ตอนที่ 57 ปลายทาง
57
ห้องโถงกว้างเต็มไปด้วยอาวุธและชุดเกราะ นั่นคือสิ่งที่เจ้าอ้วนและผู้ร่วมเดินทางเห็น ของเหล่านั้นสูงเป็นภูเขาขวางหน้าประตูห้องโถงที่สว่างไสวด้วยคริสตัลส่องสว่างทั่วเพดานห้อง
เจ้าอ้วนกระโดดหยองแหยงเพื่อมองดูอีกฝั่งที่กองสมบัตินี้ขวางทาง มันทะยานตัวขึ้นไปด้านบนก่อนจะร้องตะโกนลั่นแล้วร่วงลงไป
“เหวอ! นี่มันอะไรกัน!”
จูลี่ถิงที่เห็นแบบนั้นจึงรีบทะยานตามขึ้นไป นั่นรวมถึงติงหรงด้วย
“นี่มัน!” สิ่งที่จูลี่ถิงได้เห็นคือเจ้าอ้วนที่อยู่ท่ามกลางกองกระดูกมากมาย และทั้งหมดนั้นคือกองกระดูกของมนุษย์ทั้งสิ้น อีกทั้งเหมือนจะมีตั้งแต่เด็กไปจนแก่เลยทีเดียว
ห้องโถงที่สวยงามนั้นไม่ได้มีแต่สิ่งที่ดีอย่างที่คิด
ทางด้านจางหมิง พิษร้อนในกายทำให้ตัวแดงเถือกแต่มันก็ยังคงติดตามกลุ่มคนด้านหน้าต่อไป แม้จะห่างไปมากเรื่อยๆเนื่องจากมันพักฟื้นพลังไปตามทางก็ตาม แต่ที่เป็นปัญหาที่สุดก็คงจะเป็นอาหารในกระเป๋าที่ล่าเก็บไว้เริ่มร่อยหรอลงไปทุกที
จางหมิงหยุดชะงักลงเมื่อเจอกับทางแยกเป็นหนที่สองของการเดินทาง ระยะทางที่เดินมากว่าห้าวันได้มีทางเลือกอื่นบ้างแล้ว
“นายท่านหมิง ซื่อเหยียน”
“หืม...” จางหมิงหันกลับมาหาจิ้งจอกน้อยแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม มันแน่ใจว่าซื่อเหยียนที่จิ้งจอกน้อยพูดติดปากคือเจ้าอ้วนซื่อเก่อเหยียนคนนั้น
แต่มันพูดขึ้นมาทำไม
“ซ้ายๆ ข้าได้กลิ่น” จิ้งจอกน้อยจะไม่ทักขึ้นมาเลยหากไม่คิดว่าเจ้าอ้วนจะมีอาหารเหลือให้มันบ้าง
“อีกกลุ่มคือมันเช่นนั้นหรือ ความสามารถของมันสินะที่นำไปสู่จุดหมาย... เอาเถอะ ครานี้เราไปทางเจ้าอ้วนกัน จะอย่างไรทางข้างหน้าก็คงไปสู่จุดหมายเดียวกันทั้งหมด หวังว่าสิ่งคล้ายมนุษย์ที่เจ้าว่าจะหาทางที่ถูกต้องเจอก่อนเราออกไปจากที่นี่”
ก็เหมือนเช่นเคยคือทางเดินที่เลือกนั้นทอดยาวออกไป กับดักมีอยู่บ้างแต่ด้วยความสามารถของจางหมิงนั่นไม่ได้เป็นปัญหาเลย เมื่อไม่ได้ติดตามกลุ่มก่อนหน้ามันจึงไม่ได้ใช้วิชากายาซ่อนเร้นแล้วจึงประหยัดเวลาในการพักไปมาก
สี่ชั่วโมงจางหมิงก็ได้พบทางเข้าห้องโถงขนาดใหญ่ที่สว่างไสว เหล่าข้าวของที่สูงท่วมหัวไม่ได้ทำให้จางหมิงสนใจเท่ากับกลิ่นหอมหวนที่คล้ายกับลูกแก้ววิญญาณมากมายรอบตัว
อึก!
มันแอบกลืนน้ำลายอย่างฝืดเฝื่อน ลำคอแห้งผากอย่างหิวกระหายพร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นในตัวเอง ความต้องการพวยพุ่งจนมือไม้สั่น ทางเดียวที่ทำได้นั่นคือการหยิบลูกแก้ววิญญาณสองลูกสุดท้ายเข้าปากไป
อาการเหล่านั้นกลับเข้าสู่สภาวะปกติแต่ก็ยังมีความกระหายที่ไม่อาจเติมเต็มนั้นอยู่ หากจางหมิงก็ยังพอทนไหว
“นายท่านหมิง...”
“ข้าไม่เป็นไร ...ไปดูกันว่าข้างหลังเศษเหล็กพวกนี้คืออะไร”
ร่างทั้งสองทะยานข้ามไปทางด้านบนของกองภูเขาเหล็กขนาดย่อม ยังไม่ทันที่จะพ้นไปอีกฝั่งดีก็มีเสียงตะโกนเรียกมันขึ้นมา
“ทางนั้นคือศิษย์น้องจากใช่หรือไม่ ข้าเองๆ ศิษย์พี่ซื่อของเจ้าอย่างไรเล่า” เจ้าอ้วนกระโดดพร้อมร้องตะโกนมาจากทางด้านซ้ายมือไม่ไกลนัก
พลังในการตรวจจับของมันช่างน่าพิศวง
จางหมิงสังเกตจากด้านบนพบประตูทั้งสิบแปดแห่งที่สามารถเข้าถึงที่แห่งนี้ได้ อาจจะเรียงลำดับจากการเลือกทางด้านซ้าย เช่นที่เจ้าอ้วนพุ่งตรงเส้นเดียวไปประตูบานที่หนึ่ง และจางหมิงเลือกด้านซ้ายครั้งที่สองจึงได้เข้าสู่ประตูบานที่สอง และมันหวังว่าคนอีกกลุ่มจะไม่ได้เลือกทางขวาไปจนสุดประตูบานที่สิบแปด
เช่นนั้นมันคงไม่อยู่รอพบเจอแน่ๆ
“คารวะศิษย์พี่ทั้งสาม” จางหมิงทะยานเข้าใกล้ทั้งสามคนก่อนจะโค้งตัวคำนับ
“ไม่คิดว่าจะเจอเจ้าที่นี่เลยศิษย์น้องจาง” จูลี่ถิงทักทายอย่างยิ้มแย้มแม้ว่าสายตาจะแอบมองดูเหล่าโครงกระดูกด้านข้างอย่างหวาดกลัวบ่อยครั้ง
“ด้วยความบังเอิญขอรับ ข้าก็ไม่คิดว่าจะเจอศิษย์พี่ซื่อ ศิษย์พี่จู และศิษย์พี่...” จางหมิงเงียบไปเมื่อมองเห็นผู้ร่วมทางคนสุดท้ายที่คราแรกหันหลังให้มันอย่างชัดเจน
ติงหรงยิ้มบางๆให้มันอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ความรู้สึกประหลาดที่ออกมาจากตัวมันนั้นทำให้จางหมิงคุ้นเคยแต่ก็คิดไม่ออกว่าต่างกันตรงไหน น่าสงสัยว่าทำไมเจ้าอ้วนตรวจจับไม่ได้ว่ามีบางอย่างแปลกๆ แต่กระนั้นมันก็ไม่ได้ทักท้วงออกมา อย่างน้อยความรู้สึกตอนนี้คือติงหรงไม่ได้เป็นภัยต่อมัน
จางหมิงละสายตาจากทั้งสามไปยังเหล่าโครงกระดูกบ้าง คำนวณด้วยสายตาคงมีไม่ต่ำกว่าหมื่นคนที่สังเวยชีวิตลงที่นี่ เครื่องแต่งกายที่หลงเหลือก็ไม่ได้คุ้นตา อีกทั้งสรรพาวุธที่กองสูงเป็นภูเขาย่อมๆสิบแปดลูกเท่าๆกันนี้ราวกับเป็นการบูชาบางอย่าง แท่นกลางห้องก็ดูน่าสงสัยไม่น้อย
“เอาเถอะๆ เรื่องที่ว่ามาได้อย่างไรก็ช่างมันก่อน ตอนนี้ข้าว่าเราไปสำรวจแท่นพิธีกลางห้องนั่นกันดีกว่า หากข้ามองไม่ผิดสิ่งที่วางอยู่ตรงกลางนั้นคือหนังสือแน่ๆ” เจ้าอ้วนดูจะตื่นเต้นกว่าคนอื่นมาก
พวกมันทะยานร่างไปที่หมายโดยมีจางหมิงตามไปท้ายสุด เพราะอย่างน้อยมันก็ไม่ค่อยแน่ใจเรื่องติงหรงเท่าไหร่ ก็กันไว้ดีกว่าต้องโดนโจมตีจางข้างหลังอีก
จางหมิงสูดลมหายใจเข้าปอด แต่ยิ่งหายใจเอากลิ่นที่อบอวลเหล่านี้ไปมากเท่าไหร่ความกระหายในตัวก็ยิ่งเดือดพล่านเข้าไปทุกที แต่น่าดีใจที่ความรู้สึกหิวโหยจากก้นบึ้งนั้นกดทับเพลิงผลาญที่แผดเผาในกายได้ชะงัด
“หลิงหลิง เจ้าพอจะสร้างลูกแก้ววิญญาณจากผู้คนที่ตายไปแล้วเหล่านี้ได้หรือไม่” จางหมิงถามเบาๆเพื่อไม่ให้เหล่าคนด้านหน้าได้ยิน
“อาจจะได้ขอรับ แต่พลังข้าตอนนี้ไม่เพียงพอ อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในระดับสูงขั้นที่สาม”
“อืม... ไม่เป็นไร”
แต่ไม่ทันที่จะได้ว่ากล่าวสิ่งใดต่อ ติงหรงที่อยู่ด้านหน้าก็ลดความเร็วลงแล้วยื่นของบางอย่างให้แก่มัน จางหมิงก็ได้แต่รับไว้แล้วมองตามแผ่นหลังนั้นไป
ลูกแก้ววิญญาณมนุษย์!
ใช่... ในมือมันคือลูกแก้ววิญญาณมนุษย์ กลิ่นที่โชยออกมาทำให้มันจำได้ ขนาดนั้นก็พอๆกับที่มันเคยกินเข้าไปก่อนหน้า แต่หน้าแปลกที่ผู้ให้มันมาคือติงหรงผู้นั้น
คนผู้เดียวที่รับรู้ว่าจางหมิงต้องกินสิ่งนี้มีเพียงถางเจียฉีเท่านั้น และมันไม่คิดว่าคนตรงหน้าคือถางเจียฉีที่ปลอมตัวมา เมื่อถามเรื่องภาพมายาปกปิดจิ้งจอกน้อยก็สายหน้าแล้วบอกว่านั่นคือร่างกายของติงหรงจริงๆ เช่นนั้นความเป็นไปได้เดียวที่มีคือถางเจียฉีต้องทำอะไรลงไปแน่ๆ
ห้องโถงกว้างพอที่จะจุคนได้นับแสนทำให้เสียเวลาข้ามผ่านกองกระดูก แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้มากนัก
จางหมิงกลืนสิ่งที่อยู่ในมือลงไปก่อนเหยียบลงบนแท่นบูชาเพราะความกระหายในตัวมากขึ้นจนแทบทนไม่ไหว มันไม่รู้หรอกว่าเมื่อทนไม่ได้ขึ้นมาจริงๆจะเกิดอะไรขึ้น แต่ย่างน้อยมันก็ยังไม่อยากเผชิญหน้าตอนนี้
“ข้าไม่เคยเห็นอักษรเหล่านี้” เสียงของเจ้าอ้วนเรียกสติของจางหมิงออกมาจากการครุ่นคิดก่อนที่มันจะตามไปดูบ้าง
+++