ตอนที่ 37 ช่างกล้าหาญและมีเสน่ห์
ในขณะที่แคลร์ก้าวลงมาจากเวที เจ้าหญิงมอริซนั้นได้มาอยู่ตรงหน้าเธอเรียบร้อยแล้ว และด้านหลังของเธอก็ถูกรอบล้อมไปด้วยเหล่าขุนนางทั้งหลาย ความตื่นเต้นของพวกเขาบินหึ่งอยู่รอบๆ ตัวแคลร์ไปหมด ในตอนนี้ นักเรียนของสถาบันซันไรส์ไม่ได้เข้ามารอบล้อมแคลร์แต่อย่างใด พวกเขาเพียงแค่ดูเธอจากที่ที่ห่างไกลออกไป ด้วยความรู้สึกขัดแย้งกันไปหมด
“แคลร์ เจ้าน่าทึ่งมาก เจ้าไปเรียนรู้พลังลมปราณตั้งแต่เมื่อไหร่”
“แคลร์ วันนี้เจ้ายอดเยี่ยมมาก”
“แคลร์ เจ้า.....”
ในขณะที่แคลร์จมอยู่กับคำสรรเสริญ เธอเพียงยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
กลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงในการต่อสู้เพียงครั้งเดียว
หลังจากที่แคลร์จากไปแล้ว กงหยู๋ เฟิ่ง ก็ยังคงนอนราบอยู่ตรงนั้น ยังไม่ได้ขยับไปไหน เหรินโมสุ่ย กลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะเดินอย่างระมัดระวังไปบทเวที
“กงหยู๋ เฟิ่ง” เหรินโมสุ่ยเรียกขึ้น
สิ่งที่เขาได้รับกลับมาคือความเงียบสงัด
“กงหยู๋ เฟิ่ง เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม อย่าทำให้ข้าตกใจแบบนี้ ถ้าเจ้าตาย แม่ทีเร็กซ์ของเจ้าจะต้องไม่ยกโทษให้ข้าอย่างแน่นอน นางคงจะได้ปลอกเปลือกชั้นผิวหนังของข้าออกก่อนที่จะฝังข้าไว้กับเจ้าอย่างแน่นอนที่สุด แม้ว่าเจ้าอยากจะตาย แต่เจ้าก็ต้องรอให้แม้ของเจ้ามาถึงที่นี่ก่อน แล้วค่อยตาย ตกลงไหม” เหรินโมสุ่ยถึงกับน้ำตาคลอ พูดขึ้นด้วยความโศกเศร้า
อย่างเช่นก่อนหน้า กงหยู๋ เฟิ่งยังคงไม่ได้พูดอะไรออกมา ยังคงนอนราบด้วยความเงียบกับการแสดงออกที่ไม่ชัดเจนของเขาต่อไป
“กงหยู๋ เฟิ่ง เจ้าตายไม่ได้นะ อดกลั้นลมหายใจของเจ้าเอาไว้ก่อน ข้าจะแบกเจ้ากลับไปเอง รอจนกว่าพวกเราจะถึงบ้านแล้วเจ้าค่อยตายตกลงนะ” เหรินโมสุ่ยพูดในขณะที่เขายกร่างที่ไม่ขยับเขยื้อนของ กงหยู๋ เฟิ่ง ขึ้นก่อนจะแบกกงหยู๋ เฟิ่งไว้บนไหล่ของเขา ในขณะที่เขากำลังเดินลากเท้าลงไปจากเวที
“ข้าอยากจะอ้วก” ในที่สุดกงหยู๋ เฟิ่งก็สำลักคำไม่กี่คำออกมา เป็นเสีนงพึมพัมออกมาอย่างเงียบ ๆ ราวกับเสียงยุงบิน จริงๆ เป็นเพราะร่างกายของเขาสั่นไหวมาก จนทำให้เขาอยากจะอ้วกขึ้นมา
“อ่า กงหยู๋ เฟิ่ง เจ้าไม่เป็นไร ดีจริงๆ ตราบใดที่เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” เหรินโมสุ่ยตอบรับไปด้วยความสุข ก่อนจะวางร่างของกงหยู๋ เฟิ่งลงบนพื้น กงหยู๋ เฟิ่งลงมายืนที่พื้นอย่างงัวเงีย เหรินโมสุ่ยรีบเข้าไปช่วยพยุงด้วยความดีใจอย่างที่สุด ดี เจ้าคนพาลกงหยู๋ เฟิ่งสามารถที่จะพูดออกมาได้ นั้นหมายความว่าเขาสามารถแบกรับความอัปยศอดสูจากคนไร้มนุษยธรรมคนนั้นได้แล้ว ดี ดีจริงๆ คนพาลผู้นี้ไม่ได้ล้มลงไปอย่างสมบูรณ์แบบเสียหน่อย เหรินโมสุ่ยช่วยพยุงไหล่ของกงหยู๋ เฟิ่งในขณะที่พวกเขาเดินจากไป
การแลกเปลี่ยนในที่สุดก็ได้สิ้นสุดลงเช่นนั้น
จุดเริ่มต้นที่น่าตกใจและจบลงอย่างน่าตกใจเช่นกัน การแสดงออกของเอกอัครราชทูตนั้นได้เปลี่ยนไปในทางที่น่าเกลียดอย่างมาก โดยธรรมชาติแล้วสมเด็จพระราชาควรจะกล่าวคำพูดที่ฟังดูดีบางอย่าง จากมุมมองของเอกอัครราชทูตมองว่าพิธีการมอบรางวัลนั้นธรรดาเกินไป
แต่สำหรับรางวัลนั้นกลับแสนจะขัดแย่งอย่างมาก ผู้เข้าแข่งขันที่เข้าร่วมการแข่งขันไม่กล้าบอกว่ารางวัลควรจะเป็นของพวกเขาและไม่มีใครกล่าวถึงรางวัลที่ได้รับเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าทางคณบดีผู้ตัดสินจะได้นำรางวัลกลับมาแล้วก็ตาม ไม่มีใครสามารถที่จะยอมรับมันได้ ทุกคนได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างการแข่งขัน ปราศจากแคลร์ พวกเขาจะไม่แค่พายแพ้เท่านั้น แต่จะนำความอับอายมาสู่อัมพารค์แลนด์เลยด้วยซ้ำ
ตามประเพณีทางราชสำนักจะจัดงานเลี้ยงขึ้น ประการแรกเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะ และประการที่สองเพื่อเป็นการเลี้ยงส่งนักเรียนของลากาค
ในช่วงบ่าย ในขณะที่แคลร์แอบไปพักผ่อน จิบน้ำชาอยู่ในเรือนกระจกอยู่นั้น คนรับใช้ก็ได้เข้ามาเพื่อรายงาน บอกว่าอาจารย์ใหญ่ของสถาบันซันไรส์ได้ส่งตัวแทนนำรางวัลมามอบให้ เขาได้แจ้งมาว่าเป็นเพราะเขาไม่ว่าง จึงไม่สามารถมาด้วยตัวเองได้ ดังนั้นเขาจึงได้ส่งอาจารย์ที่ปรึกษามาแทนเพื่อส่งมอบสามรางวัลจากการแข่งขัน
แคลร์มองไปที่สามรายการพิเศษบนถาดที่คนรับใช้ถืออยู่อย่างเงียบๆ พร้อมกับค่อยๆจิบน้ำชาของเธอ ก่อนจะลุงขึ้นอย่างเชื่องช้า เดินไปที่ถาดที่มีดาบวิเศษวางอยู่บนนั้น อย่างรวดเร็วเธอโยนดาบวิเศษให้จีนคนที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง แล้วพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน
“ส่งของอย่างอื่นกลับไป ข้าจะรับเฉพาะสิ่งที่ข้าสมควรจะได้รับเท่านั้น”
คนรับใช้เปลี่ยนเป็นแข็งค้างเล็กน้อย มองไปที่การแสดงออกที่เย็นชาของแคลร์ ก่อนจะรีบก้มหน้าของเขาลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับนำถาดเงินออกไป
จีนยอมรับดาบ และในขณะที่เขาดึงมันออกเล็กน้อย รัศมีเยือกเย็นได้กระจายออกมาในทันที มันเป็นดาบที่ดีจริงๆ ใบหน้าของจีนเผยให้เห็นรอยยิ้มเล็กน้อย เขาชอบของขวัญสิ้นนี้เป็นอย่างมาก
“เก็บมันเอาไว้ซะ จากนี้ต่อไป เจ้าจะใช้ดาบเล่มนี้เพื่อปกป้องข้า”แคลร์กลับไปนั่งที่นั่งของเธออย่างเดิม ก่อนจะนึกไปถึงช่วงเวลาที่น่าอึดอัดใจที่เกิดขึ้นในวันนั้น เท้าของเธอเหยียบอยู่บนหลังของชายหนุ่มที่ผิดปกติผู้นั้น เมื่อเธอนึกไปถึงนักเวทย์หนุ่มที่มีความเชี่ยวชาญในศิลปะของการลอบสังหาร กลับถูกทำให้อับอายด้วยน้ำมือของเธอในที่สาธารณะเช่นนั้น แคลร์เริ่มที่จะรู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีก นั่นไม่ใช่ความตั้งใจของเธอเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เธอทำได้เพียงแค่ต้องคิดหาแผนการที่จะต่อสู้กับพายุที่กำลังจะมาถึงเท่านั้น
“ท่านหญิง นี้ท่านกำลังเป็นกังวลเกี่ยวกับชายหนุ่มที่ท่านเอาชนะได้ในการแข่งขันอย่างนั้นหรือ”จีบเก็บดาบลงไปก่อนจะถามขึ้น
“ถ้าเป็นเจ้า ที่ต้องพายแพ้ให้กับผู้หญิงที่อ่อนแอกว่าเจ้า เพราะการหลอกลวงของเธอและยังตกอยู่ภายใต้ฝ่าเท้าของเธอต่อหน้าทุกคนอีก แล้วเจ้าจะรู้สึกดีหรือไม่”แคลร์ถามอย่างฉุนเฉียวขึ้น
จีนถึงกับพูดไม่ออก ใช่ ไม่เพียงแค่ผู้ชายที่ถูกเหยียบอยู่บนหลังโดยผู้หญิงคนหนึ่งในที่สาธารณะเท่านั้นที่จะโกรธจนควบคุมตัวเองไม่ได้ เป็นใครๆ ก็ต้องโกรธ
“จงระมัดระวังในช่วงนี้ คนผู้นั้นมีความเชี่ยวชาญอย่างมากในการใช้ศิลปะการลอบสังหาร”แคลร์รู้สึกปวดหัว เมื่อนักฆ่ามาเจอกับฆ่ามันด้วยกัน มันดูเหมือนว่าจะไม่มีใครได้ผลประโยชน์อะไรทั้งนั้น
“ขอรับท่านหญิง ข้าจะอยู่ข้างๆ ท่านเพื่อคอยปกป้องท่านเสมอ”จีนพูดขึ้นอย่างจริงจังมาก
งานเลี้ยงคืนนี้ แคลร์ปิดตาลงแล้วถอนหายใจ ถ้าเป็นไปได้เธอก็ไม่อยากจะไปเลยแม้แต่น้อย
“ตอนนี้เจ้ารู้ถึงความลำบากของมันแล้วใช่ไหม เจ้ามันคือเชื้อเพลิงของปัญหาจริงๆ เป็นผู้ชายคนไหนก็คงจะกระอักเลือดตายเพราะการกระทำที่ดูถูกของเจ้า ข้าล่ะสงสารชายผู้นั้นจริงๆ ถูกหลอก พายแพ้ และแม้กระทั่งถูกเหยียบลงไปที่หลัง โอ้ใช่แล้ว มันกลายเป็นผลงานที่น่ารื่นรมย์ที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น ตอนนี้พวกเรากำลังจะได้ร่วมแสดงความยินดีกับมันแล้ว”วอลเตอร์พูดขึ้น ซึ้งตรงข้ามกับสิ่งที่เขาคิดอย่างสมบูรณ์ เขาเป็นเหมือนอีกาที่กำลังจะถูกนึ่ง โว้ยว้ายอย่างไม่หยุดหย่อน
แคลร์ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ดึงเอาก้อนหินจิตวิญญาณออกมา ก่อนจะบีบมันอย่างแรง
วอลเตอร์กระตุกและสงบนิ่งไป
ราวกับว่าโลกก็เงียบไปด้วยเช่นกัน
จีนมองเห็นแคลร์หยิกก้อนหินจิตวิญญาณหลังจากนั้นก็วางมันกลับไปที่เดิม การแสดงออกของเธอก็เป็นเช่นเดียวกับก่อนหน้า ไม่รู้ว่าทำไม เขารู้สึกได้ถึงความเย็น ทันใดนั้นเขาก็เกิดสงสารวอลเตอร์ขึ้นมา และค่อนข้างเข้าใจว่าทำไมวอลเตอร์มักจะเรียกแคลร์ว่าปีศาจน้อยอยู่เสมอ
งานเลี้ยงอาหารค่ำก็ได้จัดขึ้นตามปกติ และแคลร์ก็ปรากฏตัวขึ้นในชุดที่เป็นทางการสีดำและดูสดใสอย่างที่สุด ในงานเลี้ยงคืนนี้เธอได้กลายมาเป็นตัวละครหลัก และก็เป็นธรรมดาที่ลาเชียร์จะไม่มาอยู่ในงาน สมเด็จพระราชาก็ได้พูดขึ้นอย่างเป็นทางการ ก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่มต้นขึ้น เหล่าขุนนางต่างเข้าล้อมรอบแคลร์ และการพูดคุยของพวกเขาทำให้ของแคลร์ถึงกับปวดหัว หลายคนเป็นผู้ที่ดยุค กอร์ดอนบอกให้เธอตีสนิทด้วย แต่ก็ยังมีขุนนางบางกลุ่มที่ยังทิ้งระยะห่างเอาไว้ และพวกเขาทั้งหมดต่างก็จ้องมองมาที่เธอด้วยความสับสน
“เอาล่ะทุกท่าน แคลร์และข้ามีนัดกัน ถ้าพวกท่านไม่ว่าอะไร ข้าต้องขอยืมตัวแคลร์สักครู่”เจ้าหญิงมอริซได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม จัดการกับคำว่า " คุกคาม " ให้ห่างออกไปจากแคลร์ในทันที
ประกายตาของแคลร์นั้นเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง เจ้าหญิงมอริซและแคลร์หลบไปอยู่ที่มุมระเบียง ก่อนที่แคลร์จะถอนหายใจออกมาเบาๆ ถ้าไม่ใช่เพราะดยุคกอร์ดอนได้สั่งเธอมา เธอจะไม่มาสนใจขุนนางที่น่าเบื่อเหล่านี้อย่างแน่นอน
“แคลร์ วันนี้เจ้าทำได้ยอดเยี่ยมจริงๆ”เจ้าหญิงมอริซมีประกายตาของความชื่นชม พร้อมกับกล่าวชื่นชมแคลร์ด้วยความจริงใจ
แคลร์หัวเราะอย่างขมขื่นและส่ายหัวของเธอไปมา จริงๆ แล้วในแง่ของการใช้กำลัง เธอนั้นยังห่างไกลจากการเป็นคู่ต่อสู้ของกงหยู๋ เฟิ่ง ที่เธอชนะในครั้งนี้มันเป็นเพราะเธอมีไพ่ตายที่ซ่อนเอาไว้ ถ้ากงหยู๋ เฟิ่ง รู้ว่าเธอสามารถใช้พลังลมปราณได้ เขาจะไม่ผลีผลามเพื่อที่จะท้าทายเธอเช่นนั้น แต่คืนนี้ ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่เห็นการปรากฏตัวของชายผู้นั้นเลยด้วยซ้ำ
“ดูเหมือนจะมีคนพูดว่ากงหยู๋ เฟิ่ง ยังคงมีอาการไม่อยู่กับร่องกับรอยตลอดเวลาที่ผ่านมา ยังไม่ได้สติ มันอาจจะเป็นเพราะเขายังมีอาการตกใจอยู่ก็ได้” เจ้าหญิงมอริซพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มของความภาคภูมิใจ ในสายตาของเจ้าหญิงแคลร์นั้นเป็นฮีโร่ของเธอ ผู้ที่สามารถทำให้ผู้ชายเช่นนั้นพายแพ้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
ไม่อยู่กับร่องกับรอยตลอดเวลาหรือ แคลร์รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
กงหยู๋ เฟิ่งและเหรินโมสุ่ยทั้งสองไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยง กงหยู๋ เฟิ่ง นอนอยู่บนเตียงของห้องพัก โดยที่ไม่ได้เคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย เหรินโมสุ่ยก็อยู่ด้วยเพื่อดูแลเขาในขณะที่เคี้ยวไก่อยู่ในปากไปด้วย
เอกอัครราชทูตนั้นเป็นห่วงอาการของกงหยู๋ เฟิ่งเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้บังคับให้พวกเขาทั้งสองไปร่วมงานเลี้ยงซึ้งเป็นงานเลี้ยงส่งที่น่าอดสูนั่น พื้นหลังของกงหยู๋ เฟิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่เอกอัครราชทูตจะสามารถไปขัดใจได้
“ฮึ เจ้าต้องการที่จะตายหรือเจ้าได้ตายไปแล้ว” เหรินโมสุ่ยถามขึ้น คำพูดของเขาไม่ชัดมากเท่าไหร่ หลังจากที่เหรินโมสุ่นรู้ว่ากงหยู๋ เฟิ่งสามารถแบบรับการปะทะนั้นได้ เขาก็ไม่สุภาพอีกต่อไป เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกลออกไป ส่วนเท้าของเขาก็เหยียบลงไปบนก้นของกงหยู๋ เฟิ่ง ในขณะที่เคี้ยวไก่ย่างไปด้วย
กงหยู๋ เฟิ่งยังคงเงียบ นอนอยู่ที่นั้นราวกับกำลังฝันกลางวัน
“ถ้าเจ้ายังไม่ตาย ก็ลุกขึ้นมากินอะไรหน่อย รอจนกว่างานจะเลี้ยงจบลงและพวกเราจะจากไปในคืนนี้ ข้าไม่ต้องการที่จะอยู่ในสถานที่บ้าๆ เช่นนี้แม้แต่น้อย”เหรินโมสุ่ยบ่นในขณะที่เคี้ยวปีกไก่ย่างของเขา
“อะไรจะงดงาม และกล้าหาญขนาดนั้น” เสียงเล็กๆ ของกงหยู๋ เฟิ่งดังขึ้นอย่างเงียบๆ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้สนใจเท้าหมูที่เหม็นสาบของเหรินโมสุ่ย ที่เหยียบอยู่ที่ก้นของเขาเลยแม้แต่น้อย
“อะไรนะ”เหรินโมสุ่ยถามขึ้นอย่างสับสนพร้อมกับคายกระดูกที่อยู่ในปากของเขามาในทันที
“ช่างกล้าหาญ ช่างเป็นคนที่มีเสน่ห์จริงๆ” คราวนี้เหรินโมสุ่ยได้ยินเสียงของกงหยู๋ เฟิ่งอย่างชัดเจนที่สุด
อะไรนะ
เหรินโมสุ่ยรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีในทันที