ตอนที่ 59 ถางเจียฉีผู้รับเคราะห์
59
พลังอันเป็นเอกเทศกับร่างกายที่มีเจตจำนงของตนเอง โดยพื้นฐานแล้วไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะอยู่ร่วมกันภายในจิตสำนึกเดียว พลังที่ควบคุมร่างอยู่ก็พอจะรู้สึกถึงเรื่องนี้ได้เช่นกัน
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะแยกจากกันได้อยู่ดี
“ศิษย์น้อง... เจ้าเป็นอะไรไป” จูลี่ถิงถามขึ้นเบาๆอย่างเป็นห่วง แต่ฝ่ายตรงข้ามดูจะไม่ได้ฟังเธอเลย และดูเหมือนจะไม่ได้สนใจใครนอกจากรอคอยคำตอบของคำถามตนเอง
“อาจเกิดจากการที่ดวงวิญญาณเสียหายจากอาวุธพิเศษ หรือเหตุการณ์อื่นที่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งนั่นไม่แน่ใจว่ามีปัญหาในด้านการหลอมรวมร่วมด้วยหรือไม่” ติงหรงเป็นผู้ตอบคำถามนี้ น้ำเสียงพร่าสั่นไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
“ไม่ใช่... เหตุผลมันไม่เพียงพอ แต่ก็ช่างเถอะ จะอย่างไรเสียตัวตนของข้าก็คือข้า พลังของข้าก็ยังคงเป็นของข้าเช่นเดิม ทุกอย่างจะไม่แปรเปลี่ยนแม้ร่างจะถูกแยกเป็นชิ้น แล้ว... พวกคนที่มนุษย์ก็ไม่ใช่สัตว์ก็ไม่เชิงเช่นพวกเจ้าทำไมจึงต้องการตัวข้าที่น่าจะเป็นตัวถ่วงในการหลบหนี”
จางหมิงใช้ดวงตาหม่นแสงนั้นจ้องไปยังบุคคลทั้งสามที่กล่าวถึง แม้จะมีพลังปราณในระดับขั้นที่ต่ำกว่าหากคำถามนั้นกลับทำให้พวกมันขนลุกชันอย่างตื่นตัว สัญชาตญาณสัตว์ในตัวที่มีอยู่บ้างร้องบอกให้ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว
“เพียงเพราะเจ้าคล้ายพวกเรา เช่นนั้นหัวหน้า...” ชายอีกคนที่เงียบมานานกล่าวออกมาบ้างแต่ก็ถูกขัดขึ้นก่อนที่จะพูดออกมาได้จบประโยค
“ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะสัมผัสถึงข้าว่าเป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตอย่างพวกเจ้า ความแตกต่างนั้นพวกเจ้าน่าจะรับรู้ แต่มีความเป็นไปได้บางอย่างที่หัวหน้าที่เจ้ากล่าวถึงจะรู้จักพลังนี้และต้องการมันเพื่อการบางอย่าง ...จริงไหม” น้ำเสียงออกมายังคงเรียบเรื่อยเหมือนทุกสิ่งไม่ได้อยู่ในสายตา หากผู้อื่นก็ยังคงรับฟังไม่ได้โกรธเคืองอย่างที่ควรจะเป็น
“จริงอย่างที่เจ้าว่า ความจริงแล้วเจ้าไม่ได้คล้ายคลึงพวกเรา ไม่เพียงแค่น้อยนิด แต่ไม่มีสิ่งใดเหมือนเสียด้วยซ้ำ แต่พลังนั้นข้าเคยพบมาก่อนจากคนผู้หนึ่ง ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายแอบแฝงเพียงต้องการเจรจาด้วยเท่านั้น”
“เป็นการเชิญตัวที่รุนแรงเสียจริงนะ”
“ถ้าหากทำให้ไม่พอใจก็ต้องขออภัย เช่นนั้นพวกเราขอตัวก่อนเสียดีกว่า” ผู้เป็นหัวหน้ากล่าวออกไปเมื่อรู้สึกได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งและคุ้นเคยใกล้เข้ามา
“ข้าไม่มีปัญหาหากเจ้าจะจากไป แต่สิ่งแลกเปลี่ยนที่ทำให้พลังนี้ตื่นขึ้นมาจำเป็นต้องใช้หนึ่งชีวิตเพื่อให้ดวงวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์นี้ไม่แตกสลายเพราะแรงกดดันที่มากเกินพอดี”
“เจ้าต้องการชีวิตพวกข้า? ฝันไปเถอะ” หญิงสาวผมแดงตะโกนขึ้นมาอย่างเหลืออดแต่ก็ถูกขัดขวางไว้โดยมือที่ยื่นออกมาจากหัวหน้าของเธอ
ทั้งสองฝ่ายต่างนิ่งเงียบไปหลังจากนั้น เจ้าอ้วนที่ไม่ได้มีบทบาทอะไรก็ได้แต่หันไปมาอย่างไม่เข้าใจ มันรู้สึกอยากร้องไห้นิดหน่อยเมื่อเจอแรงกดดันจากพลังแปลกๆของจางหมิงที่มันตรวจพบ
“ข้าก็ต้องการนะ ต้องการออกไปจากสถานการณ์นี้ไง ฮือๆ” เจ้าอ้วนก็ทำได้แต่พึมพำเบาๆกับตัวเอง
ไม่เพียงเท่านั้น จูลี่ถิงมีแววตาสั่นระริกอย่างไม่อาจปิดบัง เธอไม่ได้หวาดกลัว แต่กำลังเตรียมตัวเพื่อการบางอย่างหากก็รู้สึกกังวลมากไปจนแสดงออกมาหมดทางสีหน้า ดีที่ตอนนี้ไม่ได้มีคนหันมาสนใจตัวตนที่แสนเบาบางนี้นัก ความจริงเธอเป็นเพียงหญิงสาวตัวเล็กๆที่ไม่ได้มีดีเพียงแค่ความงดงาม แต่ใครจะรู้ว่าในมือเธอถือสิ่งที่ร้ายแรงอันใดไว้
ถางเจียฉีให้ความสำคัญกับเธอด้วยเหตุผลเดียวกัน นั่นมาจากอำนาจสั่งการวงกตสิบแปดดาราซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้มีพลังทั้งหลายของสำนักพยายามแทบตายเพื่อฝึกฝน หากเธอเกิดมาเพื่อใช้งานมัน แม้ไม่สามารถจัดการได้ทุกอย่างแต่อย่างน้อยก็ปิดผนึกหรือเปิดทางออกได้เมื่อต้องการ
และเธอพร้อมจะพาทุกคนออกไปหากมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น
ลูกแก้ววิญญาณช่วยให้ผู้คนรอดชีวิตจากการบาดเจ็บที่ร้ายแรง แต่มันไม่ได้ช่วยเหลือหากการบาดเจ็บนั้นทำให้ตายในทีเดียว ปัญหานี้ยังไม่ได้รับการแก้ไขแต่ทางสำนักกลับนำมาใช้ซึ่งเธอไม่ได้เข้าใจเหตุผลเอาเสียเลย
ขวับ!
เสียงลมสายหนึ่งวูบผ่านก่อนจะมีเสียงหนักทึบตกลงบนพื้นเบาๆตามมาด้วยร่างกายไร้หัวที่โอนเอนแล้วล้มลงตามมา หัวที่หลุดลงก่อนหน้าดวงตาเบิกกว้างอย่างตกใจแต่ก็ไม่ทันที่จะได้กรีดร้องสติก็จางหายอย่างรวดเร็ว
“หัวหน้า! ทำไม...”
“แค่นี้ก็พอแล้วสินะ” หัวหน้าคนชุดคลุมพูดขึ้นพร้อมกับตวัดมีดเก็บเข้าในแขนเสื้อดังเดิมโดยไม่สนใจหญิงสาวอีกคนข้างกายที่มีสีหน้าตกตะลึง
หญิงสาวผมแดงไม่เข้าใจว่าทำไม แต่เมื่อเห็นผู้เป็นหัวหน้าเหลือบตาไปมองทางเข้าทางหนึ่งเธอก็พอจะเข้าใจแล้วว่าคนที่พวกมันเลี่ยงออกมาเมื่อครั้งก่อนได้มาถึงแล้ว
“การรักษาดวงวิญญาณไม่สามารถทำได้ในอาณาจักรเล็กๆแห่งนี้ แต่อาณาจักรของข้ากลับทำได้ง่ายนัก แล้วข้าจะรอเจ้าที่นั่น และหวังว่าครั้งต่อไปเจ้าจะไม่ต้องยืมมือผู้อื่นให้ช่วยเหลือแบบนี้” ดวงตาภายใต้เสื้อคลุมวาวโรจน์ ไม่นานร่างทั้งสองจะหายไปจากคลองสายตาจากการตัดผ่านภาพมายาของจิ้งจอกน้อยที่ยังคงอยู่
“ใจเย็นๆ” จางหมิงบอกกับจิ้งจอกน้อยแบบนั้นให้หยุดพลังตนเองลง แต่เป็นมันเองที่ไม่ได้เย็นอย่างที่ต้องการให้ผู้อื่นเป็น
มันหิวกระหายแต่นั่นไม่ใช่ประเด็น การตื่นขึ้นมาของพลังทำให้วิญญาณได้รับภาระหนักอย่างที่มันได้ว่าไปจริงๆ และจะปิดกลับเข้าไปไม่ได้จนกว่าจะมีสิ่งใดมาอุดไว้ซึ่งก็ไม่พ้นดวงวิญญาณตรงหน้า
พลังนั้นต้องการพลังเพื่อปิดหรือเปิดผนึก และวิญญาณก็ต้องการวิญญาณเพื่อเติมเต็มเช่นเดียวกัน
ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมมันจึงจำเป็นต้องใช้ลูกแก้ววิญญาณที่มีพลังของทั้งสองอย่าง แต่ข้อเสียก็เห็นได้ชัดเจนอยู่แล้วว่าทำให้มันไม่สามารถรับพลังจากสิ่งอื่นได้อีกต่อไป
“ข้าบอกให้ใจเย็นๆ” จางหมิงยังคงเตือนจิ้งจอกน้อยเพราะดวงตาของมันยังฉายแววหงุดหงิดออกมาไม่หยุด
จิ้งจอกน้อยกำลังบ้าคลั่งเนื่องด้วยถูกกระตุ้นในคราแรก แต่พลังที่ท่วมท้นยังไม่ทันได้ถูกปลดปล่อยเหตุการณ์ทั้งหมดก็คลี่คลายลงมันจึงไม่รู้ว่าต้องเอาพลังส่วนที่เหลือไปไว้ที่ไหน และการจะใช้พลังหล่อหลอมลูกแก้ววิญญาณมนุษย์ก็ต้องใช้สมาธิสูง ซึ่งมันทำตอนนี้ไม่ได้
“หลิงหลิง”
น้ำเสียงเรียกเอื่อยๆเช่นที่ได้ยินมาจนเคยชินทำให้จิ้งจอกน้อยหันไปมองเจ้านายของมัน แววตาของจางหมิงกลับมาเป็นสีดำสนิทแวววาวดังเดิมแล้ว รอยยิ้มที่ส่งให้ก็อบอุ่นเช่นกาลก่อนไม่เปลี่ยนแปลง นั่นทำให้มันสงบลง แต่ก็ยังคงแบกรับพลังที่มากมายนั้นไม่ไหวอยู่ดี
“ใกล้ประตูที่เราเข้ามา โจมตีไปที่นั้นได้อย่างเต็มที่ คาดว่ามีผู้ที่รับพลังของเจ้าได้โดยพวกข้าไม่เป็นอันตรายไปด้วยอย่างแน่นอน” แล้วจางหมิงก็ชี้ทางสว่างก่อนที่แววตาจะกลับไปเป็นสีแดงที่หม่นแสงดังเดิม
การบังคับให้หลุดจากการควบคุมจากพลังของตนเองนับว่ายากเย็นจริงๆ
จิ้งจอกน้อยตอนนี้มุ่งเป้าหมายไปยังที่ที่จางหมิงได้บอกไว้ มันไม่ได้รับรู้ถึงการคงอยู่นั่น แม้แต่กลิ่นก็ยังไม่มีแต่มันก็เชื่อที่เจ้านายมันพูด
พลังของจิ้งจอกอัสนีสวรรค์นั้นจัดเป็นการโจมตีที่กินวงกว้างจนเกินไป เป็นไปไม่ได้เลยว่าหากโจมตีมั่วๆจะไม่กระทบโดนโดยรอบ อย่างน้อยมันก็ห่วงเจ้านายและเจ้าอ้วนที่มันเห็นว่าเป็นเพื่อน
ประกายแสงสีทองแล่นปราบรอบตัวของมัน ขนสีทองเช่นเดียวกันนั้นลุกตั้งชันไปทั้งตัวอย่างพร้อมเพรียงจนทำให้ดูเหมือนมันตัวโตขึ้นอีกเป็นเท่าตัว แสงเหล่านั้นเล็งเป็นหมายไปยังกองอาวุธและเกราะที่ใช้ในพิธีที่ไม่อาจรู้นั่นอย่างจงใจ และดูเหมือนคนด้านหลังนั้นจะรู้ตัว
“เป็นเด็กไม่ดีเลยน้า” เสียงที่แว่วมาช่างคุ้นหูจิ้งจอกน้อยจริงๆ
แต่จะสนใจไปทำไม...
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! ...
เสียงกัมปนาทจากสายฟ้ามากกว่าสิบสายพุ่งตรงไปยังจุดเดียว โลหะทั้งหมดกระจายออกไปทั่วสารทิศ สายฟ้าอันทรงพลังยังคงทะลวงต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด แต่มันก็กระทบกับเกราะปราณสีน้ำเงินเข้มที่ดูดซับพลังเหล่านั้นเข้าไปโดยไม่มีรั่วไหลออกมา
จิ้งจอกน้อยเมื่อเห็นคนด้านหน้าช่วยมันแบกรับพลังได้จึงได้โจมตีอย่างไม่มีที่สิ้นสุดจนเจ้าอ้วนต้องปิดหูกับเสียงที่ดังสนั่นนั่น
ถางเจียฉีที่ว่าเก่งกาจก็เริ่มขมวดคิ้วเมื่อรับพลังเหล่านั้นมามากกว่าสิบครั้ง แม้เกราะปราณขั้นปราชญ์จะดูดซับพลังมาเป็นของตนเองได้แต่เมื่อพลังนั้นไม่ใช่พลังที่มันใช้ได้ก็ทำให้ร่างกายนี้ไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัวเอาเสียเลย
“ศิษย์พี่ถาง!” เจ้าอ้วนรู้สึกดีใจเมื่อเจอศิษย์พี่ที่มันเคารพ แม้ไม่รู้ว่าจิ้งจอกน้อยโจมตีศิษย์พี่ไปทำไมแต่เมื่อเห็นเกราะปราณในรูปลักษณ์ที่ไม่เคยเห็นมันจึงได้แต่อ้าปากค้างเติ่งอยู่แบบนั้น
จูลี่ถิงก็ไม่ต่างกัน อารมณ์ตกใจก็คงมีมากเช่นกันแต่กริยาอาการไม่ได้ดูแย่เช่นศิษย์น้องตัวอ้วนก็เท่านั้นเอง
สายฟ้าเริ่มอ่อนแรงลงจนอยู่ในระดับที่จิ้งจอกน้อยควบคุมได้มันจึงหยุดพลังของตนเองแล้วสะบัดตัวอย่างสบายใจ แต่ก่อนที่จะได้ลงมือหล่อหลอมวิญญาณมันก็ถูกหยุดโดยถางเจียฉีที่ทะยานเข้ามา
“คอยก่อน... ศิษย์น้องจู ข้าต้องการให้เจ้านำศิษย์น้องซื่อออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้และเก็บเรื่องนี้ทั้งหมดไว้เป็นความลับ เจ้าพอจะช่วยได้หรือไม่” มันว่ายิ้มๆแต่สายตาคาดคั้นอย่างจริงจัง
เมื่อได้ยินจูลี่ถิงไม่ได้รีรอรีบชุดกระชากเจ้าอ้วนทะยานออกไปราวกับตัวมันไม่ได้หนักหนาเช่นที่เห็น และยังไม่ทันที่เจ้าอ้วนจะได้โวยวายอะไรเสียด้วยซ้ำ เธอต้องรีบ... ไม่เช่นนั้นเจ้าอ้วนอาจถูกฆ่าเช่นเดียวกับบุคคลที่เธอเคยเห็น แต่มันมีเหตุผลที่ต้องไว้ชีวิตเธอ มิเช่นนั้นชีวิตนี้ก็ไม่อาจรักษาได้ต่อไป
“อา... ศิษย์น้องช่างดูเปลี่ยนไป แต่ก็เป็นไปในทางที่น่าพอใจอย่างยิ่ง” มันเดินเข้ามาใกล้ ติงหรงก็ได้ยืนขึ้นจากการคุกเข่านานแล้ว
“ผู้สืบเชื้อสายหรือ... เหมือนก่อนหน้านี้เจ้าจะยุ่งวุ่นวายมากเกินไปแล้ว” จางหมิงกล่าวเสียงเย็นติดจะไม่พอใจ สายตาส่งสัญญาณให้จิ้งจอกน้อยเริ่มต้นสิ่งที่จะทำต่อไป
“ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ข้านั้นเพียงหวังดีก็เท่านั้น”
“คำว่าหวังดีกับนึกสนุกไม่ได้แตกต่างกันเสียเท่าไหร่ แต่ก็เอาเถอะ การปลุกพลังในช่วงอายุนี้ช่างพอเหมาะกับการเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงไปพร้อมๆกับร่างกายที่กำลังจะเติบโต”
“ย่อมแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ข้าคาดหวังไว้เช่นเดียวกัน”
“ตัวตนที่ก่อรูปข้ายังอ่อนแอ สอนพลังให้มันทีก็แล้วกัน” มันพูดกับถางเจียฉีแต่สายตาของมันจับจ้องไปที่กระบวนการของจิ้งจอกน้อยที่กำลังเสร็จสิ้น
“รับรองได้เลยว่าข้าจะทำให้ตัวตนนี้เก่งกาจขึ้นก่อนออกจากที่นี่แน่นอน” ถางเจียฉีพูดเจือรอยยิ้มที่นึกสนุกเต็มที่
ลูกแก้ววิญญาณคราวนี้ใหญ่กว่าเดิม ทั้งยังดูทรงพลังและหอมหวานจนกลบกลิ่นโดยรอบไปจนหมด จางหมิงรับมาก่อนจะนำเข้าปากไป กระบวนการภายในก็ดูดซับอย่างช้าๆเช่นเคย
ดวงตาสีแดงกลับมาดำสนิท จางหมิงรู้สำนึกด้วยตนเองอีกครั้ง มันหันมองถางเจียฉีที่ยิ้มให้อย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก่อนจะจืดจางลงจนกลายเป็นมืดมนเมื่อได้ยินคำถามที่มันถามออกไป
“ผู้สืบเชื้อสายคืออะไรกัน”
สำหรับถางเจียฉีที่อยู่มาอย่างยาวนาน มันรู้ว่านั่นไม่ควรเป็นสิ่งที่จางหมิงจะจำได้เมื่อลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งเลย
+++