ตอนที่แล้วตอนที่ 50 พลังใหม่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 52 ปะทะกับระดับขั้นสูง

ตอนที่ 51 บุคคลลึกลับ


51

 

สถานที่นัดหมายการคัดเลือก หน้าวงกตพลังปราณเขตใต้ เวลาก่อนเที่ยงไม่นาน

 

ผู้คนเริ่มเข้ามาในพื้นที่ หนึ่งในนั้นคือจางหมิงที่นอนพิงจิ้งจอกน้อยอยู่ใต้ต้นไม้ไม่ไกลนัก ตอนนี้ไม่ได้แปลกอันใดที่จะมีสัตว์อสูรหรือสัตว์ปีศาจข้างกาย เพราะนอกจากมันแล้วยังมีผู้ที่นำเหล่าสัตว์ตามพันธะมาด้วยเช่นเดียวกัน

 

กล่าวถึงสัตว์ตามพันธะมันคือการมอบเลือดหนึ่งหยดให้กับคู่สัญญาที่ยินยอมพร้อมใจ และผูกพันได้เพียงครั้งละหนึ่งตน พันธะผูกพันนั้นจะขาดลงเมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายไป สิ่งที่ต้องแลกมากับการทำสัญญานั้นคืออาการบาดเจ็บบางอย่างที่มีร่วมกันและได้รับพลังส่วนหนึ่งของอีกฝ่ายในรูปแบบสุ่ม ทั้งคู่อาจจะได้รับพลังนั้นมาเพียงหนึ่ง หรือมากกว่านั้น แต่โดยปกติแล้วสัตว์อสูรหรือสัตว์ปีศาจส่วนใหญ่จะไม่ได้รับพลังในส่วนของมนุษย์

 

“เปิดวงกตระดับสามได้”

 

การทดสอบได้เริ่มขึ้นแล้ว มีผู้ร่วมทดสอบกว่าหนึ่งพันยี่สิบสามคน มีหลายคนรีบเข้าไปภายในทันทีแต่ก็มีบ้างที่ยังคงรีรออย่างตัดสินใจไม่ได้เสียที

 

จางหมิงลืมตาขึ้นมาพร้อมๆกับจิ้งจอกน้อยเมื่อคำประกาศเปิดประตูจบลง ดวงตาสีดำดูเย็นชาขึ้นกว่าก่อนมาก และไม่ใช่แววตาของจางหมิงเท่านั้นที่เปลี่ยนไป จิ้งจอกน้อยตอนนี้ก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน ขนทีทองเป็นประกายเช่นเดิมหากดวงตาสีทองสว่างกลับกลายเป็นสีส้มสดที่มองดูประหลาด ความกระหายเลือดพุ่งสูงจนรู้สึกได้ จิ้งจอกน้อยไม่ใช่มันตัวเดิมอีกต่อไป ตอนนี้มันคือจิ้งจอกมายาแบบเต็มตัว

 

ทั้งสองเดินออกไปทางปากถ้ำที่เป็นทางเข้าวงกต เสียงเรียกของซื่อเก่อเหยียนทำให้ใบหน้านิ่งเรียบนั้นหันไปมอง รอยยิ้มบางๆตอบกลับแทนคำตอบรับหากก็ไร้ความรู้สึกจนผู้เรียกชะงักงันไป

 

อ่อร่าบางอย่างที่ซื่อเก่อเหยียนสัมผัสได้นั้นไม่เหมือนเดิม แม้ผู้อื่นไม่อาจแยกแยะแต่ไม่ใช่กับมันที่มีพลังในการแบ่งแยกรูปแบบของพลังโดยสายเลือด และมันรู้ว่ามีสิ่งที่ต่างออกไป

 

ถางเจียฉีอีกคนหนึ่งที่รู้สึกว่าบางอย่างผิดปกติไปจากเดิม รอยยิ้มยินดีปรากฏบนใบหน้ามันอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก แต่สิ่งที่ทำได้ตอนนี้มีเพียงการเฝ้ามองดูเท่านั้น

 

แต่ไม่ว่าจะมีใครที่มองมันแปลกไป จางหมิงก็ยังคงเป็นจางหมิงคนเดิม

 

จะเรียกสิ่งที่มองไม่เห็นและสัมผัสไม่ได้ที่แผ่ออกมาจากตัวมันว่าอะไรดี... จะว่าบารมีก็ดี จะว่าความน่าเกรงขามก็ดี แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่มันเป็นจริงๆ เพราะตอนนี้มันกำลังเปิดใช้อาณาจักรจันทราอยู่ และผลกระทบนั้นส่งไปถึงคู่พันธะของมันด้วยเช่นกัน

 

อาณาจักรจันราเมื่อถูกเปิดใช้งานจะสามารถเพิ่มพลังปราณขึ้นได้มากกว่าเดิมสามเท่า แถมยังเพิ่มพลังกายและการฟื้นฟูอีกด้วย ขีดจำกัดของการใช้ยาวนานไม่เกินสามนาทีก่อนจะใช้ได้อีกครั้งในสองชั่วโมง หากการใช้ซ้ำบ่อยๆก็ทำให้ระยะเวลาแสดงผลยาวนานขึ้นเช่นกัน แม้จะเพียงไม่กี่สินาทีก็ตาม เมื่อครบเวลาที่สามารถใช้ได้จางหมิงจึงได้ใช้ออกมาเช่นนี้เพื่อเก็บระยะเวลาการแสดงผลให้นานขึ้นเผื่อกรณีฉุกเฉิน

 

เวลาเพียงชั่วข้ามคืนจางหมิงยังไม่ได้ทดสอบอีกหลายอย่าง แต่นั่นก็เป็นเรื่องในอนาคตไม่ไกลจึงไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร

 

แต่มีสิ่งหนึ่งที่มันรู้สึกหวาดกลัวโดยไม่ทราบสาเหตุ เมื่อเปิดใช้งานอาณาจักรจันทราท้องฟ้าที่มันมองเห็นจะกลายเป็นสีดำและดวงอาทิตย์ถูกแทนที่ด้วยพระจันทร์ดวงโตที่มีสีส้มสด มันจะไม่น่ากลัวเลยหากมีเพียงแค่นั้น แต่เมื่อมันจ้องดวงจันทร์ดวงนั้นราวกับจะถูกดึงเข้าไปไว้ในห้วงอารมณ์ที่บ้าคลั่ง

 

เอาเป็นว่า ...ไม่มองมันเสียก็ไม่ได้มีผลอะไร

 

ข้อดีอีกอย่างของลูกแก้ววิญญาณลูกล่าสุดไม่เพียงทำให้ใช้พลังใหม่ได้ยังสามารถเพิ่มระดับพลังปราณได้ถึงสองระดับ ตอนนี้มันอยู่ขั้นกลางระดับที่ห้าแล้ว ส่วนจิ้งจอกน้อยหลังจากสร้างพันธะเลือดระดับของมันก็เข้าสู่ขั้นสูงในที่สุด

 

จางหมิงรับแก้วผลึกวารีที่หน้าประตูแต่ไม่ได้หยดเลือดเข้าไปเหมือนทุกที เพราะมันศึกษามาแล้วว่าเพียงพกไว้กับตัวแล้วนำมาทำลายได้ทันก็จะสามารถยื้อชีวิตตนเองให้ออกมาข้างนอกหากเกิดอันตรายได้อยู่ดี การจะให้ผู้อื่นสอดส่องตนเองผ่านเลือดนั้นไม่ได้ทำให้มันสะดวกใจเลย

 

เมื่อเข้าสู่วงกตทุกอย่างก็พร่าเลือน ความเคลื่อนเหียนตีวนในช่องท้องเหมือนร่างกายปรับสภาพไม่ทัน แต่นั่นก็เกิดขึ้นไม่นาน

 

ภาพตรงหน้าเปลี่ยนจากภายในถ้ำมืดมิดกลายเป็นแอ่งทะเลสาบกว้าง ถัดไปเป็นป่าที่มีต้นไม้ขึ้นทึบทึม แสงอาทิตย์สาดลงบนผืนน้ำเป็นประกายระยับอย่างสวยงาม แต่จางหมิงคิดว่ามันไม่ได้น่าลงไปเล่นเสียเท่าไหร่ เพราะอย่างน้อยถ้ามันตาไม่ฝาด เงาดำกับรังสีสังหารใต้น้ำที่อาณาจักรจันทราของมันรับรู้ได้ก็ดูจะร้ายกาจพอสมควร

 

จางหมิงทะยานข้ามทะเลสาบเข้าสู่ป่าทึบ ไม่นานหลังจากนั้นพลังจากอาณาจักรจันทราก็หมดลงความเร็วของมันก็ตกลงจนจิ้งจอกน้อยที่ตัวสูงเท่าเอวของมันแล้วนั้นต้องลดความเร็วจากปราณสายฟ้าลงเช่นกัน

 

จุดหมายที่ต้องไปถึงมองเห็นได้ไกลๆจากแสงสว่างที่พุ่งตรงเป็นเสาสีขาวขึ้นฟ้า แม้ไม่อาจบอกได้ว่าห่างไกลแค่ไหนแต่ก็ยังดีที่ตำแหน่งจุดหมายบ่งบอกที่สิ้นสุดชัดเจน

 

“หลิงหลิง เจ้าพอจะมองออกหรือไม่ว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่กว่าจะไปถึง” มันถามจิ้งจอกน้อยที่ดูจะตื่นเต้นกับสถานที่แห่งใหม่ที่เคยเห็น

 

“ได้ๆ ไกลมาก” และมันก็ตอบกลับอย่างมั่นใจ

 

“ข้าหมายถึงระยะทางที่คำนวณออกมาแล้ว ข้าก็รู้ว่ามันไกลมาก แต่ก็ช่างเถอะ... แม้ตัวเจ้าจะใหญ่โตกว่าเดิมและมีพลังที่มากมาย หากด้วยระบบความคิดแล้วก็ยังคงเป็นเด็ก หากตอบไม่ได้ แค่บอกไม่รู้ก็พอ”

 

จางหมิงลูบหัวจิ้งจอกน้อยด้วยความเอ็นดู จากความสูงของมันและจิ้งจอกน้อยตอนนี้แล้วไม่จำเป็นต้องก้มตัวลงไปด้วยซ้ำ แต่ก่อนที่จะได้คุยเล่นอะไรมากกว่านั้น ความรู้สึกราวกับถูกจับจ้องทำให้จางหมิงต้องหันควับไปมองด้านหลัง และสิ่งที่มันมองเห็นก็เป็นเพียงแค่เหล่าต้นไม้ที่ส่ายไหวกับสายลมเบาๆ

 

“หายไปแล้ว” จิ้งจอกน้อยพูดออกมาเมื่อเห็นเจ้านายของมันหันไปในทิศทางที่มันก็รู้สึกได้

 

“ครั้งหน้าหากมีอะไรลับๆล่อๆอยู่ด้านหลังหรือด้านหน้าก็ตาม บอกข้าก่อนถ้าเจ้าได้กลิ่นหรือสัมผัสได้ ความรู้สึกของสัตว์ปีศาจเช่นเจ้าดีกว่ามนุษย์อย่างที่ข้าเป็นนัก”

 

“ขอรับ”

 

“ว่าแต่เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันเป็นสิ่งใด” จางหมิงถามเมื่อปลดปล่อยพลังกวาดไปรอบตัวแต่ไม่เจอสิ่งที่ค้นหา

 

“ข้าไม่รู้ กลิ่นแปลกๆ มันคล้ายจะเป็นมนุษย์แต่ก็ไม่ใช่”

 

“คล้ายมนุษย์เช่นนั้นหรือ... เอาเถอะ เป้าหมายของการทดสอบแม้จะหลีกเลี่ยงการปะทะระหว่างทางไม่ได้แต่หากทำได้ก็อย่าได้อยู่ในเป้าหมายของอะไรก็ตามจะดีกว่า” เมื่อกล่าวจบจางหมิงกับจิ้งจอกน้อยก็พากันมุ่งหน้าไปยังเสาแสงสีขาวนั้น

 

ในป่าทึบที่จางหมิงได้จากมา ต้นไม้ต้นหนึ่งที่ตั้งตระหง่านค่อยๆสลายหายไปกลายเป็นบุคคลสามคนที่สวมชุดคลุมสีดำสนิท พวกมันมองไปยังด้านหลังของจางหมิงที่อยู่ไกลออกไปด้วยดวงตาวาวโรจน์

 

“เป็นเด็กที่ความรู้สึกไวเสียจริงๆ” หนึ่งในนั้นพูดขึ้น

 

“เพราะเจ้าไม่ยอมเก็บออมพลังจึงทำให้มีคนรู้สึกถึงเราแบบนั้น” อีกเสียงกล่าวว่าอย่างไม่ใคร่พอใจนัก

 

“ก็ใครจะไปรู้เล่าว่าเด็กอายุเพียงเท่านั้นจะตรวจจับพลังปราณพิเศษของพวกเราได้”

 

“นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าจะปล่อยปละละเลยการระมัดระวังตัว!”

 

“หุบปากของพวกเจ้าซะ!” อีกคนหนึ่งที่เงียบมานานคำรามออกมาอย่างไม่พอใจ ทั้งสองที่ปะทะฝีปากกันถึงกับเงียบลงแล้วก้มหัวอย่างสำนึกผิดและหวาดกลัว

 

บุคคลที่เหมือนจะเป็นผู้นำยังคงมองตามแผ่นหลังที่หายลับไปกับแมกไม้ก่อนที่ความคิดจะเบนไปถึงจิ้งจอกสีทองข้างกายของจางหมิง แต่มันก็ปัดความคิดของมันทิ้งไป

 

คราแรกมันคิดว่านั่นคือหนึ่งในสัตว์ปีศาจสายพันธุ์โบราณที่หายสาบสูญ หากมันก็คิดว่าคงไม่ใช่เนื่องด้วยการเคลื่อนที่เหล่านั้นไม่ได้แฝงพลังของสายฟ้า นี่ต้องขอบคุณที่จางหมิงเคลื่อนที่ได้ช้ากว่าจิ้งจอกน้อยมากมันจึงไม่ได้กระตุ้นพลังปราณของตนเองแล้วออกวิ่งด้วยวิธีการปกติ

 

“เด็กนั่นมีดี แต่ที่น่ากลัวคือความสามารถในการมองทะลุภาพมายาของจิ้งจอกตนนั้น ยังดีที่ว่าพลังนั้นยังอ่อนแออยู่บ้าง แต่หน้าที่ของพวกเราไม่ใช่การจัดการกับสิ่งมีชีวิตเล็กๆทั้งสองนี้ จำเอาไว้!”

 

“ขอรับศิษย์พี่” ทั้งสองรับฟังแต่โดยดี

 

“วงกตสิบแปดดาราที่ซ่อนสมบัติลับแห่งบรรพกาล สำนักเล็กๆแห่งนี้กลับนำมาเป็นสถานที่ทดสอบของเหล่าเด็กที่ไม่ได้ความ ช่างน่าเสียใจกับบรรพบุรุษที่สร้างสถานที่แห่งนี้ขึ้นเสียจริงๆ...”

 

“เสียใจ? ทั้งๆที่เจ้าคิดจะทำลายมันน่ะหรือ”

 

หัวหน้าคนชุดคลุมดำกล่าวลอยๆแต่ก็ต้องชะงักพร้อมกับลูกสมุนที่โคจรพลังปราณเข้าโจมตีเจ้าของเสียงที่กล่าวแทรกเข้ามา แต่การโจมตีเหล่านั้นก็ถูกป้องกันด้วยเกราะปราณสีน้ำเงินที่แข็งแกร่ง

 

“ท่านเป็นใครกันแน่ ได้โปรดบอกให้ข้ารู้” หัวหน้าคนชุดดำถามพร้อมกับสงสัญญาณมือให้ลูกสมุนอีกสองหยุดการโจมตี

 

มันทั้งสองรู้ว่าหัวหน้าของของมันไม่ใช่คนที่จะเคารพผู้อื่นง่ายๆ แต่รูปแบบปราณที่แผ่ออกมาจากคนตรงหน้านั่นก็สมเหตุสมผลว่าทำไมหัวหน้าของมันจึงได้พูดคุยด้วยอย่างสุภาพ

 

“เป็นใครเจ้าไม่ควรรู้ หากแต่คนที่พวกเจ้าพบไม่อาจให้พวกเจ้าทำอันตรายได้ สิ่งที่อยู่ในวงกตเจ้านำออกไปได้แต่นั่นต้องไม่กระทบกับการพลังทลายของการสูญเสียจุดเชื่อมต่อพลังของวงกตปราณ พวกเจ้าทำได้หรือไม่” น้ำเสียงเรียบเฉยนั้นมาพร้อมกับรอยยิ้มอันอบอุ่นขัดกับดวงตาผู้พูดที่เต็มไปด้วยรังสีสังหาร

 

“ข้าจะทำตามที่ท่านต้องการ ขอตัวลา”

 

“ไปเถอะ”

 

พวกมันทั้งสามโค้งคารวะน้อยๆก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็ว

 

ผู้ที่ยังคงเหลืออยู่เป็นบุคคลที่จางหมิงคุ้นเคย มันคือศิษย์พี่ใหญ่แห่งตำหนักใต้ ถางเจียฉี

 

ในคราแรกมันเพียงตามหลังจางหมิงมาห่างๆเพื่อสังเกตความผิดปกติที่มันรับรู้ แต่สิ่งที่มันพบเห็นกลับเป็นสามร่างที่ไม่ใช่คนของสำนัก

 

“เรื่องของวงกตปราณชักจะมีคนรู้มากเกินไปแล้ว หากมันไม่ได้ต้องการในสิ่งเดียวกับข้าก็แล้วไปเถอะ” ถางเจียฉีพึมพำก่อนจะทะยานร่างออกไปในทิศทางเดียวกับจางหมิงดังเดิม

 

“ท่านว่าคนผู้นั้นมาจากอาณาจักรเดียวกันกับเราหรือไม่” ไกลออกไปชายชุดดำผู้เป็นลูกน้องคนหนึ่งกล่าวถามหัวหน้าของมัน

 

“ข้าไม่รู้ แต่ที่แน่ๆมันไม่ใช่คนของอาณาจักรเล็กๆนี่แน่นอน เอาเป็นว่าอย่าได้ไปยุ่งเกี่ยวกับมัน ทำในสิ่งที่ได้รับมอบหมายมาก็พอ”

 

“ขอรับ”

 

+++

 

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด