ตอนที่ 30 วิกฤติที่ซ่อนอยู่
วอลเตอร์ล้างลำคอของเขาก่อนจะเริ่มพระธรรมเทศนาขึ้น
“ลองคิดดู ถ้าคนผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นมาจริงๆ วิหารแห่งแสงจะไม่กังวลต่อการคงอยู่ของพวกเขาได้อย่างไร พวกเขาจะไม่กลัวว่าบุคคลผู้นั้นจะไม่เป็นภัยคุกคามต่อความเคารพนับถือที่มีมาช้านานของพวกเราหรือ ดังนั้นพวกเขาแน่นอนว่าจะต้องใช้มาตรการเพื่อปกป้องตัวเองเป็นหลัก ด้วยนิสัยของเทพธิดาแห่งแสงผู้โหดร้าย แน่นอนว่าเธอจะต้องหาบุคคลผู้นั้นพบได้ก่อนใคร และทำให้พวกเขายอมมาเป็นหนึ่งในคนของเธอ พวกเขาจะทุ่มเททุกอย่างให้กับเธอ กลายเป็นหนึ่งในผู้รับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของเธอในโลกมนุษย์แห่งนี้”
“แล้วถ้าพวกเขาไม่สามารถฝึกให้เชื่องได้ล่ะ”ดวงตาของแคลร์หรี่ลง รังสีเยือกเย็นแผ่กระจายออกมาจากนัยน์ตาสีเขียวเข้มของเธอ
“เช่นนั้นก็แน่นอนว่าพวกเขาจะกำจัดคนผู้นั้นทิ้งไปเสียตั้งแต่ต้น สะอาดและหมดจดเรียบร้อย” วอลเตอร์หยุดหายใจและพูดขึ้นอีกครั้ง
“ผู้หญิงเลวร้ายคนนั้นมักจะทำเรื่องประเภทนี้เสมอ”
“เทพธิดาแห่งแสงทำเช่นนี้กับเจ้ามาก่อนหรือไม่”อย่างรวดเร็วหลังจากที่แคลร์ถามคำถามนี้ขึ้น เธอรู้สึกว่ามันแปลกอยู่เล็กน้อยและมันฟังคลุมเครืออย่างบอกไม่ถูก แต่จากน้ำเสียงที่แสดงถึงความเกลียดชังของวอลเตอร์ มันมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติไป
“ก่อนที่ข้าจะเริ่มต้นเรียนมนต์ดำ ข้าเป็นลูกศิษย์ของนักเวทย์เยียวยา แต่แล้วผู้ชายเลวทรามผู้นั้นก็ไม่ยกเว้นข้าและใส่ร้ายข้า อ้างผลของการแปรธาตุของข้าเอาไปเป็นของตัวเอง”แล้วระลอกจิตของวอลเตอร์ก็กลายเป็นความรุนแรงขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขายังมีความทรงจำที่ผ่านมาและมันก็รบกวนเขามาก
แคลร์ไม่ได้ขัดวังหวะ เพียงรับฟังอย่างเงียบๆในการเห่าหอนด้วยน้ำเสียงที่ต่ำของวอลเตอร์ต่อไปเท่านั้น เธอสามารถเดาได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น วอลเตอร์นั้นเป็นผู้ที่มีความสามารถมาก ดังนั้นวิหารแห่งแสงจึงต้องการตัวเขาไปเป็นพวก แต่คนอื่นๆกับอิจฉาและผลักไสไล่ส่งเขา การที่เขากลายมาเป็นผู้ใช้มนต์ดำคงจะต้องมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน
แล้ววอลเตอร์ก็เงียบไป
แคลร์เข้าใจว่าวอลเตอร์นั้นได้สงบลงแล้ว และเขาคงไม่ต้องการที่จะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป แล้วเธอก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมขึ้นอีก
ทุกคนมีสิทธิที่จะเก็บความลับของตัวเองไว้
ดังนั้นแคลร์จึงนั่งอยู่ในสวนต่อไปพร้อมกับสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นๆ คิดเกี่ยวกับเรื่องๆอื่น จนกระทั่งงานเลี้ยงได้จบลง
หลังจากงานเลี้ยงจบลง แคลร์และดยุค กอร์ดอนก็เดินทางจากไป
ดยุค กอร์ดอนผิงตัวอย่างสบายๆ อยู่ภายในรถม้า เขาหลับตาอยู่ในความคิดของเขา แคลร์ก็ยังคงเงียบสงบ แล้วทันใดนั้นเองกอร์ดอนก็ลืมตาของเขาขึ้นและมองตรงไปที่แคลร์
“แคลร์เจ้าคิดว่าจะทำอย่างไรกับศักดินาของเจ้า”
“ท่านปู่ โปรดหาใครสักคนมาเพื่อดูแลมันให้กับข้า ข้ายังไม่ได้สำเร็จการศึกษาเลยด้วยซ้ำ” แคลร์ตอบ
“ใช่ ข้าก็คิดเช่นเดียวกับเจ้า เอาตราประทับของปราสาทมาให้ข้า แล้วข้าจะหาคนที่น่าเชื่อถือไปดูแลมันเอง เมื่อไหร่ที่เจ้าต้องการที่จะไปเยี่ยมชมหรือต้องการจะจัดการบางสิ่งบางอย่างด้วยตัวของเจ้าเอง เจ้าสามารถไปที่นั้นได้ทุกเมื่อ”แน่นอนว่าดยุค กอร์ดอน ไม่ได้สนใจเมืองเล็กๆ เหล่านั้น และเขาจะไม่ยอมปล่อยให้ปัญหาที่น่าเบื่อเหล่านั้น ได้ส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้เวทมนต์ที่สูงสงเช่นนั้นของแคลร์จากคลิฟอย่างแน่นอนที่สุด
“ขอบคุณค่ะท่านปู่”แคลร์ยิ้ม
“จงตั้งใจเรียนและเรียนรู้อย่างจริงจังจากท่านคลิฟ เมื่อวันหนึ่งที่เจ้าได้กลายเป็นปราชญ์แม่มด แล้ววันนั้น สัญลักษณ์ของดอกกุหลาบแห่งตระกูลฮิลล์จะได้โบยบินไปตลอดกาลอย่างแท้จริง”มีความกระจ่างใสอยู่ในสายตากอร์กอน
“ข้าจะตั่งใจให้หนักและไม่ทำให้ท่านปู่ผิดหวังอย่างแน่นอนค่ะ”แคลร์พยักหน้าและพูดขึ้นอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
“ข้ามีความเชื่อมั่นในตัวเจ้า ว่าวันหนึ่ง เจ้าจะกลายเป็นความภาคภูมิใจของข้า กลายเป็นความภาคภูมิใจของตระกูลฮิลล์ และมากกว่านั้น เจ้าจะเป็นความภาคภูมิใจของอัมพารค์แลนด์ด้วยเช่นกัน”คำพูดที่มีพลังอำนาจของกอร์ดอนดังก้องขึ้น ดวงตาของเขาแสบร้อนไปด้วยความคาดหวัง
“ในตอนนี้คนเหล่านั้นจะมองเจ้า อย่างที่พวกเขาเคยมองมาก่อน ข้ารู้ว่ามันจะมีวันหนึ่งที่เจ้าจะทำให้ผู้คนเหล่านั้นประหลาดใจอย่างคาดไม่ถึง วันหนึ่ง คนเหล่านั้นจะไม่เชื่อมโยงคำว่าหลานสาวของดยุคกอร์ดอน หรือลูกศิษย์ของคลิฟไว้ในชื่อของเจ้า ข้ามั่นใจเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงของแคลร์ มันจะก้องดังไปที่หูของพวกเขาราวกับเสียงคำรามของฟ้าร้อง เจ้าก็คือเจ้า เจ้าคือแคลร์ฮิลล์”กอร์ดอนจ้องมองอย่างจดจ่อไปที่แคลร์ พวยพุ่งเอาอารมณ์ทั้งหมดที่มีอยู่ในหัวใจของเขาออกมา
แคลร์เพียงแค่ยิ้มและก็ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น แต่ภายในของเธอนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย ตอนนี้ ชายแก่ที่นั่งอยู่ต่อหน้าของเธอนั้นกลับมองดูเหมือนกับคนแก่ธรรมดาทั่วไป ที่มีการคาดหวังที่สูงสุดต่อหลานสาวของเขา แคลร์ก็ยิ่งสับสนเล็กน้อย ตอนนี้ชายแก่คนนี้กลับเข้าใจเธอดียิ่งกว่าตัวของเธอเสียอีก เขารู้ได้อย่างไร แคลร์ยังคงจะไม่สามารถเข้าใจมันไปอีกนานแม้แต่ในอนาคตข้างหน้า
แต่กอร์ดอนไม่เคยคาดคิดเลยว่า ฉากสำคัญที่เขาตั้งหน้าตั้งตารอคอ มันกลับได้ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว และกะทันหัน
ช่วงกลวงของการหยุดเรียนภาคฤดูร้อน ชีวิตของแคลร์นั้นค่อนข้างน่าเบื่อ
คือการทำสมาธิ และการเรียนรู้เวทมนต์ภายใต้การแนะนำของเอ็มเมอรี่ เรียนวรรณกรรมในตอนเช้า เรียนขี่ม้าและฟันดาบในช่วงบ่าย คลิฟได้ส่งคนสองสามคนนำเอาสิ่งของมีค่ามาให้ แต่เขาก็ไม่เคยมาด้วยตัวเองสักครั้ง ตลอดเวลานั้นดูเหมือนว่าเขาจะกำลังยุ่งอยู่กับการทดลองของเขา
ไม่มีใครรู้ว่าทุกคืนหลังจากที่แคลร์กลับไปยังห้องนอนของเธอแล้วนั้น เธอจะต้องเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นอยู่เสมอ
“แคลร์มันจะมีอะไรดีเกิดขึ้น ที่เจ้าต้องมาทรมานตัวเองเช่นนี้” น้ำเสียงของวอลเตอร์ดังขึ้นในหัวของแคลร์อย่างอยากรู้อยากเห็น เขาตีริมฝีปากของเขา ทุกคืนที่แคลร์กลับไปที่ห้องและหลังจากอาบน้ำเสร็จ รอยแผลเป็นที่น่ากลัวของเธอก็จะปรากฏออกมา และทุกครั้งเธอจะทายาบางส่วนของตัวยาวิเศษที่เธอขอมาจากคลิฟ ที่สามารถช่วยรักษาบาดแผลได้ในทันที คลิฟก็ไม่เคยถามเหมือนกันว่าแคลร์จะอยากได้ยาวิเศษไปทำไม ตราบใดที่แคลร์ขอสิ่งใดลงไปในจดหมายของเธอ เขาจะมอบมันให้เธออย่างแน่นอน ถ้าสิ่งนั้นมันเป็นไปได้
แคลร์ยังคงสงบเงียบ ทายาลงไปที่บาดแผลของเธอราวกับว่ามันไม่มีความเจ็บปวดใดๆ วอลเตอร์เพียงแค่รับรู้ถึงมันได้เท่านั้น แต่เขาไม่กล้าที่จะมอง ถึงแม้ว่าเขาจะมีสิบเท่าของความกล้า เขาก็ยังคงไม่กล้าที่จะมองไปที่ร่างกายของแคลร์ แต่เขาก็ยังคงความสงสัยต่อไป แคลร์จำเป็นจะต้องทำแบบนี้จริงๆ หรือ เธอต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือ ตอนนี้แคลร์มีดยุค กอร์ดอนคอยดูแล มีการสนับสนุนจากคลิฟ และเธอสามารถที่จะมีอะไรก็ได้ที่เธอต้องการ แต่ทำไมเธอถึงได้ปฏิบัติกับตัวเองอย่างเลวร้ายถึงขนาดนี้
ในช่วงสิบวันสุดท้ายของช่วงเปิดเรียนภาคฤดูร้อน บางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติไปก็ได้เกิดขึ้น
ประเทศเพื่อนบ้านลากาค ได้ส่งนักเรียนเวนมนต์ของพวกเขาไม่กี่คนมาเพื่อศึกษาแลกเปลี่ยนยังสถานบันซันไรส์ ผิวเผินมันเป็นเพียงแค่การแลกเปลี่ยน แต่ทุกคนรู้ว่าจริงๆ แล้วมันหมายถึง การแข่งขันเพื่อการแสดงออกถึงความความแข็งแกร่งในทวีปแห่งนี้นั้นเอง ลากาคเป็นเพียงอันดับสองของอัมพารค์แลนด์ในแง่ของทางทหาร อำนาจและความแข็งแกร่ง ในปีที่ผ่านมาความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นมีความโดดเด่นที่เพิ่มขึ้น และกำลังมองหาปัญหาอยู่ ดังนั้นแน่นอนว่าการแลกเปลี่ยนนักศึกษาในครั้งนี้ จึงไม่ได้ดูง่ายอย่างที่มันดูเหมือนว่าจะเป็น
“พวกเราจะแพ้ไม่ได้” ดยุคกอร์ดอนพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึม นั่งอยู่ที่โต๊ะในห้องหนังสือของเขา บอกถึงข้อความจากสมเด็จพระราชา
“ท่านดยุค ท่านหมายถึงพวกเราจำเป็นจะต้องใช้มาตรการพิเศษในกรณีของสถานการณ์ที่จำเป็นหรือไม่” เอ็มเมอรี่ถามด้วยน้ำเสียงที่ต่ำ เขายืนอยู่กันอย่างเงียบ ๆ สวมเสื้อคลุมสีดำของนักเวทย์ของเขา
“อย่าพึ่งพูดถึงความเป็นไปได้ ในการแข่งขันครั้งที่ผ่านมา ลาเชียร์ชนะได้อย่างล่อแหลมมาก เพียงเพราะมีบางสิ่งบางอย่างได้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันของฝ่ายตรงข้าม มันเป็นไปได้ยากที่จะบอกว่าใครจะเป็นผู้ชนะในครั้งนี้” ดยุคกอร์ดอนพูดขึ้นอย่างจริงจัง
“ไม่เพียง แต่สมเด็จพระราชาจะมาชมการแข่งขันในครั้งนี้เท่านั้น วิหารแห่งแสงก็จะมาปรากฏขึ้นที่นี่ด้วยเหมือนกัน ตลอดเวลาที่ผ่านมา วิหารแห่งแสงได้สร้างวิหารที่เป็นหัวใจหลักของพวกเขาอยู่ในประเทศของพวกเรา เป็นแห่งที่มีอำนาจมากที่สุดแห่งนี้ แต่ถ้าพวกเราแพ้ในครั้งนี้ ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าวิหารแห่งแสงจะไม่เปลี่ยนข้าง ทั้งหมดของขุนนางในเมืองหลวงจะมาดูการแข่งขันในครั้งนี้ ดังนั้นพวกเขาไม่สามารถที่จะแพ้ได้อย่างเด็ดขาด” มันไม่ได้ฟังเกินจริงเลย ถ้าจะพูดว่าการแข่งขันในครั้งนี้ มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด กับการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศ มันมีความยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้นกว่าผู้คนจะคิดได้ ดังนั้นพวกเขาจะต้องชนะ แม้ว่ามันจะหมายถึงการเล่นแบบไม่เป็นธรรมก็ตาม
“โอ้ แล้วก็อย่าให้แคลร์เข้ามายุ่งกับการแข่งขันในครั้งนี้ด้วย เธอยังเด็กเกินไป ข้าไม่อยากให้เธอได้รับบาดเจ็บ”ดยุคพูดเพิ่มเติมขึ้นพร้อมนิ่วหน้า
“ขอรับท่านดยุค” แน่นอนว่าเอ็มเมอรี่ตอบรับอย่างมีความสุข เขาคือหนึ่งในผู้คนจำนวนนั้น ที่ไม่อยากให้มีอะไรเกิดขึ้นกับแคลร์
แต่ว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างราบรื่นและเป็นไปตามที่พวกเขาวางแผนเอาไว้หรือเปล่าก็เท่านั้น