ตอนที่ 60 คำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ
60
คำถามนั้นจะไม่ตอบก็เกิดเป็นความคลางแคลงใจ หากก็ไม่สมควรตอบออกไปอยู่ดีเช่นเดียวกัน
“อา... เอาเป็นว่าหากศิษย์น้องไปถึงขั้นมนุษย์ได้ก่อนการคัดเลือกนี้จบลงข้าจะบอกก็แล้วกัน” ถางเจียฉีพูดพลางยิ้มหวาน หากสิ่งที่กล่าวมานั้นไม่ง่ายเลย
ขั้นสูงกับมนุษย์มีข้อแตกต่างระหว่างขั้นที่ใหญ่มาก หากนับจากความหนาแน่นของปราณ เพียงแค่ปริมาณก็ห่างกันเกือบสิบเท่า นั่นนับว่าสองขั้นนี้เป็นเขตแบ่งระหว่างความสามารถจริงๆ
“เป็นเรื่องน่ายินดีอยู่บ้างที่เจ้าไม่ได้หยดเลือดลงไปในแก้วผนึกวารี ศิษย์น้องจูก็ไม่จำเป็นต้องใช้มันอยู่แล้ว ส่วนของศิษย์น้องซื่อคาดว่าเมื่อเข้ามาที่นี่มันจึงจับพลังบางอย่างได้ในทันทีจึงลืมหยดเลือดลงไป” ถางเจียฉีเปรยเบาๆแต่ก็เป็นที่สนใจของจางหมิงไม่น้อย
“แล้วดีอย่างไร”
“ดีที่เจ้าไม่ถูกตรวจสอบโดยทันทีอย่างไรเล่า ข้าไม่คิดว่าเมื่อพวกผู้อาวุโสเห็นพลังเจ้าแล้วจะไม่ซักไซ้ไล่เลียง แต่ถึงเป็นเช่นนั้น ไม่นานพวกมันก็ต้องรู้ อย่างน้อยที่นี่ก็อยู่ในการควบคุมของสำนัก”
“เหมือนว่าศิษย์พี่จะเตรียมทางออกในเรื่องนี้ไว้แล้ว” จางหมิงเอ่ยเสียงเรียบหากสายตาจ้องเขม็งอย่างกดดัน เพราะหากไม่มีสารกระตุ้นบางอย่างเคลือบบนผิวนอกของลูกแก้ววิญญาณมันก็คงไม่เป็นแบบนั้น
“กว่าทางสำนักจะตรวจสอบพบเรื่องราวเหล่านี้คงใช้เวลาพอดู นั่นน่าจะเป็นเวลาหลังจากการเปิดคลังสมบัติสำนักแล้ว และมันทำให้พวกเราไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีก” ถางเจียฉีแม้จะยิ้มแย้มแต่น้ำเสียงนั้นจริงจังแน่วแน่
“แล้วจะอย่างไร ข้าต้องกลับบ้านหรือไร”
“ไม่หรอก ข้าเตรียมสถานที่ดีๆเอาไว้แล้ว” รอยยิ้มนั้นดูจะกว้างกว่าเดิมเล็กน้อย
“ดีกว่าที่นี่สักแค่ไหนกัน”
“ก็ดีพอที่เจ้าจะหาน้ำจากแอ่งลาวาได้ง่ายๆ”
จางหมิงมั่นใจแล้วว่าถางเจียฉีรู้แน่ๆถึงเรื่องพิษในกายของมัน มีความเป็นไปได้ที่จะรู้สูตรยาอีกด้วย ทั้งพิษเย็นที่มันรู้และพิษร้อนที่มันยังไม่รู้ตอนนี้ ขึ้นอยู่กับว่าหากถามออกไปศิษย์พี่ผู้ลึกลับนี้จะตอบออกมาหรือไม่
“แล้วข้าจะทำเช่นไรได้นอกจากทำตามที่ท่านว่ามา...”
“ฮะฮะ เอาเถอะๆ อย่าเพิ่งเคร่งเครียดไป ตอนนี้เจ้าต้องแข็งแกร่งกว่านี้ เพราะวันข้างหน้าเจ้าจะต้องเจอเรื่องราวอีกมากมายนัก”
ยี่สิบวันผ่านไปพร้อมๆกับที่จางหมิงอายุได้สิบสี่ปีเต็มพอดี
ร่างกายก็ยังคงเป็นเด็กเหมือนเคยไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่ ตัวมันที่เคยแก่ชราแม้ไม่ค่อยพอใจที่ร่างกายของมันทำอะไรมากไม่ได้หากก็ชื่นชอบความเยาว์วัยนี้เหมือนกัน
เวลานี้จางหมิงกำลังเผชิญหน้ากำบุคคลสองคนที่คุ้นตาโดยลำพังเมื่อจิ้งจอกน้อยออกไปล่าอาหารแถวนี้ ส่วนถางเจียฉีจากไปเมื่ออาทิตย์ก่อนแล้วเหมือนกับว่ามันรีบค้นหาอะไรบางอย่าง และติงหรงหายไปแบบเงียบๆเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ด้วยเช่นกัน
นับตั้งแต่ซื่อเก่อเหยียนที่มาหาเรื่องมันถึงห้องก็ไม่มีใครกล้าเอาเรื่องกับมันอีก อย่างน้อยความสนิทสนมกับถางเจียฉีที่ผู้อื่นเข้าใจกันไปผิดๆนั้นก็ทำให้เป็นแบบนั้น
“ในที่สุดข้าก็พบเจ้าอยู่คนเดียวโดยไม่มีพวกศิษย์พี่อยู่ด้วยเสียที” หนึ่งในนั้นกล่าวออกมา
จางหมิงก็อยากตะโกนบอกออกไปให้ดังๆเหมือนกันว่ามันก็ดีใจที่คนพวกนั้นเลิกยุ่งกับมันได้เสียที
“อย่าคิดว่าพวกข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นผู้นำป้ายสำนักไปจากเราในการแข่งขันคัดเลือกศิษย์เข้าสำนักรอบแรก” อีกคนก็พูดสำทับด้วยความโกรธเช่นเดียวกัน
“แล้วอย่างไร หรือเจ้าจะมาเอาป้ายคืนไปล่ะ” จางหมิงพูดออกไปโดยไม่ค่อยจะใส่ใจเท่าไหร่ เมื่อก่อนมันอาจหลีกเลี่ยงที่จะปะทะแต่ตอนนี้ด้วยระดับพลังที่มันมี ในการคัดเลือกนี้จะมีคนที่มันต้องคิดมากกี่คนกัน
ถางเจียฉีไม่ใช่คนดีจางหมิงย่อมรู้ แต่มันเป็นอาจารย์ที่ดีจางหมิงก็เพิ่งรู้เช่นกัน
สิบกว่าวันกับการสอนของถางเจียฉี ระดับของจางหมิงพุ่งขึ้นถึงขั้นสูงระดับที่สี่ช่วงปลายก่อนที่จะเข้าระดับที่ห้า ความจริงจากความเร็วนี้เกิดจากลูกแก้ววิญญาณที่มันนำมาให้ล้วนๆ อีกทั้งยังสอนให้มันควบคุมพลังในร่างและความเข้าใจในเรื่องอื่นๆ นั่นรวมไปถึงเกราะปราณที่มันยังหาเวลาฝึกไม่ได้เสียที
“เจ้ามันก็แค่เด็กน้อยคนหนึ่ง มาดูกันว่าเมื่อไม่มีคนคอยคุ้มกันเจ้าจะเอาตัวรอดอย่างไร” ฝ่ายตรงข้ามพูดพลางแสยะยิ้มร้าย
อายุร่างกายมากกว่ามันปีเดียวกลับทำตัวเป็นผู้ใหญ่คอยสั่งสอน จางหมิงรู้สึกระอาอย่างบอกไม่ถูก ได้แต่คิดว่าพวกมันไม่รู้สึกถึงระดับความต่างของพลังตอนนี้หรืออย่างไร
แต่มันก็ลืมคิดไปเหมือนกันว่าสองคนนั้นอาจตรวจสอบพลังของมันที่สูงกว่ามากไม่ได้
“แล้วสรุปพวกเจ้าจะเอาอย่างไร”
“พวกข้าก็จะทำให้เจ้าไม่สามารถไปสู่ทางออกได้อย่างไรเล่า”
เมื่อพูดจบร่างทั้งสองก็พุ่งตัวเข้าหาจางหมิง อาวุธในมือของทั้งคู่คือดาบยาวเรียวและเฉียบคมที่ชี้ตรงสู่เบื้องหน้าที่มีจางหมิงยืนรอรับอบ่างไม่ใส่ใจ
เคร้ง!
อาวุธของพวกมันกระทบเข้ากับเกราะปราณเสียงดังก่อนจะถูกผลักออกไป เมื่อถอยหลังมาแล้วพวกมันจึงมองหน้ากันอย่างไม่อยากเชื่อ เกราะปราณสีเขียวเป็นอะไรที่น่าพรั่นพรึงในระดับที่สามารถทำให้ผู้คนตะโกนก้องออกมาอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองด้วยความตื่นตระหนก
“ไม่จริง!”
“มัน... มันต้องเป็นกลลวงอะไรแน่ๆ”
คนทั้งคู่ตื่นกลัวกับเกราะปราณขั้นปรมาจารย์นั่นเป็นอย่างมาก แม้มันจะไม่ได้ใช้ในการโจมตี แต่หากมีพลังถึงขั้นสร้างเกราะปราณที่มีความหนาแน่นเพียงนี้ก็ไม่ต่างกับการยืนอยู่หลังกำแพงเหล็กที่ไม่มีวันพัง แล้วพวกมันจะโจมตีเข้าไปได้อย่างไร
เกราะปราณนั้นมีสองรูปแบบ หนึ่งคือการจัดวางเป็นกำแพงโปร่งแสงเบื้องหน้า และอีกหนึ่งคือการวางคลอบคลุมรอบตัวแต่ใช้พลังมากกว่า แต่จะอย่างไหนเมื่อสีสันที่มันบ่งบอกคือระดับปรมาจารย์มีหรือจะไม่ทำให้ผู้อื่นตื่นตกใจ
“ฮึ่ม! ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
พวกมันล่าถอยหลังจากรู้แน่ชัดแล้วว่าไม่อาจทำสิ่งใดฝ่ายตรงข้าม แต่ยังไม่ทันทะยานร่างออกไปจากหมิงก็พุ่งวาบมาอยู่ตรงหน้าของพวกมัน
“เอ... นี่พวกเจ้าคิดว่าการมาหาเรื่องข้านั้นง่ายพอๆกับการจากไปเช่นนั้นหรือ” น้ำเสียงนั้นเรียบเฉยตามนิสัยแต่สายตากลับมีแรงอาฆาตประมาณหนึ่ง
การที่พวกมันจะเผชิญหน้ากับคนที่ดูจะแข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมากนี้ไม่ใช่เรื่องดี เมื่อรีบหันหลังกลับเพื่อล่าถอยไปอีกทางก็เจอเข้ากับจิ้งจอกตัวโตที่คาบส่วนหนึ่งของเหยื่อที่มันล่าวันนี้มาด้วย
สำหรับจางหมิง การหาเรื่องมันไม่ใช่อะไรที่ใครก็จะทำได้
“เจ้า... เจ้าจะทำอะไร” พวกมันสั่นกลัวเมื่อบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไป
แรงกดดันรอบกายเพิ่มขึ้นเมื่อจางหมิงเปิดใช้งานอาณาจักรจันทราที่เพียงเพื่อจะเอาไว้ขู่เล่นๆ แต่ผลที่ออกมาร้ายแรงไม่น้อยเมื่อทั้งสองทรุดลงไปบนพื้น ดูเหมือนว่ายิ่งใช้งานอาณาจักรจันทราบ่อยครั้ง ไม่เพียงระยะเวลาแสดงผลจะนานขึ้นแต่ผลของพลังก็มากขึ้นอีกด้วย แถมยังไม่มีข้อเสียตามมา
อา... ก็หวังว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปได้ตลอด
อย่างน้อยจางหมิงก็ไม่เชื่อว่าจะได้รับอะไรมาโดยไม่สูญเสียสิ่งใดเป็นการแลกเปลี่ยน ของฟรีนั้นไม่มีในโลก แม้แต่การขโมยก็ยังต้องใช้ความสามารถเพื่อให้ได้ทุกสิ่งมา
“พลัง... พลังนั่นมันอะไรกัน” หนึ่งในนั้นพูดออกมา
“ก็ไม่มีอะไรนี่” จางหมิงยิ้มให้บางๆตอบกลับไป
“ไม่มีทาง! ข้าเป็นหนึ่งในลูกหลานของตระกูลซื่อ ข้าไม่มีทางจับพลังผิดพลาด! แม้เจ้าจะหลอกผู้อื่นได้แต่ไม่มีวันหลอกลวงข้า!”
จางหมิงสังเกตฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง ผู้พูดนั้นผิวขาวซีดและตัวผอมบาง ใบหน้าเจ้าสำอางและริมฝีปากสีสด ซึ่งนั่นช่างคล้ายกับครั้งเมื่อเจ้าอ้วนกินยาของมันแล้วมีผลข้างเคียงของการผลาญพลังงานมากเกินไปจนผอมลงชั่วคราว
“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว มันก็แค่พลังปราณทั่วๆไป” จางหมิงยังคงไม่ยอมรับ หากสายตาอาฆาตที่ใช้ในการข่มขู่เปลี่ยนเป็นจิตสังหารเย็นยะเยียบอย่างที่ไม่มีใครเคยสัมผัส
ตั้งแต่มาอยู่ในร่างใหม่มันก็ไม่ได้ต้องการชีวิตใครอย่างจริงจังมาก่อน แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป มันไม่อาจปล่อยคนที่รู้เรื่องไปได้ แตกต่างกับเจ้าอ้วนที่มีประโยชน์กว่ามาก เพราะเท่าที่รู้แม้ซื่อเก่อเหยียนจะเป็นแบบนั้นมันก็เป็นถึงบุตรสายตรงของผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน หากนับในด้านพลังทางสายเลือดย่อมไม่อ่อนแอกว่าแน่นอน
“ทางสำนักต้องตรวจสอบเรื่องนี้!” มันยังคงพูดต่อไปอย่างไม่เกรงกลัว และเพราะความกล้าผิดเวลานี้ก็ทำให้เพื่อนด้านข้างหน้าซีดลงกว่าเดิมเมื่อบรรยากาศหนักอึ้งขึ้นไปอีก
“เรื่องนั้นก็ยังไม่ใช่ตอนนี้นี่นะ... ตอนนี้ข้ามีเรื่องจะถามพวกเจ้าสักเล็กน้อยได้หรือไม่” จางหมิงเหลือบสายตาขึ้นมองฟ้าเมื่อนึกถึงอตีด ก่อนจะเบนสายตาหลบพระจันทร์ด้านบนกลับมายังบุคคลทั้งสองเบื้องหน้า
“อะ อะไร!” ความกล้าที่มีของผู้พุดตอนนี้เริ่มหายไปเมื่อเริ่มหายใจติดขัดราวกับจะสำลักลมหายใจตนเอง
“ไม่ใช่คำถามที่ใหญ่โตอันใด ข้าเพียงอยากถามความเห็นของพวกเจ้า ...พวกเจ้าคิดว่าโจรกับนักฆ่าต่างกันอย่างไร”
ความจริงแล้วคำถามนั้นไม่ได้ต้องการคำตอบ เพราะถึงจะอย่างไรจางหมิงก็สามารถตอบตนเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใครอยู่ดี
“!”
“ไม่ต้องใส่ใจคำถามที่อยู่นอกเหนือประเด็นตอนนี้ก็ได้ เอาเป็นว่าช่วยตายเพื่อข้าได้หรือไม่...” คำถามต่อมานั้นช่างเรียบง่าย แต่ความหมายชัดเจนในตัวเอง
และเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบอีกเช่นกัน
+++