ตอนที่ 52 ปะทะกับระดับขั้นสูง
52
จางหมิงรู้สึกเกลียดดวงของตนเองจริงๆ หลังจากเดินทางมาได้เกือบสองชั่วโมงมันกลับเจอหน้าผาสูงชันที่มันไม่อาจปีนขึ้นไปจึงจำเป็นต้องอ้อมไปด้านข้างที่ไม่รู้จุดสิ้นสุดเสียที และดูเหมือนว่าจะทำให้มันไกลออกไปจากจุดหมายมากขึ้นเรื่อยๆ
หรือมันควรย้อนกลับไปอ้อมอีกฝั่ง
แต่ถ้ามันไกลกว่าเดิมล่ะ!
เกลียดเรื่องที่ไม่เป็นดังใจนี้เสียจริงๆ
ฟุบ!
จางหมิงหยุดตัวลงพร้อมๆกับบุคคลที่พุ่งออกมาจากพุ่มไม้เบื้องหน้า อีกฝ่ายอาจไม่ได้รู้จักมัน แต่จางหมิงรู้จักมันมาก่อนจากการประลองบนเวทีเมื่อวาน
มันคือติงหรงที่พ่ายแพ้ให้กับจูลี่ถิง ข่าวนี้ดังเสียยิงกว่าข่าวของการคัดเลือกที่จะมีขึ้นในวงกตปราณเสียอีก
“ไม่คิดว่าคนที่ข้าเจอคนแรกภายในวงกตจะเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง” ติงหรงพูดพร้อมกับยิ้มเหยียดอย่างดูถูก
จางหมิงถึงกับคิ้วกระตุก หากไม่นับท่าทางดูถูกนั้นที่มันไม่ค่อยได้ใส่ใจ แต่การถูกเรียกว่าเด็กน้อยจากคนที่เด็กกว่าทำให้มันรับไม่ได้จริงๆ
“ถ้าจำไม่ผิดศิษย์พี่เข้ามาที่นี่คนแรกเลยมิใช่หรือ เหตุใดจึงยังไปไม่ถึงไหนเลยเล่า” จางหมิงอดค่อนขอดกับความเร็วอีกฝ่ายไม่ได้ อย่างน้อยมันก็อยากตอกกลับให้หายแค้นบ้าง
ติงหรงนั้นนับว่าเก่งกาจในระดับคนรุ่นเดียวกัน อายุของมันมากกว่าจูลี่ถิงเพียงปีเดียวเท่านั้น พลังทำลายจัดว่าไม่เป็นรองใครหากมีจุดอ่อนที่การเคลื่อนไหวค่อนข้างช้า ส่วนใหญ่เน้นการสะสมพลังอยู่กับที่แล้วจูโจมด้วยพลังที่แข็งแกร่งในทีเดียว
“เจ้ามันก็ดีแต่ปาก เห็นว่ามีถางเจียฉีคุ้มหัวอยู่หรืออย่างไรจึงได้วางท่าใหญ่โตปานนั้น”
ไม่เพียงจางหมิงเท่านั้นที่ไม่ชอบอีกฝ่าย ทางติงหรงเองก็ไม่ได้ชอบฝ่ายตรงข้ามเช่นกัน เหตุผลแต่ละคนก็ช่างง่ายดาย หนึ่งคนเกลียดเพราะวาจา อีกคนเกลียดเพราะสนิทกับคนที่เกลียดอีกที
จะว่าใครเด็กก็ดี ความจริงแล้วนิสัยแบบนั้นก็ไม่ได้เรียกว่าโตเลยทั้งคู่นั่นล่ะ
จางหมิงยักไหล่ การเถียงกันไปมาก็ไม่ได้อะไร หลังจากนั้นก็ทะยานร่างผ่านหน้าติงหรงไป แต่ก่อนที่จะไปได้ไกลพลังสายหนึ่งก็พุ่งมาจากข้างหลัง
แสงสีเหลืองทองรูปดาบขนาดยักษย์ตรงเข้ากลางลำตัวของจางหมิง ปฏิกิริยาแรกที่ทำคือเคลื่อนที่หลบจากวิถีโจมตีนั้นให้ได้มากที่สุด แต่ก็ไม่มากพอที่จะหลบพลังปราณที่แผ่ของมาจากรูปลักษณ์ของดาบสีทอง
อึก!
เลือดหยดลงตามมุมปากของจางหมิง แม้ไม่โดนพลังโจมตีโดยตรงแต่ระดับปราณที่อยู่ในขั้นต่ำกว่าก็ได้รับผลกระทบจากความหนาแน่นของพลังที่หลังไหลออกมาจนต้องบาดเจ็บภายใน ส่วนจิ้งจอกน้อยเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าจึงไม่เป็นอะไร
มันตวัดสายตามองอย่างไม่พอใจไปยังคนที่แอบโจมตีจากด้านหลัง รอยยิ้มเยาะที่ส่งมานั้นทำให้จางหมิงเริ่มโกรธขึ้นมาอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มาอยู่ในร่างใหม่ และความโกรธนี้ทำให้เลือดในกายร้อนขึ้นแถมยังส่งผลไปถึงอารมณ์ของจิ้งจอกน้อยที่เป็นคู่พันธะด้วย
กรร!
จิ้งจอกน้อยขู่คำรามในลำคอพร้อมย่อตัวลงเพื่อเตรียมกระโจนใส่เป้าหมายแต่ก็ถูกจางหมิงหยุดเอาไว้ก่อน สายตาสีส้มแสดที่แสดงอาการไม่เข้าใจถูกส่งไปให้เจ้านายแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนคำสั่งอันใด
“ข้าไม่ยักรู้ว่าคนที่ผู้คนยกย่องคนหนึ่งของตำหนักใต้จะเล่นงานผู้อื่นจากทางด้านหลังแบบนี้” จางหมิงพูดพร้อมกับเช็ดเลือดที่มุมปาก
“แล้วอย่างไร เจ้าคิดว่าในการคัดเลือกจะแค่ให้พวกเรามาวิ่งเล่นกันหรือ คนที่รอดไปได้จนถึงที่สุดเท่านั้นที่จะคู่ควรถูกกล่าวถึง หากไม่ก็จงออกจากการแข่งขันนี้ไปเสีย”
“ข้าเข้าใจที่ศิษย์พี่พูด เช่นนั้นแล้วก็ต่อสู้กันตรงๆเถอะ ...หลิงหลิง”
เพียงพูดชื่อขึ้นมาจิ้งจอกน้อยก็รู้ว่าต้องทำอะไร สำหรับพวกมันทั้งสองนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จะได้ต่อสู้ร่วมกัน บางครั้งอาหารที่จิ้งจอกน้อยต้องการก็เก่งกาจจนไม่อาจเอาชนะด้วยตัวคนเดียวไหว การร่วมมือจึงเป็นสิ่งจำเป็นและพวกมันก็เข้าขากันได้ดี
กรงเล็บแหลมคมกางออกกว้างตวัดออกไปข้างหน้าพร้อมกับร่างปราดเปรียวที่พุ่งตัวออกไป ติงหรงที่เห็นเพียงแค่นยิ้มแล้วกางเกราะปราณขั้นชำนาญขึ้นตั้งรับ จุดเด่นของมันคือพลังทำลาย แต่การป้องกันก็ทำได้ดีอยู่บ้าง หากผู้ที่โจมตีเข้ามานั้นไม่ใช่จิ้งจอกมายาที่มีสายเลือดของจิ้งจอกอัสนีสวรรค์แบบนี้ล่ะก็นะ
กรงเล็บทะลุเข้าไปในเกราะจนเกิดเป็นช่องว่างตามจำนวนนิ้วก่อนจะค่อยๆร้าวและพังทลายลง ผู้เป็นเจ้าของเกราะปราณจึงได้ใช้วิชาตัวเบาขยับถอยหลังแต่ก็ถูกจิ้งจอกน้อยตามไปติดๆ คราวนี้มันจึงได้นำอาวุธประจำกายออกมาจากอัญมณีผนึกของตนเอง
ติงหรงที่เป็นถึงหลานชายของเจ้าสำนักการที่จะมีอาวุธดีนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก ดาบยาวที่มันนำมาป้องกันกรงเล็บของจิ้งจอกน้อยนั้นช่างแข็งแกร่งจนน่าตกใจเมื่อเล็บที่ว่าคมไม่ได้ทำให้มันเกิดริ้วรอยแม้แต่น้อย
นั่นมันสิ่งของอะไร
จางหมิงที่หยิบเม็ดยารักษาที่ตนเองปรุงขึ้นโยนเข้าปากมองดูดาบในมือติงหรงอย่างสนใจ เพราะสิ่งที่ทำให้ดาบนั้นแข็งแกร่งย่อมไม่ใช่ตัวดาบเองแต่เป็นอักษรสีดำที่ถูกวาดลงไปบนตัวดาบนั้นต่างหาก และดูเหมือนมันจะใช้พลังปราณของเจ้าของเพื่อเปิดใช้งาน
จางหมิงคิดว่านั่นคงเป็นอีกสิ่งหนึ่งในโลกของผู้ฝึกยุทธ์ที่มันยังไม่รู้
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ดาบที่ว่าแข็งแกร่งก็ย่อมใช้ไม่ได้กับคมเขี้ยวที่คมยิ่งกว่าเล็บนัก
เคร้ง!
ดาบยาวนั้นหักลงจากการกัดเพียงแค่ครั้งเดียวของจิ้งจอกน้อย ติงหรงถึงกับหน้าเสียแล้วรีบถอยออกไปตั้งหลักอีกครั้ง แต่ครั้งนี้จิ้งจอกน้อยกลับไม่ได้ยอมให้เป็นเช่นนั้น ปราณภายในตัวถูกกระตุ้นจนเกิดเป็นสายฟ้าแปรบปราบออกมานอกร่างกาย ความเร็วที่มีทวีมากขึ้นก่อนจะไปดักทางถอยของฝ่ายตรงข้าม
หากการต่อสู้กับผู้มีพลังปราณขั้นสูงระดับที่หกเลยก็ดูจะข้ามขั้นไปหน่อย
แม้จะใกล้จนมุมแต่ประสบการณ์ในการต่อสู้ของติงหรงย่อมมีมากกว่าจิ้งจอกน้อย พลังปราณของมันถูกใช้เพื่อปลดปล่อยวิชายุทธ์ที่ทรงพลังของตนเอง จิ้งจอกน้อยที่อยู่เพียงขั้นสูงระดับหนึ่งแม้เล็บและฟันจะคมกริบแต่มีหรือที่ร่างเนื้อจะทนพลังในระดับที่สูงกว่ามากได้
“พิฆาตพยัคฆ์!”
พยัคฆ์ตัวสีเขียวพุ่งทำยานออกไป มันตัวโตกว่าจิ้งจอกน้อยมากกว่าสิบเท่า ความเร็วจากปราณสายฟ้าทำให้หลบหนีออกมาได้ก็จริงแต่ก็โดนพลังที่แผ่ออกมาด้านข้างจนตัวปลิวไปกระแทกกับต้นไม้ใหญ่ด้านหลัง
“มันบ้าอะไรกัน!” ติงหรงหัวเสียกับการโจมตีที่พลาดเป้า ตอนสู้กับจูลี่ถิงก็ทีหนึ่ง ตอนโจมตีจางหมิงก็ทีหนึ่ง แล้วนี่จะยังใช้ไม่ได้กับสัตว์ปีศาจตัวหนึ่งอีก!
ก่อนที่จะได้ลงมือซ้ำกับจิ้งจอกน้อยที่พยายามจะลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลติงหรงก็ต้องกันกลับไปป้องกันจางหมิงที่พุ่งมาจากด้านหลังเสียก่อน แต่ฤทธิ์ของมีดไร้ประกายก็คมกริบไม่ต่างจากกรงเล็บและฟันของจิ้งจอกน้อยเช่นเดียวกัน
เกาะปราณแตกออกอีกครั้ง ติงหรงรู้ว่าไม่ใช่เพราะพลังของอีกฝ่ายที่ทำให้เกิดขึ้น นั่นเกิดจากอาวุธโดยตรงที่มีความคมเป็นเลิศและดูเหมือนจะเป็นชิ้นที่ดีกว่าของมันที่พังไปมากนัก
ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่ถึงนาที หลังจากนั้นพวกมันก็ได้รุกรับกันอีกหลายกระบวนท่า ความโกรธที่มีในตอนแรกของจางหมิงได้หายไปหมดแล้ว เหตุผลหนึ่งเพราะมันเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ และเหตุผลอีกอย่างก็คือมันสนใจกับการต่อสู้ตรงหน้ามากกว่า
นับว่าจากหมิงคิดได้ถูกต้อง ความเร็วของวิชาตัวเบาเป็นตัวแปรสำคัญในการต่อสู้จริงๆ
“พวกเจ้าทำให้ข้าไม่มีทางเลือก... วิชาต้องห้าม จิตพิทักษ์พยัคฆ์”
ด้วยความที่ไม่อาจโจมตีทั้งสองที่มีความเร็วมากกว่ามันได้ หนึ่งในวิชาที่สืบทอดเฉพาะศิษย์สายตรงที่เรียกว่าศิษย์พยัคฆ์ของสำนักจึงถูกใช้ออกมา แม้ติงหรงจะไม่ใช่ศิษย์พยัคฆ์จริงๆแต่มันก็ถูกวางตัวในตำแหน่งนั้นมานานแล้ว หากไม่ติดเรื่องของถางเจียฉีมันคงได้เข้าเป็นศิษย์ในตำแหน่งนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ระดับพลังของติงหรงยังคงเท่าเดิมในขั้นสูงระดับที่หก แต่สิ่งที่แปลกไปคือพลังทำลายที่เพิ่มขึ้น หากยังไม่หมดเพียงแค่นั้นเพราะวิชากระตุ้นพลังนี้ยังทำให้พลังป้องกันและความเร็วของมันเพิ่มขึ้นด้วย
โครม!
และในที่สุดจางหมิงและจิ้งจอกน้อยก็กระเด็นออกไปเนื่องจากการโจมตีต่อมามันไม่อาจหลบได้ทันเช่นทุกที
“เห... ความจริงพวกเจ้าก็ไม่ได้เก่งกาจเท่าไหร่เลย” วาจานั้นช่างถากถาง
จางหมิงไม่ได้ไม่พอใจกับคำกล่าวนั้น เรื่องนี้ความจริงแล้วมันก็คิดเช่นเดียวกันว่าตัวมันไม่ได้เก่งกาจไปกว่าพวกปลายแถวที่พอจะมีของดีและวิชาที่ดีกว่าติดตัว
แต่มันไม่คิดจะจบลงตรงนี้!
“หลิงหลิง เจ้ายังไหวหรือไม่” จางหมิงถามจิ้งจอกน้อยที่กระเด็นมาพร้อมกัน แม้สภาพร่างกายของมันจะดูเลวร้ายกว่าจิ้งจอกน้อยมากก็ตามที
ภายในของมันปั่นป่วนจนไม่แน่ใจว่าอวัยวะทุกชิ้นยังอยู่ที่เดิมหรือเปล่า ไม่นับถึงความเจ็บปวดภายนอกอีกมากมาย แต่ก็นับว่าดีที่ไม่มีกระดูกชิ้นไหนที่แตกหักเสียหาย
“ข้าไม่เป็นไร” จิ้งจอกน้อยลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคงแล้วตอบกลับมา
“ก็ดี หากแพ้อย่างมากก็แค่ออกไป หากชนะก็เป็นโชคดีอย่างหนึ่ง” จางหมิงยิ้มให้คู่พันธะของตนเองบางเบาแล้วลุกขึ้นยืนบ้างอย่างเต็มตัว
“นี่เจ้ายังคิดอย่างจะสู้อยู่อีกหรือ หากไม่ก็ทำลายแก้วผลึกวารีของเจ้าเสีย มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าร้ายกาจเกินไป”
จางหมิงไม่ได้สนใจเสียงที่กล่าวออกมานั้นเพราะกำลังรอเวลาที่พลังของมันอีกอย่างหนึ่งจะถึงกำหนดเวลาที่ใช้ได้พอดี
“อาณาจักรจันทรา...”
+++