ตอนที่ 56 ทางในถ้ำ
56
ทางเดินทอดยาวเบื้องหน้าไม่ใช่เพียงแค่ชั้นหินเปล่าๆ เศษซากของสิ่งของเครื่องใช้หลากหลายตั้งแต่ถ้วยชามไปจนถึงดาบเล่มโตระเกะระกะตามทาง ดูจากร่องรอยหักบิ่นเหล่านั้นเชื่อได้ว่าคงถูกทิ้งไว้มานานมากแล้ว นี่ออกจะคล้ายกับทางผ่านของผู้อพยพจำนวนหนึ่งเหมือนกัน
เส้นทางนั้นไม่ได้ซับซ้อน กับดักมายมายก็พุพังไปตามการเวลาเช่นเดียวกัน เกรงว่าคงไม่มีอะไรหลงเหลือภายใน แต่หากมี ก็คงเป็นของที่ล้ำค่าจนยากตีราคา
จางหมิงคิดไปถึงยามที่ตนเองเป็นโจรขุดสุสานและพวกโบราณสถานตามที่ต่างๆ อย่างน้อยตอนมันรู้ความลับของสถานที่เหล่านั้นแม้ไม่ได้สมบัติติดมือก็ยังคงมีความสนุกอยู่
และมันอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่
น่าเสียดายที่มันไม่ได้มาที่นี่เป็นคนแรก
“หลิงหลิง เจ้าพอจะตามกลิ่นพวกคนก่อนหน้าได้หรือไม่” จางหมิงถามขึ้นเมื่อด้านหน้าเกิดเป็นทางแยกสองทาง
“สองทางเลยขอรับ” จิ้งจอกน้อยตอบเมื่อจับกลิ่นที่พอจะหลงเหลืออยู่ได้
“สองทาง? เช่นนั้นก็แสดงว่าคนพวกนั้นมากันสองกลุ่มอย่างที่คิดจริงๆ ...อืม แล้วเราจะไปทางไหนกันดี” จางหมิงกอดอกจ้องมองทางทั้งสอง
ขี้เถ้าคบเพลิงที่อยู่หน้าปากถ้ำย้ำถึงระดับฝีมือของทั้งสองกลุ่ม หนึ่งคือมือใหม่ที่สร้างแสงนำทางอย่างลวกๆด้วยเศษผ้าหรืออะไรก็ตามที่หาได้ทั่วไป อีกกลุ่มกลับไม่ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้นอกจางรอยเท้าจางๆที่แทบมองไม่เห็น
“อา... ไปด้านขวาก็แล้วกัน พวกมันชำนาญอยู่บ้างก็คงจัดการกับกับดักตามทางที่ยังคงทำงานได้ได้หมดจดกว่าแน่ๆ” จางหมิงว่าเสร็จก็เดินนำหน้าไปทันที จิ้งจอกน้อยที่อยู่ด้านหลังยังคงทำจมูกฟุดฟิดเพราะมันจำกลิ่นที่มาจากอีกทางนั้นได้ แต่เมื่อเจ้านายมันเลือกทางที่ต้องการแล้วมันจึงได้วิ่งตามไปโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา
กับดักถูกทำลายอย่างถูกต้องตามวิธีการของมัน แต่จางหมิงก็ยังคงมีปัญหากับการเดินทางอยู่ดี เมื่อยิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าไหร่ความร้อนยิ่งเพิ่มสูงขึ้นจนน่ากลัวว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งมันอาจถูกเผาทั้งเป็น
อึก...
จางหมิงสะดุดลมหายใจเมื่อพิษร้อนในกายพลุ่งพล่านขึ้นมา มันสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อปรับสภาพร่างกายก่อนที่พิษนั้นจะค่อยๆสงบลงอย่างช้าๆ
มันกำลังลังเลว่าควรเข้าไปต่อหรือไม่ ในเมื่อสมบัติและความลับอยู่ตรงหน้า แต่นั่นก็เสี่ยงกับการกำเริบของพิษในกายมันเหมือนกัน
“เหมือนในป่านั่น” จิ้งจอกน้อยทักขึ้นเมื่อมันรู้สึกถึงสิ่งที่เหมือนกับพลังแปลกๆที่เคยพบมาก่อน
“อะไร”
“สิ่งที่คล้ายมนุษย์แต่ไม่ใช่ ความรู้สึกเดียวกับสิ่งที่จ้องมองจากผืนป่าเมื่อไม่นานมานี้” ประโยคนี้ทำเอาจางหมิงขมวดคิ้ว
จางหมิงภาวนาขอให้พิษของมันไม่กำเริบขึ้นมาเสียก่อน เพราะมันต้องการที่จะเข้าไปดูว่าสิ่งที่คล้ายมนุษย์ที่จิ้งจอกน้อยว่าเป็นเช่นไร หรือบางที่อาจจะเป็นเหมือนกับมัน
อย่างน้อยมันก็ไม่ได้คิดว่าตัวมันเป็นคนปกติเช่นก่อนหน้านี้อีกแล้ว
“ไปดูกันเถอะ”
เพื่อความแน่ใจจางหมิงได้ใช้วิชากายาซ่อนเร้นที่ไม่ได้ใช้มานานอีกครั้ง การที่มันสามารถรับรู้ถึงตัวตนของอีกฝ่ายได้ก็ไม่ได้แปลว่าคนพวกนั้นจะไม่รับรู้ถึงตัวตนของมัน แต่การใช้วิชาโบราณทั้งเนตรจริงแท้และกายาซ่อนเร้นพร้อมกันนั้นพลังปราณของมันก็ลดลงอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน
ในโลกนี้ สิ่งที่อันตรายกับมนุษย์มากที่สุดก็คือความอยากรู้อยากเห็นนี่แหละ
ในอีกฝั่งหนึ่งที่จางหมิงไม่ได้ไป และเป็นทางเดียวกับกลิ่นที่จิ้งจอกน้อยรู้จักคุ้นเคย
“ศิษย์น้องซื่อ ข้าว่าเราควรออกไปจากที่นี่ดีกว่านะ” เสียงสตรีดังขึ้นจากใต้คบไฟที่ส่องแสงสว่างจางๆ
“ท่านก็อยากรู้มิใช่หรือว่าข้างหน้ามีสิ่งใด ศิษย์พี่หญิงจูอย่าได้กังวล ตระกูลข้ามีพลังในการรับรู้ที่คนปกติไม่มี และข้าสัมผัสได้ถึงพลังปราณที่มากมายเบื้องหน้า มันต้องเป็นสมบัติปราณไม่ผิดแน่ๆ”
เป็นเจ้าอ้วนนี่เองที่เข้ามาในถ้ำแห่งนี้พร้อมด้วยจูลี่ถิงที่ไม่รู้ว่าไปเจอกันได้เช่นไร และชายหนุ่มอีกคนที่ตามมาเงียบๆหากมีมันคนเดียวที่ไม่มีคบไฟในมือ
“ศิษย์พี่เดินระวังนะขอรับ” ซื่อเก่อเหยียนหันไปยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างจริงใจแต่คำตอบรับที่ได้คือความเงียบที่วังเวงชอบกล
ใบหน้าในเงามืดนั้นมองไม่เห็นแต่ความรู้สึกชวนสยองก็ทำเอาเจ้าอ้วนใจสั่นอย่างช่วยไม่ได้ แต่มันก็ยังคงแข็งใจยิ้มให้กับบรรยากาศเย็นยะเยียบขัดกับอากาศที่ร้อนแรงนี้
“เอ่อ... อะแฮ่ม เช่นนั้นขอเชิญศิษย์พี่ทั้งสองตามข้ามา”
ทางที่พวกมันเดินมาย่อมเป็นทางที่ถูกต้อง ไม่มีกับดักกลไกใดๆมีแต่ทางวกวนซับซ้อนที่ไม่อาจขวางทางเจ้าอ้วนที่มีความสามารถในการค้นหาเกินหน้าเกินตาศิษย์พี่ทั้งสอง
เวลาผ่านไป แล้วก็ผ่านไป
ยาวนานกว่าสองวันก็ยังไม่ถึงที่หมาย และอีกกว่าสามวันที่แทบทำให้ไขมันของเจ้าอ้วนละลายไปกองบนพื้น ความร้อนนั้นสูงจนไม่ว่าจะเช็ดเหงื่ออย่างไรก็ไม่หมดเสียที ทางฝั่งของจางหมิงก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่นอกจากมีพิษที่เหมือนจะกำเริบขึ้นมาเป็นระยะ
“ข้าเชื่อมั่นในความสามารถของเจ้าแน่นอนศิษย์น้องซื่อ แต่หากยังร้อนกว่านี้อีกข้าก็คงเดินทางต่อไปไม่ไหว” จูลี่ถิงเริ่มหอบเหนื่อยกับบรรยากาศที่ร้อนผ่าวเช่นนี้ เสื้อผ้าเปียกชื้นจากเหงื่อแนบไปกับลำตัวให้เห็นเป็นส่วนโค้งเว้าชัดเจนจนเจ้าอ้วนที่อยู่ใกล้ๆหน้าแดงแล้วหันไปมองทางอื่น
“อะ อันที่จริงข้าคิดว่ามันอยู่ตรงหน้านี้แล้วล่ะ” ซื่อเก่อเหยียนยืนยันแบบนั้นศิษย์พี่เช่นจูลี่ถิงจะปฏิเสธก็ไม่ได้จึงได้แต่เดินตามหลังศิษย์น้องต่อไป
คบไฟนั้นดับลงตั้งแต่ไม่กี่ชั่วโมงแรกแล้ว แต่หินสีแดงเรืองแสงในผนังถ้ำมากมายนี้ช่วยให้ถ้ำสว่างขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ มันคือผลึกธาตุอัคคีที่จางหมิงต้องการ แต่น่าเสียดายว่ามันมีเฉพาะเส้นทางฝั่งนี้เท่านั้น
“ศิษย์พี่ๆ มาดูนี่เร็ว” เจ้าอ้วนที่เดินนำไปไกลรีบวิ่งกลับมาเรียกศิษย์พี่ทั้งสองของมัน
“หากเจ้ารีบร้อนแบบนั้นจะทำให้เจ้าเหนื่อยเร็วในที่แบบนี้นะ”
“ท่านอย่าเพิ่งสอนข้าตอนนี้เลยศิษย์พี่จู ท่านตามข้ามาดูก่อนเถอะ ท่านด้วยนะศิษย์พี่ติง”
ติง?
จะมีสักกี่คนกันหนอที่ใช้แซ่นี้
หนึ่งนั้นคือเจ้าสำนักพยัคฆ์อัคคีคนปัจจุบัน และอีกคนคือหลานผู้มีนามว่าติงหรง
บุคคลที่เงียบปากมาหลายวันเงยหน้าขึ้นมองทั้งสองที่วิ่งออกไปด้วยใบหน้าซีดเซียว รอยยิ้มแสยะอย่างน่าหวาดกลัวปรากฏขึ้นอย่างช้าๆตามมา
แควก!
มุมปากของมันฉีกออกเมื่อยิ้มกว้างจนเกินไป เจ้าของร่างไม่ได้แสดงอาการเจ็บปวด มันทำเพียงแค่หุบยิ้มแล้วลูบบาดแผลเบาๆ เมื่อปล่อยมือออกอาการบาดเจ็บนั้นก็หายไป
ติงหรงได้ตายไปแล้วอย่างแน่นอน
แต่คนผู้นี้คือใครกัน...
+++