ตอนที่ 58 ต้องสาป
58
มันเป็นอักษรแปลกๆที่เหมือนจะอ่านออกแต่ก็อ่านไม่ออกอยู่ดี
จางหมิงจ้องหนังสือเล่มโตที่เปิดอ้าบนแท่นพิธีนั่น อักษรทุกตัวขยุกขยิกเรียงกันยาวราวกับบทสวดในวัด แต่ก่อนที่จะได้ละสายตาไปมันกลับเห็นอักษรแบบเดียวกันที่ไม่อาจเข้าใจแวบขึ้นในหัว มันมองเห็นโซ่ที่ลากผ่านประตูบานหนึ่งที่ตราอักษรเหล่านั้น ประตูสีเทาขมุกขมัวที่เปิดแง้มให้กระแสปราณสีส้มหลุดออกมา
ดวงตาสีดำเรืองสีแดงวาบครั้งหนึ่งก่อนจะหายไปพร้อมกับภาพแปลกๆเหล่านั้น
“ศิษย์พี่จู เกรงว่าต้องถามท่านแล้วว่าอ่านมันออกหรือไม่” ซื่อเก่อเหยียนหันไปถามหญิงสาวข้างกายที่ทำสีหน้าครุ่นคิด
“ข้าคิดว่าเคยเห็นมาก่อน อืม... แต่ควรไปถามท่านปู่ให้แน่ใจเสียก่อน” จูลี่ถิงว่าไปแบบนั้น ด้วยความที่เธออ่านหนังสือมามากเพื่อความรู้ด้านยา แต่ก็ไมเท่ากับจูอี้เหลียงปู่ของเธอซึ่งเป็นปรมาจารย์ยา
“เช่นนั้นข้าจะนำมันกลับไปด้วย...”
“วางมันลง!” ยังไม่ทันขาดคำของเจ้าอ้วนก็มีเสียงตะโกนขัดขึ้นดังลั่น
พวกมันหันไปมองที่มาของเสียง สิ่งที่ได้เห็นคือบุคคลสามคนที่สวมชุดคลุมสีดำ จางหมิงจึงได้หันไปมองจิ้งจอกน้อยเพื่อขอคำตอบถึงตัวตนของผู้บุกรุก และสิ่งที่ได้คือการพยักหน้ายืนยันว่าคนพวกนั้นคือกลุ่มที่จางหมิงได้ติดตามไปตอนแรก
มันมองทั้งสามที่ภายนอกห่มคลุมด้วยผ้าดูจะมีโครงสร้างไม่ต่างจากมนุษย์ แต่ก็ยังตัดสินใจชี้ชัดไม่ได้เมื่อจึงจอกน้อยยืนยันว่ากลิ่นของพวกมันไม่ใช่มนุษย์ทั่วไป
“พวกเจ้าเป็นใคร” เจ้าอ้วนถามออกไป ในมือยังคงกอดหนังสือเล่มหนาเอาไว้แน่น
“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ส่งสิ่งที่อยู่ในมือเจ้ามาแล้วข้าจะไว้ชีวิต” หนึ่งในคนแปลกหน้าพูดขึ้น
เจ้าอ้วนขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ แต่เมื่อตรวจสอบพบระดับฝีมือของฝ่ายตรงข้ามก็ทำให้มันเงียบปากที่จะโต้เถียงลงไปก่อนจะมองหนังสือในมืออย่างลังเล
“ให้พวกมันไป” ติงหรงที่ไม่ได้พูดมานานก็เปิดปากเสียที
“แต่ศิษย์พี่...”
“เจ้าคิดว่าหนังสือที่ไม่รู้เนื้อหานั้นสำคัญกว่าชีวิตเจ้าหรืออย่างไร” น้ำเสียงนั้นแหบพร่ากว่าปกติแถมยังเย็นยะเยือกจนน่าขนลุก
เมื่อเป็นเช่นนั้นเจ้าอ้วนจึงจำใจโยนหนังสือเล่มนั้นไปทางเหล่าคนแปลกหน้า และพวกมันก็ได้ทำตามสัญญาพาตัวเองกลับไปทางเดิม หากจู่ๆทั้งสามก็หันขวับจนผ้าคลุมของหนึ่งในนั้นหลุดออก
ผมยาวสีแดงสลวยพร้อมกับดวงตาสีเดียวกัน ใบหน้างดงามดุจหยกปั้นพร้อมกับริมฝีปากสีสด
นั่นเป็นความงามอย่างหนึ่งที่ไม่ได้งดงามบอบบางเท่าจูลี่ถิงหากตราตรึงสายตาไม่รู้วาย แต่เมื่อเธอรู้ตัวก็ได้ดึงผ้ามาคลุมตามเดิม
สิ่งที่ถูกจ้องมองจริงๆไม่ใช่ผมประหลาดสีแดงแต่กลับเป็นเขาเล็กๆที่งอกขึ้นมาช่วงหน้าผากนั่นเอง
“จะ จะ เจ้า เจ้าเป็นสัตว์ปีศาจชั้นสูง” เจ้าอ้วนเมื่อหลุดออกจากภวังค์ก็ตะโกนออกมาแทบไม่ได้ศัพท์
จิ้งจอกน้อยคือสัตว์ปีศาจเช่นเดียวกัน หากกล่าวถึงสัตว์ปีศาจชั้นสูงพวกมันคือสิ่งมีชีวิตที่ก้าวข้ามชีวิตอันต่ำต้อยกลายเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่ รูปลักษณ์ของสรรพสัตว์แปรเปลี่ยนเป็นกายดังมนุษย์ หากนั่นต้องเก่งกาจถึงขั้นเข้าสู่การฝึกฝนลมหายใจแห่งจิตวิญญาณ ทั้งๆที่การก้าวผ่านการฝึกลมหายใจแห่งชีวิตของปราณทั้งเจ็ดขั้นนั้นก็นับว่ายากแล้ว
แต่เหตุใดพวกมันจึงพร้อมใจกันหันมาแบบนี้...
สายตาทั้งสามใต้ชุดคลุมมองไปที่จุดเดียว
จางหมิงหอบหายใจพร้อมกับกุมหน้าอกไว้แน่น กลิ่นรอบกายที่ยิ่งนานยิ่งอบอวลทำให้มันเริ่มรับไม่ไหว ในกายร้องเรียกหาวิญญาณมาเติมเต็มไม่มีที่สิ้นสุด ประตูที่เห็นในภาพนิมิตสั่นสะท้านก่อนจะเปิดอ้าออกมากกว่าเดิม แม้เพียงเล็กน้อยแต่นั้นกลับยิ่งทำให้จางหมิงกระหายยิ่งขึ้น
“หัวหน้า...”
“เราคงต้องนำมันไปด้วย” ผู้ถูกเรียกว่าหัวหน้ากล่าวตัดบทหญิงสาวข้างกายก่อนจะพุ่งทะยานเข้าหาจางหมิงอย่างรวดเร็วจนแม้แต่จูลี่ถิงยังมองตามไม่ทัน
ปัง!
แต่แทนที่จะคว้าได้ตัวของคนที่หมายตามันก็ถูกกระแทกออกไปจากเกราะปราณสีเขียวสดเบื้องหน้า จุดที่พลังกระจายออกมาย่อมเป็นติงหรงที่อยู่ข้างกัน
กลิ่นอายพลังช่างคุ้นเคย แม้จะประมือมาเพียงครั้งเดียวแต่ผู้เป็นหัวหน้าคนชุดคลุมก็จำได้เป็นอย่างดี
“เจ้าคือคนในป่า ...ไม่สิ ...เจ้าน่าจะเป็นคู่พันธะเสียมากกว่า” มันตัดสินจากระดับพลังที่ต่างกัน แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง
เจ้าอ้วนและจูลี่ถิงไม่ได้เข้าใจในสิ่งที่พวกมันพูด แต่สิ่งหนึ่งที่รับรู้คือศิษย์น้องของพวกมันถูกจ้องเล่นงาน มันทั้งสองจึงได้เข้าไปยืนคุมขนาบข้างจางหมิงที่เพิ่งทรุดตัวลงคุกเข่าแล้วกุมหัวตัวเอง
“เพียงแค่เจ้าสู้ข้าไม่ได้” หัวหน้าคนชุดดำยังคงพูดต่อโดยมีลูกน้องทั้งสองทะยานมาด้านข้าง
“แต่ข้าก็ไม่ได้หวาดกลัวที่จะต่อสู้กับพวกเจ้า อย่างน้อยก็ไม่มีพวกเจ้าคนใดที่เป็นสัตว์ปีศาจชั้นสูงจริงๆ ภาพลักษณ์นั่นคงมาจากวิชายุทธ์ที่เป็นดังคำสาปของอาณาจักรต้องสาป ‘ดินแดนสีโลหิต’”
“ไม่จริง!” เจ้าอ้วนและจูลี่ถิงแทบอุทานออกมาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
ดินแดนสีโลหิตเป็นเพียงชื่อเรียกที่ผู้อื่นใช้เรียกอาณาจักแห่งนี้ ชื่อเดิมของมันคือ อาณาจักรพิชิตไพร แต่นานมาแล้วมีประวัติว่ามีการนองเลือดระหว่างคนภายในอาณาจักรจากการฝึกฝนวิชาต้องห้ามจนเลือดนองแดงฉานทั่วแผ่นดิน ก่อนที่แห่งนั้นจะถูกปิดตายและกล่าวกันว่าไม่มีผู้คนในอาณาจักรแม้แต่คนเดียวที่รอดชีวิต
“เหอะ คงอยู่มานานสินะจึงได้รู้เรื่องพวกเราดี เช่นนั้นก็ส่งตัวคนด้านหลังเจ้ามา มันอาจเป็นคนจากอาณาจักรของข้า”
“ไม่ใช่!” ติงหรงปฏิเสธในทันทีอย่างมั่นใจจนทำให้ฝ่ายตรงข้ามเลิกคิ้วสูง
“มั่นใจจริงนะ”
“ข้าเชื่อนายของข้ามากกว่าเจ้า และนายของข้าเคยบอกกล่าวเช่นนั้น”
“หึ! แต่ข้ามั่นใจในคำตัดสินของเมืองแห่งข้ามากกว่า ส่งตัวมันมาก่อนข้าจะลงมือ แม้เจ้าจะมีนายที่เก่งกาจแต่ดูจะไม่ได้อยู่ใกล้ๆ หรืออาจจะไปทำบางสิ่งที่สำคัญกว่า... และไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำลายเจ้าทิ้ง”
“ข้าก็จะลองหยุดพวกเจ้าดูว่าเป็นเช่นนั้นหรือไม่”
แล้วเมื่อไหร่ที่พวกเจ้าจะหยุดโต้เถียงกันเสียที!
จางหมิงแทบสบถออกมากับการโต้เถียงที่ไม่ได้อะไรมากกว่าการปะทะฝีปากและโอ้อวดตนเอง ตอนนี้มันได้ยินทุกเสียงชัดราวกับมาก้องอยู่ในหัวจนน่ารำคาญไปหมด ได้ยินแม้แต่เสียงเสื้อผ้าเสียดสีและเสียงลดหายใจแรงๆของเจ้าอ้วน
ครั้งนี้จิ้งจอกน้อยได้รับผลกระทบทางอารมณ์ของจางหมิงอย่างหนัก ความหงุดหงิดฉายชัดในแววตาสีส้มสดจนเรืองวาบอย่างน่ากลัว พลังในกายมันพลุ่งพล่านกว่าเดิมเหมือนมดที่ตะกายไต่ทั่วร่าง เสียงคำรามเกิดขึ้นในลำคอก่อนที่สภาพโดยรอบสั่นไหวไปมา
คนทั้งห้องโถงรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป ไม่นานทุกอย่างในห้องก็บิดเบี้ยวและโค้งงอ บ้างก็หักพังบ้างก็เกิดขึ้นใหม่ โครงกระดูกทุกชิ้นสั่นระริกยืนขึ้นราวกับภูตผีในป่าช้ากำลังถูกปลุก
“ภาพมายา...” หัวหน้าคนชุดคลุมพึมพำในลำคอก่อนจะเบนสายตาไปยังจิ้งจอกตัวเขื่องที่จ้องเขม็งมายังมัน
ติงหรงเองก็เช่นกันที่มองไปยังจิ้งจอกน้อยของจางหมิง มันที่แม้รู้แล้วว่าตัวตนจริงๆของจิ้งจอกน้อยคือลูกครึ่งของจิ้งจอกอัสนีสวรรค์ที่มีพลังมากก็ยังตกใจกับพลังในการแปรเปลี่ยนภาพมายาที่กว้างพอจะครอบคลุมทั้งโถงใหญ่แห่งนี้ ทั้งๆที่มันมีระดับเพียงไม่มาก
“ข้าจัดการเองหัวหน้า” เสียงสตรีผมแดงที่ตอนนี้ถูกซ่อนอยู่ในชุดคลุมดังขึ้นก่อนร่างนั้นจะหาบไปปรากฏเบื้องหลังจิ้งจอกน้อยที่มองตรงไปยังหัวหน้าของเธอไม่วอกแวก
“เจ้า!” แต่สิ่งที่มาขวางหน้าเธอไว้กลับเป็นบุคคลที่หัวหน้าของเธอต้องการตัว เธอจึงได้ดีดตัวกลับออกไปแล้วไปยืนอยู่ข้างกายหัวหน้าดังเดิม
หึหึ หึหึ ...
เสียงหัวเราะดังแผ่วๆในลำคอของจางหมิงอย่างยาวนาน ตอนนี้มันหันหลังให้ทุกคนจึงไม่มีใครเห็นสีหน้าเจ้าสองเสียงหัวเราะแหบพร่าชวนสยองนั่น
จางหมิงแหงนเงยขึ้นไปมองด้านบนที่ตอนนี้จากคริสตัลให้แสงสว่างกลายเป็นดวงอาทิตย์กลมโตแผดแสงจ้าจากมายาที่จิ้งจอกน้อยทำ
“ดวงอาทิตย์เป็นของข้า อยู่ภายใต้ข้า และควบคุมได้ในอุ้งมือ” เสียงนั้นยังคงแหบต่ำเกินกว่าเด็กชายวัยสิบสามจะมีได้ บรรยากาศรอบตัวนั้นช่างน่าอึดอัดจนเจ้าอ้วนต้องเดินถอยหลังห่างออกมา
ติงหรงทรุดตัวลงคุกเข่าอย่างที่คนที่เหลือทั้งหมดไม่เข้าใจ ในแววตาสีดำสั่นระริกอย่างไม่ปิดบังแต่กลับไม่ได้พูดสิ่งใดออกมาให้ผู้คนได้กระจ่าง
“ข้าตื่นเพียงชั่วคราว และข้าคือจางหมิง เป็นคนเดียวกันที่ไม่แยกจาก เป็นพลังที่คงอยู่สืบไป แต่มีใครพอจะบอกได้ไหมว่าทำไมร่างนี้กับวิญญาณจึงมีความไม่เข้ากันเช่นในกาลก่อนที่ข้าเกิดขึ้นมา” สิ้นเสียงใบหน้านั้นก็เลิกจ้องมองฟ้าแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับคนทั้งหมด
เค้าโครงหน้ายังคงเป็นจางหมิงเช่นเดิม หากแววตาที่เคยเป็นสีดำสนิทกลับแดงฉานอย่างน่ากลัว กลิ่นอายรอบตัวก็อันตรายจนผู้มาจากเมืองต้องสาปทั้งสามกระโดดถอยออกไปไกล แม้พวกมันจะรู้ว่าบุคคลข้างหน้ามีพลังห่างจากมันมากก็ตามที
ใบหน้านั้นเฉยชาราวกับไม่รับรู้สิ่งใด แววตาสีแดงฉานที่ควรจะงดงามเหมือนทุกครั้งที่วาวผ่านกลับหม่นมัวจนไม่อาจจับแสงภายใน นั่นราวกับคนอีกคนที่ไม่ใช่จางหมิงคนเดิม
ไม่หรอก!
นั่นคือจางหมิง คือตัวมันเองจริงๆ
จางหมิงยังคงรู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น และทุกอย่างที่มันพูดและกระทำออกไปคือสิ่งที่มันคิด แต่มีคำถามในหัวเหมือนกันว่าทำไม บางทีเหตุผลนั้นอาจจะออกมาจากปากมันเองแล้วด้วยซ้ำ
วิญญาณไม่มีความเข้ากัน...
นั่นคงเป็นเหตุผลที่มันไม่ถูกควบคุมโดยสมบูรณ์จากสายเลือดของมันเอง
มาดูกันว่ามันจะหลุดออกไปได้ก่อนละครฉากนี้จบหรือไม่ และหลังจากการคัดเลือกนี้จบลงคงได้จับเข่าคุยกับถางเจียฉีอย่างตรงไปตรงมา ไม่เช่นนั้นมันก็ยังคงเป็นคนโง่ที่ไม่รู้เรื่องราวใดรอบตัวแล้วปล่อยให้ผู้อื่นจัดฉากทั้งหมดแล้วเดินตามอย่างไม่รู้เหนือใต้
นี่คิดว่ามันที่เป็นผู้ปรุงยาระดับสามหรืออาจมากกว่าจะไม่รู้จริงๆหรือว่าด้านนอกลูกแก้ววิญญาณสีดำเงาวับนั้นเคลือบยากระตุ้นบางอย่างเอาไว้ด้วย
+++