหมิงสั่งการและไม่รีรอที่จะกระโจนใส่ฝ่ายตรงข้าม

 

มีดไร้ประกายถูกนำออกมาก่อนเป็นอันดับแรก มันเรืองวาบด้วยสีขาวขุ่นในขณะที่ถูกถือ แต่แม้จะอยู่แค่ระดับสามัญ มันก็ไม่ได้ด้วยค่าเมื่อคือวิชาโบราณ

 

เกราะปราณเหลืองทองถูกนำมาปิดกั้นอย่างง่ายๆแต่ก็ต้องคิ้วขมวดเมื่อมันถูกกรีดลึกจนแตกกระจาย หวงเหวินไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัว มันจ้องมองมีดเล่มนั้นผ่านตาแล้วสร้างเกราะปราณขึ้นมาอีก แต่ด้วยเคล็ดแรกกวัดแกว่งฟ้าของวิชาเคล็ดมีดสลักวิญญาณก็ทำลายมันลงเรื่อยๆเมื่อเกราะปราณถูกสร้างขึ้นมาในทันที

 

“อาวุธดี วิชาก็ดี แต่นั่นยังไม่เพียงพอ” หวงเหวินพูดออกมาก่อนจะใช้เกราะปราณดีดกลับ

 

พลังจากเกราะปราณที่ส่งออกมาเป็นเพียงกลุ่มก้อนของพลังที่พุ่งผ่านอากาศ มันสามารถตัดผ่านได้หากไม่อาจทำลายด้วยอาวุธมีคม จางหมิงจึงทำได้เพียงกระโดดถอยออกมาแล้วปิดกั้นมันด้วยเกราะปราณของตนเอง

 

เกราะปราณสีเขียวไม่ได้ทำให้หวงเหวินตกตะลึง เพราะถึงแม้จะแข็งแกร่งปานใด แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางถูกทำลายลง

 

วิธีการทำลายเกราะปราณเป็นสิ่งที่จากหมิงค้นพบ แต่ก็เป็นสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามเรียนรู้มาเช่นเดียวกัน วิธีการนั้นไม่ยาก ขอเพียงเข้าประชิดได้ไม่ว่าจะเป็นดาบหอกหรืออาวุธอื่นใดถ้าคมกริบมากพอ การเจาะทะลุก็เป็นเพียงเรื่องที่ง่ายดาย

 

“เกราะปราณป้องกันพลังจากปราณ แต่ไม่ได้ป้องกันพลังที่เสริมส่งกับอาวุธ เรื่องนั้นเจ้าคงรู้ดี” หวงเหวินนำดาบของตนออกมาจากอัญมณีผนึก มันไม่ได้ไหญ่โต ไม่ได้เพรียวบางเท่ากระบี่ แต่ความแวววาวจากด้านคมนั้นบอกได้เป็นอย่างดีว่าแทบจะสามารถตัดผ่านได้ทุกสิ่ง

 

“ข้าก็ชักอยากจะรู้เสียแล้วสิว่าดาบนั่นจะคมกริบมากพอที่จะฝ่าเข้ามาในเกราะปราณของข้าหรือเปล่า” แต่จางหมิงก็ไม่ได้หวาดหวั่นอันใด

 

ตั้งแต่ที่รู้จักพลังที่เรียกติดปากว่าอาณาจักรจันทรา จางหมิงกระหายหารต่อสู้มากขึ้น และคาดว่าคงจะมากขึ้นเรื่อยๆในเวลาต่อมา หากทุกสิ่งย่อมมีทางแก้ในแบบของมันเอง เมื่อไม่ได้เกินกว่าที่จะสามารถควบคุม มันก็ยังไม่ใส่ใจตอนนี้

 

“ไม่ใช่แค่เจ้าที่มีอาวุธและวิชาที่ดี” หวงเหวินไม่พูดเปล่าพุ่งตัวเข้าใส่จางหมิงแล้วกระแทกดาบที่ผนึกปราณเข้าไปอย่างรุนแรง เกราะปราณที่ว่าแข็งแกร่งไม่นานก็เริ่มร้าวออกมา และไม่ทันที่จางหมิงจะล่าถอยพลังปราณสายหนึ่งก็พุ่งเข้ามาตามรอบแยกแล้วกระแทกเข้ากับหน้าอกจนต้องกระอักเลือด

 

เคร้ง!

 

เกราะปรารแตกออกพร้อมๆกับจางหมิงที่ยกมีดขึ้นรับการประทะต่อมาแต่ก็ต้องถอยร่นไปด้านหลังเมื่ออาการบาดเจ็บทำให้มันใช้พลังได้ไม่เต็มที่

 

ตอนนี้สิ่งที่จากหมิงจะโทษก็คือประสบการณ์ในการใช้พลังปราณของตนเองที่มีน้อยเกินไป

 

แต่มันก็ใช่ว่าจะยอมแพ้ง่ายๆ

 

“ก็ไม่เท่าไหร่นี่” หวงเหวินเยาะเย้ยออกมาจนทำให้จางหมิงที่กำลังศึกษารูปแบบการโจมตีของอีกฝ่ายหางคิ้วกระตุก

 

“ข้าก็ไม่ได้มีดีแค่นี้หรอกน่าศิษย์พี่ ...อาชาไพรี”

 

สิ้นคำแววตาของหวงเหวินตระหนกวาบก่อนจะถอยหลังออกมาอย่างรวดเร็วตามมาด้วยม้าป่าสีเหลืองทองสามตัวที่ห้อตะบึงมาพร้อมกับสายลมที่โหมกระหน่ำรอบตัว

 

“กายาทองพิทักษ์!” ร่างกายของหวงเหวินกลายเป็นสีทองเรืองรองแล้วหยุดนิ่งอยู่กับที่ราวกับมันกลายเป็นรูปปั้นทองไปจริงๆ

 

นั่นเป็นวิชายุทธ์ในการป้องกันรูปแบบหนึ่ง ในความเป็นจริงวิชาป้องกันร่างกายโดยตรงล้วนฝึกได้อย่างอย่างเย็นเนื่องด้วยเป็นการฝืนร่างกายจนเกินไป ดังนั้นเกราะปราณที่ใช้เป็นการป้องกันภายนอกจึงเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย จางหมิงก็ประหลาดใจไม่น้อยที่ได้เห็นวิชาแบบนี้ และผลที่ออกมาก็คืออาชาไพรีของมันไม่สามารถทำอันตรายอีกฝ่ายได้แม้แต่รอยขีดข่วนเล็กๆ

 

หวงเหวินกลับมาสู่สภาพเดิมเรียบร้อยแล้ว มันจ้องจางหมิงอย่างพิจารณาอีกครั้ง

 

สำหรับผู้ฝึกปราณย่อมรู้กันดีว่าในระดับของผู้ฝึกที่ยังไม่ถึงขั้นมนุษย์การจะใช้พลังสองแบบในเวลาเดียวกันนั้นเป็นไปได้ยาก แต่ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะไม่ได้ลำบากอันใดกับการใช้พลังไปกับมีดในมือและอาชาไพรีเมื่อครู่

 

ดูท่าซื่อเก่อเหยียนไม่ได้เลือกไปหาจางหมิงเพราะความสามารถในการปรุงยาเพียงอย่างเดียวแน่นอน

 

“เก่งนี่ แต่นั่นไม่ได้ทำให้เจ้าชนะ!”

 

+++

 

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด